JJNY : ปชน.ถามทักษิณ ผ่าทางตันหรือตอกลิ่ม│สแกนผลกระทบ 47 อุตสาหกรรม│สภากัมพูชาแก้รธน.ถอนสัญชาติ│เตือน 15 จว.ฝนตกหนัก

รองโฆษกปชน. ถามทักษิณ ผ่าทางตันหรือตอกลิ่ม อัดคำพูดพร้อมทำลายทุกหลักการ เพื่อยื้อเวลาให้รบ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_5271719
.
.
รองโฆษกปชน. ถามทักษิณ ผ่าทางตันหรือตอกลิ่มประเทศ อัดคำพูดพร้อมทำลายทุกหลักการ เพื่อยื้อเวลาให้รัฐบาล
.
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคประชาชน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นถึงสาระบนเวทีผ่าทางตันประเทศ โดย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า
.
ฟังจบ 2 รอบ ขอแสดงความเห็นสักหน่อย
.
จนถึงวันนี้ดิฉันคิดว่า ไม่มีใครตั้งคำถามแล้ว ว่าคุณทักษิณออกมาแสดงวิสัยทัศน์การบริหารประเทศในฐานะอะไร มีแต่คนเขารอฟังซะด้วยซ้ำ เพราะนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติงานจริงไม่เคยสามารถแสดงวิสัยทัศน์ได้ทะลุปรุโปร่งเลยในหลายวาระที่คนในประเทศต้องการ มีแต่จะรอฟังคุณทักษิณ และก็ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่นายกฯ แพทองธารรับตำแหน่ง การปรากฏตัวของคุณทักษิณทุกครั้งมักมาพร้อมกับ Hidden agenda เสมอ
.
ดิฉันจำได้ว่าในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลอิ๊งค์ 1 ดิฉันต้องอภิปรายเมกะโปรเจกต์อย่างแลนด์บริดจ์ ให้ตายเถอะ ในการทำข้อมูลพยายามค้นทุกข่าว อ่านทุกรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่รู้ความคืบหน้าอะไรเลย จนกระทั่งบนเวทีแสดงวิสัยทัศน์ที่คุณทักษิณออกมาเปิดเผยว่าโครงการแลนด์บริดจ์ได้มีการเจรจากับนักลงทุนต่างชาติแล้ว แต่เขาสนใจลงทุนเพียงขาเดียว ซึ่งนี่เป็นความคืบหน้าเดียวที่เราไม่เคยรู้จากคนที่มีตำแหน่งในรัฐบาล หรือแม้กระทั่งเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คนที่เปิดเผยคนแรกก็คือคุณทักษิณอีกเช่นกัน
.
ดังนั้น การปรากฏตัวหลังสถานการณ์ฝุ่นตลบทางการเมืองครั้งนี้ ดิฉันคิดว่า คนส่วนใหญ่ก็เฝ้ารอฟังยุทธศาสตร์การพาประเทศฝ่าทางตันจากพ่อนายกรัฐมนตรี แต่กลับกลายเป็นว่าเวทีนี้เราไม่เห็นยุทธศาสตร์อะไรเลย นอกจากได้เห็นตัวตนของคุณทักษิณที่ชัดเจน และตอกย้ำว่า คุณทักษิณไม่เปลี่ยนการมองและการบริหารประเทศแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเลย ประเทศไทยยังคงหมุนรอบตัวคุณทักษิณ ย้ำว่าไม่ใช่หมุนรอบตระกูลชินวัตร แต่เป็นการหมุนรอบตัวคุณทักษิณคนเดียว เพราะทุกคำที่พูดออกมา ไม่มีช่วงไหนเลยที่เป็นการนำเสนอศักยภาพของคุณแพทองธารให้ประชาชนได้มั่นใจ ยิ่งพูดยิ่งเล่ายิ่งเห็นว่าคุณแพทองธาร ไม่มีความสามารถที่จะเป็นนายกฯได้เลย สิ่งที่คุณทักษิณพูดบนเวทีถึงคุณแพทองธารเป็นบทบาทของ “ปลัดประเทศ” ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี
.
บอกตรงๆ ว่าตลอดที่ดูการสัมภาษณ์เกือบ 2 ชั่วโมงเราอยากฟังวิสัยทัศน์ยาวๆ และสิ่งที่ได้คือการตอบสั้น ๆ กั๊ก ๆ ตามสไตส์ผู้เก๋าเกมทางการเมืองที่ การพยายามแสดงตัวว่า “อั๊วะเอาอยู่อย่าตีโพยตีพาย”
.
ทั้งที่วันนี้ ดิฉันเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศเขาอยากได้ยินว่ารัฐบาลจะฝ่าวิกฤติชายแดนได้อย่างไร ประเทศไทยจะมีทางออกต่อกำแพงภาษีของสหรัฐอย่างไร แต่เราไม่ได้ยินคำอธิบายที่เป็นยุทธศาสตร์แบบแผนเลย สิ่งที่ได้ฟังมีแต่บอกว่า “ผมอยู่ตรงนี้อย่าตกใจ ผมอยู่ตรงนี้ ผมเอาอยู่ ผมไม่โง่” อะไรทำนองนี้ตลอดการสัมภาษณ์
.
ถ้าดิฉันจะตั้งคำถามในฐานะประชาชนคนหนึ่งว่า แล้วถ้าประเทศไทยไม่มีคุณทักษิณล่ะ จะไปอย่างไรต่อได้? ทำไมคนที่อ้างมาตลอดว่าหวังดีกับชาติบ้านเมือง ไม่พยายามที่จะสร้างระบบ ที่ส่งต่อไปสู่การพัฒนาได้ หากวันที่คุณทักษิณวางมือทางการเมือง และที่ชัดเจนที่สุดในการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือ เราเห็นการแสดงตัวเพื่อยืนยันกับผู้ออกใบอนุญาตว่า “ผมยังอยู่ตรงนี้ ข้อตกลงที่ให้กันไว้ยังคงยืนยันจะปฏิบัติ อย่าให้ใครมาแทนที่” ถึงขนาดที่มานั่งผสมสีบนเวที
.
สิ่งที่พูดออกมาว่าน่าผิดหวังแล้ว สิ่งที่ไม่ได้พูดยิ่งน่าผิดหวังยิ่งกว่า
.
คุณทักษิณไม่แม้แต่จะพูดถึง “นิติสงคราม” ในเชิงวิพากษ์หลักการทั้งที่วันนี้ เวลาเพียง 2 ปี พรรคเพื่อไทยโดนนิติสงครามเล่นงานนายกรัฐมนตรีไปแล้วถึง 2 คน ชะตากรรมที่เกิดกับพรรคเพื่อไทย ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำแต่คุณทักษิณยังไม่กล้าแม้จะยืนยันหลักการและไม่ได้พูดถึงการสร้างระบบการเมืองที่เข้มแข็ง เพื่อที่ประเทศจะได้ไม่ต้องพึ่งพา “ซูเปอร์แมน” เขาไม่ได้พูดถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เท่าเทียม เพื่อที่ทุกคนจะอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน และเขาไม่ได้พูดถึงการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เคารพความเห็นต่าง เพื่อลดความขัดแย้งในระยะยาว หนำซ้ำยังกลับแสดงออกถึงวิธีคิดที่ทำลายระบอบรัฐสภาผ่านเนื้อเพลงว่า “ฉันเปล่าชวนนะ เขามาเอง” พร้อมทำลายทุกหลักการเพื่อยืดลมหายใจของรัฐบาล ไม่มีความพยามจะสร้างระบบแถมยังไม่เชื่อในระบอบ
.
ท้ายที่สุดแล้ว การขึ้นเวทีของคุณทักษิณ ไม่ใช่การ “ผ่าทางตัน” ให้กับประเทศไทย แต่กลับเป็นการ “ตอกลิ่มประเทศ” ให้จมอยู่กับวังวนของปัญหาเดิม ๆ นั่นคือ การยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าระบอบ
.
ในฐานะคนที่ยังมีความหวังในประเทศนี้ยังอยากเห็นสังคมนี้เป็นของพวกเราคนธรรมดาทุกคน การทำการเมืองแบบนี้ สำหรับดิฉัน ไม่ใช่การเมืองที่หวังดีกับประเทศการเมืองแบบที่ต้องมีตัวเองอยู่ในทุกสมการ ไม่ใช่การเข้ามาเปลี่ยนประเทศ และพร้อมจะส่งต่อสังคมให้คนอื่นแต่คือการทำการเมืองแบบที่มองประเทศนี้เป็น “รัฐสมบัติ” (ตัวเอง)
.
https://www.facebook.com/lisapukkamon/posts/pfbid0366gL4ZrX8Ei9U3jtkxLXL8Ph4bt8y2rBK6S6i4MDSJXBbVBi8ShMMefQkxi9Js3Tl
.

.
สแกนผลกระทบ 47 อุตสาหกรรม ส.อ.ท.ยื่นคลังเจรจาลดภาษีสหรัฐ-ออกมาตรการช่วย
https://www.matichon.co.th/economy/news_5271715
.
สแกนผลกระทบ 47 อุตสาหกรรม ส.อ.ท.ยื่นคลังเจรจาลดภาษีสหรัฐ – ออกมาตรการช่วย
.
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีสถานการณ์การเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ล่าสุด หลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับ 22 ประเทศ มีผลบังคับใช้ 1 สิงหาคมนี้ โดยไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม (20%) มาเลเซีย (25%) และอินโดนีเซีย (32%) พร้อมเดินหน้ารวบรวมข้อมูลจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม เตรียมยื่นกระทรวงการคลัง เร่งเจรจาลดภาษีศุลกากรตอบโต้
.
ปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับเวียดนามและสหราชอาณาจักร (UK) แล้ว โดยได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามลงจาก 46% เหลือ 20% สำหรับสินค้าของเวียดนามเอง และ 40% กรณีมีการสวมสิทธิจากต่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไขควบคุมสินค้าถ่ายโอนจากจีน และลดภาษีนำเข้ารถยนต์จาก UK เหลือ 10% สำหรับโควตา 100,000 คันต่อปี พร้อมเปิดตลาดสินค้าเกษตร เช่น เนื้อวัวและเอทานอล สร้างความกังวลว่าไทยอาจเสียเปรียบในการแข่งขัน หากไม่สามารถเจรจาลดอัตราภาษีได้เท่าคู่แข่ง
.
นอกจากนี้ จีน สหภาพยุโรป (EU) และอินเดีย ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจา โดยเฉพาะจีนที่อยู่ระหว่าง “การพักชำระภาษีชั่วคราว” (tariff truce) ซึ่งจะหมดอายุ 12 สิงหาคมนี้ โดยล่าสุดสหรัฐฯ และจีน ได้มีการเจรจาข้อตกลงการค้าร่วมกันระหว่างผู้แทนการค้าระดับสูงของสหรัฐฯ และจีนที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ข้อสรุปเรื่องการกำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าว่า สหรัฐฯ ยังคงเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 55% จากเดิมที่ระดับ 145% ส่วนจีน เรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดี สี จิ้ง ผิง ยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ และยังไม่มีการออกมายืนยันจากทางรัฐบาลจีน
.
ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 1 ปี 2568 เผยว่าการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 58% ของ GDP โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนกว่า 47% ของ GDP หากไทยไม่สามารถเจรจาลดภาษีศุลกากรตอบโต้ให้ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง อาจทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าไปสหรัฐฯ สูงขึ้น สูญเสียความสามารถในการแข่งขันและกระทบส่วนแบ่งตลาด รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
.
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศเก็บ Reciprocal Tariff กับไทยในอัตรา 36% ซึ่งสูงกว่าภาษีที่ใช้กับเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยหากไม่มีมาตรการรองรับ คาดว่ามูลค่าความเสียหายต่อภาคการส่งออกอาจสูงถึง 800,000–900,000 ล้านบาท
.
ขณะที่ข้อมูลการส่งออกเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 31,044.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตต่อเนื่อง 18.35% YoY และสูงสุดในรอบ 38 เดือน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าในครึ่งปีหลัง หากไทยยังเผชิญภาษีในอัตราสูง การส่งออกอาจหดตัวกว่า -10% YoY ทำให้ภาพรวมทั้งปี 2568 ขยายตัวใกล้ศูนย์
.
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประชุมหารือกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล ซึ่งเวลานี้ผู้ส่งออกเองก็พยายามปรับตัวรองรับผลกระทบ เช่น บางกลุ่มอุตสาหกรรมได้มีการเจรจาระหว่างผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายทางฝั่งสหรัฐฯ ให้ช่วยรับภาษีไปคนละส่วน เพื่อจะได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระ แต่มีบางกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ทางผู้นำเข้าไม่รับเงื่อนไขนี้ พร้อมเสนอแนวทางให้ภาครัฐเร่งเจรจาลดอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้เหลือ 0% ในหลายพันรายการ เพื่อเดินหน้ามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการไทย
.
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงกว่า 28–35% ของมูลค่าส่งออก รวมถึงยาง เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนรถยนต์ ของเล่น ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก ผลิตภัณฑ์หนังและเซรามิก ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบระดับสูงถึงสูงมาก
.
ส.อ.ท. กำลังรอผลการศึกษาจากกลุ่มอุตสาหกรรม โดยจะต้องนำมาวิเคราะห์และตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็กำลังรอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มา 22 ประเทศ จากร้อยกว่าประเทศ เนื่องจากตัวเลขจากหลายๆ ประเทศ เช่น อินเดีย ก็ยังไม่ถูกประกาศอย่างชัดเจน จึงทำให้บางกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงต้องรอข้อมูลในส่วนนี้ก่อน แต่กำลังทยอยทำและจะนำมาเปรียบเทียบดูว่าประเทศไทยจะเสียเปรียบมากน้อยแค่ไหน ก่อนยื่นให้กระทรวงการคลัง” นายเกรียงไกร กล่าวเสริม
.
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ภาษีและรักษาความสามารถในการแข่งขัน เบื้องต้น ส.อ.ท. เสนอแนะให้ภาครัฐเร่งดำเนินการตามมาตรการ ดังนี้
1. ออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการจากที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
1.1 ออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) หรือมาตรการพักชะลอหนี้และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
1.2 ลดภาษีนิติบุคคลสำหรับเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ
1.3 อุดหนุนหรือลดค่าใช้จ่ายในการส่งออกและการประกอบธุรกิจ เช่น ค่าบริการหน้าท่า พิธีการศุลกากร ค่าออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการประกอบธุรกิจ และค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
1.4 ออกสิทธิประโยชน์ทางภาษี ให้นำค่าใช้จ่ายการจ้างสำนักงานกฎหมาย (Law Firm) ในสหรัฐฯ เพื่อศึกษาและเจรจากับภาครัฐสหรัฐฯ มาลดหย่อนได้ 3 เท่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่