จากประสบการณ์ที่เจอกับตัวเอง โดยเฉพาะตอนเล่นหุ้นแล้วทำเรื่องผิดพลาด ทั้งซื้อผิดราคา ทั้งซื้อปุ๊บราคาตกปั๊บ แล้วเราพูดปลอบใจตัวเองว่า "ไม่เป็นไร" สุดท้ายเรือหายทุกที จะว่ามันเป็นคำอาถรรพ์เวลาเล่นหุ้นของผมก็ได้ ห้ามพูดคำนี้เลย พูดเมื่อไหร่คือเจ๊งเมื่อนั้น
แล้วไม่ใช่เป็นกับผมคนเดียว เวลาได้ยินคนอื่นพูดคำนี้ ผมจะคอยดูผลลัพธ์สุดท้ายของคน ๆ นั้นว่าดีหรือไม่ดี ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ พอผมได้ยินโค้ชอ๊อดพูดคำนี้กับนักกีฬาบ่อย ๆ "ไม่เป็นไร" "ไม่เป็นไรนะ" แต่สุดท้ายมันกลับเป็นไรทุกทีนี่สิ ได้ยินมาตั้งแต่สนาม 1 มาสนาม 2 และสนาม 3 ก็ยังพูดว่า ไม่เป็นไรอยู่เหมือนเดิม แกคงไม่รู้ตัวหรอกว่า คำนี้มันอาถรรพ์ยังไง ยิ่งพูดยิ่งแย่ โดยเฉพาะพูดในเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ หรือ การแข่งขันทางธุรกิจ การแข่งกีฬา มันเป็นไรทุกที พอได้ยินโค้ชอ๊อดพูดคำนี้ ผมก็รู้เลยว่าพังแน่ ๆ
ฟังดูคำนี้ก็ไม่น่าจะมีอิทธิพลหรือมีผลอะไรกับผลงานของนักกีฬาหรือทีมเลย แต่มันเป็นแบบนี้จริง ๆ โดยเฉพาะกีฬาประเภททีม มันจะต้องมีใครบางคนในทีมที่ทำผิดพลาดจนทำให้ทีมพ่ายแพ้ ผมรู้ว่าโค้ชอ๊อดแกพูดต้องการพูดปลอบใจเด็ก ไม่อยากให้เด็กเครียดและโทษตัวเอง แต่ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูดคำนี้เลยจะดีกว่า ควรพูดปลอบใจด้วยคำพูดอื่นแทน หรือไม่ต้องพูดปลอบใจเลยก็ได้ นักกีฬาทีมชาติควรจะต้องเข้มแข็งไม่อ่อนแอ แค่บอกเด็กว่าจะต้องแก้ไขยังไง อะไรที่ผิดพลาดก็ให้ลืมมันไป แล้วเริ่มต้นใหม่ก็พอ หรือไม่ก็บอกให้เด็กมีสมาธิอยู่กับเกม อย่าวอกแวก เล่นให้ละเอียด ไม่ทำอะไรผิดพลาดเองง่าย ๆ แบบนี้จะดีกว่า
ผมเคยสังเกตดูว่า แกจะพูดคำนี้ตอนไหน แล้วตอนไหนที่แกไม่พูดคำนี้ สรุปคือ แกจะพูดทุกครั้งตอนที่ไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำ แต้มโดนทิ้งห่าง 4-8 แต้ม ส่วนตอนที่ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบคู่แข่ง แกจะไม่พูดคำนี้เลย จึงพอประเมินสถานการณ์ของทีมในเวลานั้นได้ว่า สถานการณ์ไม่สู้ดี ผลสุดท้ายมักจะแพ้
ไม่ 3-0 ก็ 3-1 เสมอ
ผมเคยคิดจะตั้งกระทู้เรื่องนี้ตั้งแต่แข่งสนาม 2 แล้ว แต่พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าผมวิตกเกินเหตุ ไปสาปแช่งทีมไทยล่วงหน้า มันก็เป็นคำพูดปกติธรรมดา ๆ คำหนึ่ง ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับผลงานของนักกีฬาและทีมเลย ถ้าเป็นโค้ชยะ ผมว่าแกเชื่อนะ แต่พอเป็นโค้ชอ๊อดแกคงไม่เชื่อหรอก แต่ถ้ามีใครไปสะกิดบอกแก ขอให้แกเลิกพูดคำนี้ แกคงไม่ขัดข้อง หรือว่าแกจะดื้อยิ่งทักยิ่งพูดบ่อยขึ้นก็ไม่รู้สินะ
ทั้งหมดเป็นความเชื่อส่วนตัว แต่ใครจะลองไปจับสังเกตดูกับตัวเองหรือคนรอบ ๆ ตัวก็ได้ เน้นเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงิน ๆ ทอง ๆ การแข่งขันกีฬา แต่เดี๋ยวก็มีคนแย้งอีกว่า สภาพทีมแบบนี้ต่อให้ไม่พูดคำนี้ก็แพ้อยู่ดี อันนี้ก็ไม่ผิด แค่จะบอกว่าผมได้ยินมาตั้งแต่สนามที่ 1 ผมมีลางสังหรณ์นิด ๆ ว่าทีมไทยจะตกชั้นตั้งแต่แข่งแพ้ 2-3 แมทช์แรกแล้ว แต่พอแมทช์ที่ 4 ชนะฝรั่งเศส เลยคิดว่าคงไม่อาถรรพ์อะไรหรอก ผมคิดมากไปเอง ตอนนี้ทุกอย่างใกล้รู้คำตอบแล้ว เหลืออีกแค่แมทช์เดียว สถานการณ์บังคับให้ไทยต้องชนะแคนาดาให้ได้สถานเดียว ต่อให้พูดหรือไม่พูดก็คงไม่มีผลกระทบอะไรแล้วล่ะ แค่ที่แกพูดมาตั้งแต่สนาม 1 จนถึงตอนนี้มันก็ส่งอาถรรพ์บอกผลล่วงหน้ามามากพอแล้ว แค่เอามาแชร์เล่าให้ฟังเฉย ๆ เอาเป็นว่า มันเป็นคำพูดอาถรรพ์สำหรับผมแค่คนเดียวก็ได้ เผื่อไทยอาจโชคดีทำลายอาถรรพ์พลิกชนะแคนาดา 3-0 3-1 ได้ ผมยอมหน้าแตกที่คิดวิตกจริตไปเอง
คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำอาถรรพ์ ยิ่งพูดยิ่งพัง
แล้วไม่ใช่เป็นกับผมคนเดียว เวลาได้ยินคนอื่นพูดคำนี้ ผมจะคอยดูผลลัพธ์สุดท้ายของคน ๆ นั้นว่าดีหรือไม่ดี ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ พอผมได้ยินโค้ชอ๊อดพูดคำนี้กับนักกีฬาบ่อย ๆ "ไม่เป็นไร" "ไม่เป็นไรนะ" แต่สุดท้ายมันกลับเป็นไรทุกทีนี่สิ ได้ยินมาตั้งแต่สนาม 1 มาสนาม 2 และสนาม 3 ก็ยังพูดว่า ไม่เป็นไรอยู่เหมือนเดิม แกคงไม่รู้ตัวหรอกว่า คำนี้มันอาถรรพ์ยังไง ยิ่งพูดยิ่งแย่ โดยเฉพาะพูดในเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ หรือ การแข่งขันทางธุรกิจ การแข่งกีฬา มันเป็นไรทุกที พอได้ยินโค้ชอ๊อดพูดคำนี้ ผมก็รู้เลยว่าพังแน่ ๆ
ฟังดูคำนี้ก็ไม่น่าจะมีอิทธิพลหรือมีผลอะไรกับผลงานของนักกีฬาหรือทีมเลย แต่มันเป็นแบบนี้จริง ๆ โดยเฉพาะกีฬาประเภททีม มันจะต้องมีใครบางคนในทีมที่ทำผิดพลาดจนทำให้ทีมพ่ายแพ้ ผมรู้ว่าโค้ชอ๊อดแกพูดต้องการพูดปลอบใจเด็ก ไม่อยากให้เด็กเครียดและโทษตัวเอง แต่ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูดคำนี้เลยจะดีกว่า ควรพูดปลอบใจด้วยคำพูดอื่นแทน หรือไม่ต้องพูดปลอบใจเลยก็ได้ นักกีฬาทีมชาติควรจะต้องเข้มแข็งไม่อ่อนแอ แค่บอกเด็กว่าจะต้องแก้ไขยังไง อะไรที่ผิดพลาดก็ให้ลืมมันไป แล้วเริ่มต้นใหม่ก็พอ หรือไม่ก็บอกให้เด็กมีสมาธิอยู่กับเกม อย่าวอกแวก เล่นให้ละเอียด ไม่ทำอะไรผิดพลาดเองง่าย ๆ แบบนี้จะดีกว่า
ผมเคยสังเกตดูว่า แกจะพูดคำนี้ตอนไหน แล้วตอนไหนที่แกไม่พูดคำนี้ สรุปคือ แกจะพูดทุกครั้งตอนที่ไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำ แต้มโดนทิ้งห่าง 4-8 แต้ม ส่วนตอนที่ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบคู่แข่ง แกจะไม่พูดคำนี้เลย จึงพอประเมินสถานการณ์ของทีมในเวลานั้นได้ว่า สถานการณ์ไม่สู้ดี ผลสุดท้ายมักจะแพ้
ไม่ 3-0 ก็ 3-1 เสมอ
ผมเคยคิดจะตั้งกระทู้เรื่องนี้ตั้งแต่แข่งสนาม 2 แล้ว แต่พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าผมวิตกเกินเหตุ ไปสาปแช่งทีมไทยล่วงหน้า มันก็เป็นคำพูดปกติธรรมดา ๆ คำหนึ่ง ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับผลงานของนักกีฬาและทีมเลย ถ้าเป็นโค้ชยะ ผมว่าแกเชื่อนะ แต่พอเป็นโค้ชอ๊อดแกคงไม่เชื่อหรอก แต่ถ้ามีใครไปสะกิดบอกแก ขอให้แกเลิกพูดคำนี้ แกคงไม่ขัดข้อง หรือว่าแกจะดื้อยิ่งทักยิ่งพูดบ่อยขึ้นก็ไม่รู้สินะ
ทั้งหมดเป็นความเชื่อส่วนตัว แต่ใครจะลองไปจับสังเกตดูกับตัวเองหรือคนรอบ ๆ ตัวก็ได้ เน้นเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงิน ๆ ทอง ๆ การแข่งขันกีฬา แต่เดี๋ยวก็มีคนแย้งอีกว่า สภาพทีมแบบนี้ต่อให้ไม่พูดคำนี้ก็แพ้อยู่ดี อันนี้ก็ไม่ผิด แค่จะบอกว่าผมได้ยินมาตั้งแต่สนามที่ 1 ผมมีลางสังหรณ์นิด ๆ ว่าทีมไทยจะตกชั้นตั้งแต่แข่งแพ้ 2-3 แมทช์แรกแล้ว แต่พอแมทช์ที่ 4 ชนะฝรั่งเศส เลยคิดว่าคงไม่อาถรรพ์อะไรหรอก ผมคิดมากไปเอง ตอนนี้ทุกอย่างใกล้รู้คำตอบแล้ว เหลืออีกแค่แมทช์เดียว สถานการณ์บังคับให้ไทยต้องชนะแคนาดาให้ได้สถานเดียว ต่อให้พูดหรือไม่พูดก็คงไม่มีผลกระทบอะไรแล้วล่ะ แค่ที่แกพูดมาตั้งแต่สนาม 1 จนถึงตอนนี้มันก็ส่งอาถรรพ์บอกผลล่วงหน้ามามากพอแล้ว แค่เอามาแชร์เล่าให้ฟังเฉย ๆ เอาเป็นว่า มันเป็นคำพูดอาถรรพ์สำหรับผมแค่คนเดียวก็ได้ เผื่อไทยอาจโชคดีทำลายอาถรรพ์พลิกชนะแคนาดา 3-0 3-1 ได้ ผมยอมหน้าแตกที่คิดวิตกจริตไปเอง