โพลชี้ประชาชนหวัง ครม.ใหม่ แก้ด่วนเศรษฐกิจ เชื่อเจรจาไม่ได้ปัญหา ‘ภาษีทรัมป์’
https://www.dailynews.co.th/news/4910450/
.
.
สวนดุสิตโพล สำรวจเรื่อง ครม.ชุดใหม่ ประชาชนอยากให้เร่งแก้ด่วน "ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ" ส่วน "ภาษีทรัมป์ 36%" เชื่อไม่น่าจะเจรจาแก้ไขได้
.
“
สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “
ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,191 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568
.
โดยพบว่า ผลงานหรือนโยบายที่อยากเห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เร่งดำเนินการมากที่สุด คือ แก้ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ร้อยละ 65.41 เรื่องที่กังวลเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ คือ อาจมีบุคคลที่ประวัติไม่โปร่งใส ความสามารถไม่ตรงกับงาน ร้อยละ 62.97
.
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับ ครม.ชุดที่ผ่านมาคิดว่าการทำงานของ ครม.ชุดใหม่อาจจะแย่กว่า ร้อยละ 41.56
.
ด้านความเห็นเกี่ยวกับกรณี
โดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% คาดว่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ร้อยละ 50.04 สุดท้ายมองว่ารัฐบาลไทยไม่น่าจะเจรจาแก้ไขปัญหานี้ได้ ร้อยละ 50.63.
.
นางสาว
พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจทั้งเรื่อง ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์ สะท้อนภาพเดียวกันว่ารัฐบาลยังเผชิญความคาดหวังสูงจากประชาชน โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจซึ่งเป็นความหวังหลัก ขณะเดียวกันก็มีความกังวลต่อคณะรัฐมนตรีและศักยภาพรัฐบาลในการรับมือแรงกดดันจากภายนอกจากกรณีภาษีทรัมป์ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ความไม่มั่นใจต่อการเจรจาจึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
.
ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ยอดชาย ชุติกาโม อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ในเวลานี้ สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น ครม.ชุดใหม่เร่งดำเนินการ หนีไม่พ้นการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ยังมีความกังวลใจถึงความรู้ความสามารถที่ไม่ตรงกับงาน ความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรี เมื่อเปรียบกับครม.ชุดที่ผ่านมา ประชาชนเชื่อว่า ครม.ชุดใหม่อาจแย่กว่า สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อ ครม.ชุดใหม่ ส่วนผลกระทบจากปัจจัยภายนอก คนไทยมีความกังวลมากถึง 50.04% กรณีโดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยถึง 36% ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ย่ำแย่ลงไปอีก สิ่งที่ ครม.ชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากปัญหาของตัวนายกรัฐมนตรีเอง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหานโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้ แม้ว่าจะประกาศออกมารายวันแต่นโยบายก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ครม.ชุดใหม่ สมควรจะต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตนเองว่าได้ทำอย่างเต็มที่หรือไม่ และต้องใช้วิกฤตินี้พิสูจน์ว่ามีความจริงใจต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติ นั่นคือ ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยทุกคนมากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมืองภายในเพื่อยืดระยะเวลารัฐบาลเอาตัวรอดไปวันๆ.
.
.
นักวิชาการ ประเมินไทยลดภาษีสหรัฐฯ ได้ต่ำสุด 20-30% ย้ำอย่าเลียนแบบเวียดนาม
https://www.matichon.co.th/economy/news_5272761
.
นักวิชาการ ประเมินไทยลดภาษีสหรัฐฯ ได้ต่ำสุด 20-30% ย้ำอย่าเลียนแบบเวียดนาม
.
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และที่ปรึกษาศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ท่าทีของสหรัฐอเมริกาในการเจรจาการค้าและภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ นั้น หลักๆ ตนมองว่าสหรัฐฯต้องการให้ไทยเปิดตลาดในหลายด้าน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ธัญพืชและเนื้อสัตว์ ซึ่งสหรัฐฯมีผลผลิตเหลือเฟือและต้องการระบายออกสู่ตลาดโลก
.
นายสมภพ กล่าวว่า สินค้าหลักที่สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเปิดตลาดเป็นพิเศษนั้น มีตั้งแต่สินค้าเกษตร เช่น ธัญพืช (กลุ่มถั่วเหลือง ข้าวโพด) เนื้อสัตว์ ที่อเมริกาผลิตได้จำนวนมาก และต้องการส่งออก นอกจากนี้ยังรวมถึงสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และน้ำมันดิบ รวมถึงสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เครื่องบินและอาวุธยุทโธปกรณ์
.
นายสมภพ กล่าวว่า นอกจากนี้ อีกกลุ่มที่สหรัฐฯ ต้องการผลักดันคือภาคบริการ โดยเฉพาะด้านการเงิน ธนาคาร การสื่อสารโทรคมนาคม และการมีส่วนร่วมในการประมูลโครงการสัมปทานขนาดใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการมูลค่าสูง สหรัฐฯ ต้องการให้บริษัทของตนมีโอกาสเข้าร่วมประมูลและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลไทยได้ง่ายขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีการสงวนกิจการบางประเภทไว้ให้คนไทยดำเนินการ ทำให้บริษัทอเมริกันไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม นายสมภพ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงโอกาสที่ไทยจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ให้เท่ากับเวียดนาม ที่ 20% หรือ น้อยกว่านั้นได้หรือไม่นั้น ตนคาดการณ์ว่า อัตราภาษีเฉลี่ยที่ไทยอาจได้รับน่าจะอยู่ที่ประมาณ 20-30% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ยทั่วโลกที่ 20-25% โดยยกตัวอย่างฟิลิปปินส์ที่ถูกเก็บภาษีเพียง 17% และเพิ่มเป็น 20% ในภายหลัง
.
นายสมภพ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศเวียดนามที่สามารถเจรจาให้สหรัฐฯ ลดภาษีลงเหลือเพียง 20% ได้สำเร็จนั้น ตนวิเคราะห์ว่า ปัจจัยหนึ่งมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำ ที่เกี่ยวกับ ทางเวียดนามได้เปิดโอกาสให้ธุรกิจของสมาชิกในครอบครัวของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับสิทธิพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในเวียดนาม เช่น สนามกอล์ฟในภาคเหนือ และกำลังพัฒนาโครงการ ลงทุนสร้างตึกทรัมป์ทาวเวอร์ (Trump Tower) ที่นครโฮจิมินห์ ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ต่อเวียดนามในเชิงการเจรจา อีกปัจจัยสำคัญคือ เวียดนามมีบริษัทอเมริกันจำนวนมากเข้าไปลงทุน อาทิ ไมโครซอฟท์ (Microsoft), อินวิเนีย (NVIDIA), ควอลคอมม์ (Qualcomm), ไนกี้ (Nike) และ พูม่า (Puma) ทำให้หากสหรัฐฯ เก็บภาษีเวียดนามสูง ก็จะกระทบกับผลประกอบการของบริษัทอเมริกันเอง อีกทั้งเวียดนามยังมีการส่งเสริมการลงทุนอย่างเข้มข้นผ่าน บีโอไอของตนเอง ขณะที่การส่งออกจากเวียดนามไปสหรัฐฯ มีมูลค่ามากกว่านำเข้าถึง 10 เท่าตัว ซึ่งต่างจากไทยที่มีสัดส่วน 3 ต่อ 1
.
นายสมภพ กล่าวว่า จริงๆแล้วในอดีตไทยเคยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนอย่างเข้มข้นมาก่อน เช่น การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นโดยตั้งกำแพงภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปสูงถึง 300-400% แต่ปัจจุบันไทยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ขณะที่เวียดนามเพิ่งเปิดประเทศจริงจังได้ไม่นานนัก จึงอยู่ในช่วงเร่งดึงดูดการลงทุน
.
นายสมภพ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะสำหรับทีมไทยแลนด์ ตนยังไม่อยากให้ทีมไทยแลนด์ หรือ ทุกฝ่าย คิดว่าเราต้องทำทุกอย่างตามเวียดนามเพื่อให้ได้ภาษีต่ำลงมา เราต้องประเมินว่าผลประโยชน์ที่ได้คุ้มค่ากับสิ่งที่ยอมเสียหรือไม่เช่นกัน ดังนั้น ตนแนะนำว่าการเจรจาควรยึดหลัก 3 ประการ ดังนี้
.
1. การยึดมั่นข้อตกลงเดิมที่ให้ไว้ เช่น การลดที่เสนอว่าจะลดดุลการค้ากับสหรัฐฯลงถึง 70% ภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก แต่เมื่อเสนอแล้วก็ต้องทำให้ได้ซึ่งเป็นการแสดงความตั้งใจที่จะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และการเปิดตลาดสินค้าเกษตรบางตัว รวมถึงการเสนอที่จะซื้อพลังงานของสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น และลงทุนในโครงการพลังงานของสหรัฐฯ
.
2. ทบทวนข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรม โดยพิจารณาข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม โดยเปรียบเทียบสิทธิที่ไทยให้แก่ชาติอื่นหรือนักลงทุนไทยเอง ว่ามีการเลือกปฏิบัติจริงหรือไม่ และสามารถแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งตรงนี้ ตนแนะนำว่า ทางทีมไทยแลนด์สามารถขอคำปรึกษากับทางหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย ว่า แนวโน้มข้อเสนอประเภทไหนที่เหมาะสมและตรงจุด
.
3. ศึกษาท่าทีของชาติอาเซียน ประเมินท่าทีและผลการเจรจาของประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งลงทุนของบริษัทต่างชาติกลุ่มเดียวกัน และส่งออกสินค้าประเภทเดียวกันกับไทย
.
นายสมภพ กล่าวว่า ทุกประเทศในภูมิภาค รวมถึงประเทศผู้เข้ามาลงทุนอย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ต่างก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือไทยควรรักษาดุลประโยชน์ของประเทศ โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ระยะยาวที่จะรองรับการแข่งขันของภูมิภาคในยุคใหม่
.
.
เชียงราย ฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก ท่วมถนนบ้านห้วยดอกอูน-บ้านสันทราย อ.พาน
.
เชียงราย ฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก ท่วมถนนบ้านห้วยดอกอูน-บ้านสันทราย อ.พาน
.
วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 เวลา 06.00 น. เกิดฝนตกหนักติดต่อกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง ส่งผลให้มีน้ำป่าไหลหลากลงลำห้วย และไหลล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มบางส่วนในพื้นที่หมู่บ้านห้วยดอกอูน หมู่ 20 และ บ้านสันทราย หมู่ 1 ตำบลเจริญเมือง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
.
โดยเฉพาะที่บ้านสันทราย พบว่าระดับน้ำได้เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นผิวถนนในเส้นทางหลัก ซึ่งเป็นถนนสายสำคัญจากตัวเมืองเชียงราย มุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอพาน ทำให้สามารถสัญจรได้เพียง 1 ช่องจราจร ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชนในช่วงเช้า
.
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ และจัดเตรียมเครื่องมืออำนวยความสะดวก เพื่อเร่งระบายน้ำและอำนวยความปลอดภัยด้านการจราจร
.
ขณะที่ นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน นายทนงศักดิ์ เทพนิล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเจริญเมือง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ที่เกิดน้ำป่าไหลหลากและไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนบางส่วน และเร่งให้การช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน พร้อมสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากน้ำป่าไหลหลากครั้งนี้
JJNY : โพลชี้เชื่อเจรจาไม่ได้ปัญหา‘ภาษีทรัมป์’│ประเมินไทยลดภาษีสหรัฐฯ │เชียงราย ฝนตกหนัก│อียูยังหวังเจรจากับสหรัฐทันเวลา
https://www.dailynews.co.th/news/4910450/
.
สวนดุสิตโพล สำรวจเรื่อง ครม.ชุดใหม่ ประชาชนอยากให้เร่งแก้ด่วน "ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ" ส่วน "ภาษีทรัมป์ 36%" เชื่อไม่น่าจะเจรจาแก้ไขได้
.
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,191 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568
.
โดยพบว่า ผลงานหรือนโยบายที่อยากเห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เร่งดำเนินการมากที่สุด คือ แก้ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ร้อยละ 65.41 เรื่องที่กังวลเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ คือ อาจมีบุคคลที่ประวัติไม่โปร่งใส ความสามารถไม่ตรงกับงาน ร้อยละ 62.97
.
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับ ครม.ชุดที่ผ่านมาคิดว่าการทำงานของ ครม.ชุดใหม่อาจจะแย่กว่า ร้อยละ 41.56
.
ด้านความเห็นเกี่ยวกับกรณีโดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% คาดว่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ร้อยละ 50.04 สุดท้ายมองว่ารัฐบาลไทยไม่น่าจะเจรจาแก้ไขปัญหานี้ได้ ร้อยละ 50.63.
.
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจทั้งเรื่อง ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์ สะท้อนภาพเดียวกันว่ารัฐบาลยังเผชิญความคาดหวังสูงจากประชาชน โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจซึ่งเป็นความหวังหลัก ขณะเดียวกันก็มีความกังวลต่อคณะรัฐมนตรีและศักยภาพรัฐบาลในการรับมือแรงกดดันจากภายนอกจากกรณีภาษีทรัมป์ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ความไม่มั่นใจต่อการเจรจาจึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
.
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยอดชาย ชุติกาโม อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ในเวลานี้ สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น ครม.ชุดใหม่เร่งดำเนินการ หนีไม่พ้นการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ยังมีความกังวลใจถึงความรู้ความสามารถที่ไม่ตรงกับงาน ความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรี เมื่อเปรียบกับครม.ชุดที่ผ่านมา ประชาชนเชื่อว่า ครม.ชุดใหม่อาจแย่กว่า สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อ ครม.ชุดใหม่ ส่วนผลกระทบจากปัจจัยภายนอก คนไทยมีความกังวลมากถึง 50.04% กรณีโดนัล ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยถึง 36% ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ย่ำแย่ลงไปอีก สิ่งที่ ครม.ชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากปัญหาของตัวนายกรัฐมนตรีเอง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหานโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่ยังหาความชัดเจนไม่ได้ แม้ว่าจะประกาศออกมารายวันแต่นโยบายก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ครม.ชุดใหม่ สมควรจะต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตนเองว่าได้ทำอย่างเต็มที่หรือไม่ และต้องใช้วิกฤตินี้พิสูจน์ว่ามีความจริงใจต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติ นั่นคือ ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยทุกคนมากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมืองภายในเพื่อยืดระยะเวลารัฐบาลเอาตัวรอดไปวันๆ.
.
.
นักวิชาการ ประเมินไทยลดภาษีสหรัฐฯ ได้ต่ำสุด 20-30% ย้ำอย่าเลียนแบบเวียดนาม
https://www.matichon.co.th/economy/news_5272761
.