พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนา จ่อออกกฎหมายปราบอลัชชี-มารศาสนา

     เมื่อพระเสื่อมสร้างปัญหา… พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนาคือคำตอบหรือไม่?
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คงทำให้ชาวพุทธหลายคนต้องตกใจไม่น้อย เมื่อพระสงฆ์บางรูปที่เราเคารพบูชากลับต้องอาบัติปาราชิกจาก "สีกา" รายหนึ่งที่ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าจะจบง่ายๆ แม้ตำรวจจะยังไม่จับกุมเพราะยังไม่เข้าฐานความผิดใดๆ เลย แต่หลายคนคงไม่สบายใจ และตั้งคำถามว่า แล้วเราจะจัดการบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็น "มารศาสนา" หรือ "อลัชชี" เหล่านี้ได้อย่างไร?
ความเคลื่อนไหวใหม่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
     คำตอบอาจอยู่ที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของหน่วยงานที่ดูแลโดยตรง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเริ่มขยับแล้ว โดยเตรียมปัดฝุ่นร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... กลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยจะเสนอเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมมหาเถรสมาคมก่อนเข้าสู่ขั้นตอนออกกฎหมายต่อไป

ทำไมถึงต้องออก พ.ร.บ. ฉบับนี้?
     เหตุผลและความจำเป็นของร่างกฎหมายนี้ชัดเจน คือ เพื่อมีมาตรการและกลไกป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา และป้องปรามมิให้พระภิกษุประพฤติตนละเมิดพระธรรมวินัยร้ายแรงถึงขั้นอาบัติปาราชิก รวมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการส่งเสริม อุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีรายละเอียดอย่างไร?
     แล้วกฎหมายที่กำลังจะมาถึงนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร? ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา มีทั้งสิ้น 6 หมวด 30 มาตรา ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันไปจนถึงการลงโทษ:

หมวดที่ 1: บททั่วไป
กำหนดให้รัฐและพุทธศาสนิกชนร่วมกันอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาในแนวทางต่างๆ

หมวดที่ 2: การตั้งคณะกรรมการ
จัดตั้งคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อเสนอนโยบาย แนวทางในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

หมวดที่ 3: ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา
รัฐส่งเสริมพุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในการสนับสนุนการจัดกิจกรรมวันสำคัญต่างๆ และกำหนดให้มีพุทธมณฑลประจำจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อม เพื่อเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมในวันสำคัญ และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนา

หมวดที่ 4: การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
จัดตั้งกองทุนเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักธรรม การเผยแผ่ สนับสนุนการศาสนศึกษา การศาสนสงเคราะห์

หมวดที่ 5: การคุ้มครองพระพุทธศาสนา
กำหนดให้พระที่ถูกกล่าวหาในคดีอาญามีสิทธิขอความช่วยเหลือจากกองทุนในการจัดหาทนายความเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินคดี

หมวดที่ 6: บทกำหนดโทษ
ส่วนที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุด คือบทลงโทษที่มี 7 มาตรา ครอบคลุมฐานความผิดต่างๆ ได้แก่:
- พระอาบัติปาราชิก หรือละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ
- เป็นผู้ต้องหา-จำเลยในคดีอาญาแล้วมาบวช
- ผู้ไม่มีสิทธิบวช หลอกลวงพระอุปัชฌาย์เพื่อให้มีสิทธิบวช
- อวดอุตริมนุสสธรรม ทำเสน่ห์ บอกใบ้หวย ซึ่งถูกตักเตือนแล้วแต่ยังฝ่าฝืน
- ผู้สมัครใจเสพเมถุนกับพระหรือสามเณร ไม่ว่าหญิงหรือชาย
- ล้อเลียน ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิดในพระพุทธศาสนา
- ทำให้พระผู้ปฏิบัติดีต้องมีมลทินมัวหมอง หรือกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน
บทลงโทษนั้นค่อนข้างหนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มองไปข้างหน้า: ทางออกของปัญหาพระเสื่อมในสังคมไทย
     กฎหมายฉบับนี้อาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระเสื่อมที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่ในขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและไม่ละเมิดสิทธิของผู้บริสุทธิ์ก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างรอบคอบ

     การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวังและรักษาศักดิ์ศรีของพระพุทธศาสนาอาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองศาสนาและการรักษาสิทธิเสรีภาพของทุกคน

ขอบคุณข้อมูลข่าว NationSTORY
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่