ช่วงนี้เห็นคนพูดถึง “Bonus สุกี้” กันเยอะมาก
ร้านใหม่ของ MK ที่เปิดมาแนวบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด ราคาเริ่มต้น 219 บาท
หลายคนบอกว่านี่คือ MK มาแข่งกับตี๋น้อยเต็มตัว
ผมเลยขอวิเคราะห์ในฐานะคนสนใจธุรกิจ + ทำงานด้านการตลาดนิดหน่อย ว่า “เกมนี้ MK กำลังเล่นอะไรอยู่?” และ “จะรอดจริงไหม?”
1. Bonus สุกี้ = MK เวอร์ชันลุยตลาดวัยรุ่น
สิ่งที่ MK ทำค่อนข้างชัด คือแยกแบรนด์ออกมาชัดเจน ไม่ใช้ชื่อ MK ตรง ๆ แต่ก็ไม่ปิดบังว่าเป็นคนในเครือ
กลยุทธ์นี้หลายแบรนด์ใช้เวลาจะลงมาเล่นในตลาดล่างหรือตลาด Mass เพราะกลัวกระทบภาพลักษณ์เดิม
จุดขายของ Bonus คือเน้นบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด แต่วัตถุดิบมีมาตรฐานแบบ MK เช่น น้ำจิ้มดี น้ำซุปดี ติ่มซำยังมี
คือพูดง่าย ๆ ว่า “กินสบายใจ ไม่มั่วเหมือนร้านบุฟเฟ่ต์บางเจ้า”
2. แต่โครงสร้างใหญ่ = ปัญหาที่มองไม่เห็น
MK เป็นองค์กรใหญ่มาก และนั่นคือจุดที่ผมมองว่า “เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย”
ข้อดีคือมีระบบ มีทีม มีของดีอยู่แล้ว
แต่ข้อเสียคือ “ระบบมันใหญ่และช้า” การจะเล่นเกมเร็วแบบตี๋น้อย ต้องมีความเบา ความลื่น และความกล้า
ยิ่งถ้าทีมที่คุม Bonus ยังเป็นหัวเก่าจาก MK ที่คุ้นชินกับการประชุม ควบคุม และรายงาน
มันจะทำให้แบรนด์ใหม่ติดกรอบตั้งแต่ยังไม่โต
3. กลิ่น MK ยังแรงเกินไปสำหรับการเป็นแบรนด์ใหม่
ถึงแม้จะใช้ชื่อ “Bonus” แยกออกมา
แต่คนก็ยังรู้สึกว่า “เออ มันก็คือ MK ลดราคา” อยู่ดี
ซึ่งอาจทำให้แบรนด์ไม่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองชัดพอ
ในขณะที่ตี๋น้อยมี mood เป็น “ร้านเพื่อนๆ กินง่าย คุยดัง ๆ ได้ กินแบบลุย ๆ”
Bonus กลับรู้สึกเหมือน “ร้านใหม่ที่ยังไม่กล้าปล่อยตัวเต็มที่”
4. ราคาดี แต่ไม่ใช่จุดขายเดียวอีกต่อไป
ตี๋น้อยเคยชนะเพราะ “ถูกและเยอะ”
แต่ยุคนี้ลูกค้ารุ่นใหม่ไม่ได้มองแค่ราคา
เค้ามอง “ประสบการณ์” และ “ความรู้สึก” ด้วย เช่น ความเร็ว ความง่าย ความสนุก ความว้าว
ถ้า Bonus ยังคิดแค่ “เราถูกพอ ๆ กับคู่แข่ง แต่ของดีกว่า” อาจไม่พอ
เพราะแบรนด์ยุคนี้ต้องสร้างความรู้สึกบางอย่างที่ชัดกว่านั้น เช่น สนุกกว่า เท่กว่า คุ้มแบบเล่าให้เพื่อนฟังได้
5. ถ้าอยากรอด ต้องกล้าฉีกจาก MK จริง ๆ
ข้อสำคัญเลยคือ Bonus ต้องกล้า “หลุดจากความเป็น MK” จริง ๆ
ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่ต้องเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนวิธีบริหาร และเปลี่ยนวิธีฟังลูกค้า
ถ้ายังใช้วิธีคิดแบบ MK กับสนามใหม่แบบนี้
Bonus อาจจะขายได้ช่วงแรก เพราะแรงเปิดตัว
แต่ระยะยาวจะสู้แบรนด์ที่เกิดมาจาก “ความเข้าใจคนรุ่นนี้จริง ๆ” ไม่ได้
สรุป
Bonus สุกี้เป็นหมากที่น่าสนใจของ MK มาก
แต่เกมนี้ไม่ได้ชนะกันที่ราคา หรือคุณภาพของวัตถุดิบอย่างเดียว
มันชนะกันที่ “ความเข้าใจลูกค้า” และ “ความเร็วในการปรับตัว” ซึ่งแบรนด์ใหญ่ทำยากกว่าเสมอ
ใครเคยไปกินมาแล้ว รู้สึกยังไงบ้างครับ?
คุ้มมั้ย รสชาติเป็นยังไง บริการโอเคไหม
และที่สำคัญ... “คุณอยากกลับไปซ้ำ หรือพอแค่นี้?”
MK เปิด “Bonus สุกี้” มาสู้ตี๋น้อย...แต่แบบนี้จะรอดจริงเหรอ? หรือแค่เปลี่ยนชื่อแต่ยังคิดแบบเดิม
ร้านใหม่ของ MK ที่เปิดมาแนวบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด ราคาเริ่มต้น 219 บาท
หลายคนบอกว่านี่คือ MK มาแข่งกับตี๋น้อยเต็มตัว
ผมเลยขอวิเคราะห์ในฐานะคนสนใจธุรกิจ + ทำงานด้านการตลาดนิดหน่อย ว่า “เกมนี้ MK กำลังเล่นอะไรอยู่?” และ “จะรอดจริงไหม?”
1. Bonus สุกี้ = MK เวอร์ชันลุยตลาดวัยรุ่น
สิ่งที่ MK ทำค่อนข้างชัด คือแยกแบรนด์ออกมาชัดเจน ไม่ใช้ชื่อ MK ตรง ๆ แต่ก็ไม่ปิดบังว่าเป็นคนในเครือ
กลยุทธ์นี้หลายแบรนด์ใช้เวลาจะลงมาเล่นในตลาดล่างหรือตลาด Mass เพราะกลัวกระทบภาพลักษณ์เดิม
จุดขายของ Bonus คือเน้นบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด แต่วัตถุดิบมีมาตรฐานแบบ MK เช่น น้ำจิ้มดี น้ำซุปดี ติ่มซำยังมี
คือพูดง่าย ๆ ว่า “กินสบายใจ ไม่มั่วเหมือนร้านบุฟเฟ่ต์บางเจ้า”
2. แต่โครงสร้างใหญ่ = ปัญหาที่มองไม่เห็น
MK เป็นองค์กรใหญ่มาก และนั่นคือจุดที่ผมมองว่า “เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย”
ข้อดีคือมีระบบ มีทีม มีของดีอยู่แล้ว
แต่ข้อเสียคือ “ระบบมันใหญ่และช้า” การจะเล่นเกมเร็วแบบตี๋น้อย ต้องมีความเบา ความลื่น และความกล้า
ยิ่งถ้าทีมที่คุม Bonus ยังเป็นหัวเก่าจาก MK ที่คุ้นชินกับการประชุม ควบคุม และรายงาน
มันจะทำให้แบรนด์ใหม่ติดกรอบตั้งแต่ยังไม่โต
3. กลิ่น MK ยังแรงเกินไปสำหรับการเป็นแบรนด์ใหม่
ถึงแม้จะใช้ชื่อ “Bonus” แยกออกมา
แต่คนก็ยังรู้สึกว่า “เออ มันก็คือ MK ลดราคา” อยู่ดี
ซึ่งอาจทำให้แบรนด์ไม่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองชัดพอ
ในขณะที่ตี๋น้อยมี mood เป็น “ร้านเพื่อนๆ กินง่าย คุยดัง ๆ ได้ กินแบบลุย ๆ”
Bonus กลับรู้สึกเหมือน “ร้านใหม่ที่ยังไม่กล้าปล่อยตัวเต็มที่”
4. ราคาดี แต่ไม่ใช่จุดขายเดียวอีกต่อไป
ตี๋น้อยเคยชนะเพราะ “ถูกและเยอะ”
แต่ยุคนี้ลูกค้ารุ่นใหม่ไม่ได้มองแค่ราคา
เค้ามอง “ประสบการณ์” และ “ความรู้สึก” ด้วย เช่น ความเร็ว ความง่าย ความสนุก ความว้าว
ถ้า Bonus ยังคิดแค่ “เราถูกพอ ๆ กับคู่แข่ง แต่ของดีกว่า” อาจไม่พอ
เพราะแบรนด์ยุคนี้ต้องสร้างความรู้สึกบางอย่างที่ชัดกว่านั้น เช่น สนุกกว่า เท่กว่า คุ้มแบบเล่าให้เพื่อนฟังได้
5. ถ้าอยากรอด ต้องกล้าฉีกจาก MK จริง ๆ
ข้อสำคัญเลยคือ Bonus ต้องกล้า “หลุดจากความเป็น MK” จริง ๆ
ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่ต้องเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนวิธีบริหาร และเปลี่ยนวิธีฟังลูกค้า
ถ้ายังใช้วิธีคิดแบบ MK กับสนามใหม่แบบนี้
Bonus อาจจะขายได้ช่วงแรก เพราะแรงเปิดตัว
แต่ระยะยาวจะสู้แบรนด์ที่เกิดมาจาก “ความเข้าใจคนรุ่นนี้จริง ๆ” ไม่ได้
สรุป
Bonus สุกี้เป็นหมากที่น่าสนใจของ MK มาก
แต่เกมนี้ไม่ได้ชนะกันที่ราคา หรือคุณภาพของวัตถุดิบอย่างเดียว
มันชนะกันที่ “ความเข้าใจลูกค้า” และ “ความเร็วในการปรับตัว” ซึ่งแบรนด์ใหญ่ทำยากกว่าเสมอ
ใครเคยไปกินมาแล้ว รู้สึกยังไงบ้างครับ?
คุ้มมั้ย รสชาติเป็นยังไง บริการโอเคไหม
และที่สำคัญ... “คุณอยากกลับไปซ้ำ หรือพอแค่นี้?”