มีใครเคยประสบปัญหาเงินใกล้หมดก่อนจะสิ้นเดือนบ้างไหม?
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “สิ้นเดือน เหมือนสิ้นใจ” ทุกครั้งที่ใกล้จะถึงวันที่ 30 - 31 โดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือนที่รออย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่เราจะถึงวันเงินเดือนออก เพราะเงินในบัญชีใกล้จะหมดทั้งที่ยังไม่ถึงกลางเดือนเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งส่วนคนส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตุว่าสาเหตุที่เงินในกระเป๋าลดน้อยลงเรื่อย ๆ อาจไม่ใช้เพราะเงินเดือนน้อยกว่ารายจ่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเพราะเราขาดการวางแผนการเงินที่ดีตั้งแต่ต้นเดือน
5 วิธีจัดการงบการเงินให้อยู่รอดถึงสิ้นเดือน
เงินหมดก่อนจบเดือน อาจฟังดูเหมือนเป็นปัญหาเล็ก ๆ ทว่า ยิ่งช่วงปลายเดือนที่รายจ่ายยังมี แต่รายรับหมดเกลี้ยง อาจเป็นเพราะเรายังจัดการเงินไม่เป็น และทำให้งบในกระเป๋าติดขัด
นี่คือ 5 วิธีวางแผนงบการเงินที่จะทำให้เราอยู่รอดได้อย่างมั่นคงตลอดทั้งเดือน
1. รู้รายได้ของตัวเอง
ขั้นตอนแรกของการจัดงบประมาณของตัวเอง คือเราต้องรู้ว่ารายได้ทั้งหมดของเราคือเท่าไร ซึ่งนั้นหมายถึงรายได้จากเงินเดือน, งานฟรีแลนซ์, งานพิเศษ และรายได้จากช่องทางอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเดือนนั้น และนำมาแบ่งเป็นสัดส่วน เพื่อให้เราเห็นภาพเงินทั้งหมดที่เรากำลังถืออยู่ชัดขึ้น
ตัวอย่าง :
เงินเดือน 25,000 บาท
เงินจากงานรับจ้างพิเศษในวันหยุด 3,000 บาท
รวมรายได้เดือนนี้ของเรา = 28,000 บาท/เดือน
หรือในกรณีของคู่รักที่ถือกระเป๋าเงินร่วมกันนั้น ให้นำเงินของทั้งคู่มาบวกเข้าด้วยกันเพื่อให้รายได้เป็นก้อนเดียว เช่น
เงินเดือนของเรา 25,000 บาท
เงินเดือนของคนรัก 28,000 บาท
เงินจากงานรับจ้างพิเศษในวันหยุด 3,000 บาท
รวมแล้วทั้งคู่มีรายได้ในกระเป๋า = 56,000 บาท/เดือน
2. รู้ค่าใช้จ่ายของตัวเอง
หลังจากที่รู้รายรับทั้งหมดของเราแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการรู้ค่าใช้จ่ายของตัวเอง ซึ่งทำได้ด้วยการนำแผนค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราต้องใช้เงินกับมัน เพื่อให้เห็นว่าเราต้องจัดระเบียบการเงินต่อไปอย่างไร สิ่งไหนจำเป็นต้องจ่าย หรือไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อ เช่น
ค่าผ่อนบ้าน
ค่างวดรถ
ค่าใช้จ่ายประจำวัน (ค่าอาหาร - ค่าเดินทาง - ค่าของใช้จำเป็น)
วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้เรารู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แต่ยังช่วยให้เห็นภาพรวมของการใช้เงินได้ชัดเจนขึ้น เพราะจะทำให้รู้ว่าส่วนไหนจำเป็นต้องจ่าย และส่วนไหนที่สามารถตัดออกได้ เพื่อช่วยลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และทำให้มีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ
3. รู้จักแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน
เมื่อภาพของรายรับ - รายจ่ายของเราชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนการเงินให้เป็นระเบียบมากขึ้นด้วยการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน หรือใช้สูตร 50 - 30 - 20 ในการช่วยจัดสรรปันส่วนเงินในกระเป๋าให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายตลอดทั้งเดือน ซึ่งแบ่งออกเป็น
ส่วนแรก : 50% สำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ค่าอาหาร ค่ารถ ค่าเช่าบ้าน ค่าอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนให้ดี แบ่งเงินครึ่งหนึ่งของตัวเองไปไว้กับสิ่งที่จำเป็นก่อน
ส่วนที่สอง : 30% สำหรับค่าใช้จ่ายทั่วไป เพราะแม้ว่าการประหยัดจะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเรารัดเข็มขัดการเงินมากเกินไปก็อาจทำให้ตัวเองอึดอัดได้ ดังนั้นต้องไม่ลืมที่จะแบ่งเงินไว้ซื้อความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับตัวเองด้วย เช่น ช็อปปิ้ง, ไปเที่ยวกับเพื่อน หรือเลี้ยงข้าว 1 มื้อใหญ่ให้ครอบครัวเพื่อฉลองที่เงินเดือนออก
การใช้จ่ายส่วนนี้สามารถใช้ได้กับทุกสิ่งที่เราต้องการ แต่ทั้งนี้ ต้องแน่ใจว่าเงินก้อนที่ใช้ไปจะไม่กระทบต่อการเงินทั้งหมดของตัวเองและกลายเป็นติดลบในตอนสิ้นเดือน
ส่วนที่สาม : 20% สำหรับการออม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าในอนาคตทิศทางของเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร หรือเราอาจมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดโผล่มา เช่น ค่ารักษาพยาบาล
ดังนั้นการออมและเก็บเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉินจึงสำคัญไม่แพ้กับการแบ่งค่าใช้จ่ายให้เป็นระบบ เพราะมันจะเป็นแผนสำรองที่ช่วยเหลือเราได้ในวันที่การเงินสะดุด
4. รู้ที่จะติดตามค่าใช้จ่ายทั้งเดือน
หลังจากที่วางแผนการเงินในเดือนนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อคือติดตามการใช้จ่ายของตัวเองว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ เพื่อเป็นตัวกำหนดทิศทางการเงินในเดือนต่อไปว่าเราควรใช้เงินแบบเดิม หรือเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะบางครั้งเราอาจเผลอใช้เงินออกนอกขอบเขตที่วางไว้
ลองจดทุกค่าใช้จ่ายของเดือนนั้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ตั้งแต่ค่าขนมปัง 20 บาท กาแฟแก้วละ 70 บาท ไปจนถึงค่างวดรถ 10,000 บาท เพราะรายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านั้นคือสิ่งที่จะสะท้อนพฤติกรรมการใช้เงินของเรา และการติดตามค่าใช้จ่ายจะทำให้เห็นค่าใช้จ่ายของตัวเองในแต่ละเดือนชัดขึ้น
ถ้าเผลอใช้จ่ายเกินในบางอย่างหรือซื้อของที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป เราจะสามารถรับรู้และปรับให้ใหม่ในเดือนถัดไป ไม่ต้องรอให้เงินหมดแล้วค่อยย้อนมานั่งเครียดว่า "เงินหายไปไหนหมดกันนะ?"
5. รู้จักวางแผนงบการเงินไว้ล่วงหน้า
และสุดท้าย ให้นำแผนการเงินและค่าใช้จ่ายทั้งหมดในเดือนก่อนมาเป็นบทเรียนสำหรับเดือนถัดไป เพราะเราจะสามารถหยิบวิธีที่ทำดีต่อเงินในกระเป๋า และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่กระทบการเงินของตัวเอง เช่น เดือนก่อนใช้เงินกับการเที่ยวมากเกินไป ทำให้สิ้นเดือนเลยต้องกินข้าววันละมื้อจนกว่าจะถึงวันเงินเดือนออก
และบางครั้งเราอาจมีค่าใช้จ่ายบางอย่างเพิ่มมาในเดือนถัดไป เช่น
ค่าของขวัญวันเกิดคนในครอบครัวหรือเพื่อน
ค่าซ่อมบ้าน หรือรถ
ค่าประกันชีวิต
ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนจัดงบประมาณตัวเองใหม่ในทุก ๆ เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดทางการเงิน และเพื่อให้อยู่รอดตั้งแต่ต้นจนถึงสิ้นเดือน โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่า "เงินเดือนนี้จะพอใช้ไหมนะ?" หรือ “เงินที่เหลือจะอยู่ถึงสิ้นเดือนไหม?” เพราะหากเราจัดการเงินดี ชีวิตของเราก็จะดีเช่นกัน
ที่มา:
https://www.thairath.co.th/money/personal_finance/financial_planning/2869838
ยังไม่ทันสิ้นเดือน เงินในกระเป๋าจะสิ้นใจแล้ว! เปิด 5 วิธีจัดการงบ ฉบับมนุษย์เงินเดือน
มีใครเคยประสบปัญหาเงินใกล้หมดก่อนจะสิ้นเดือนบ้างไหม?
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “สิ้นเดือน เหมือนสิ้นใจ” ทุกครั้งที่ใกล้จะถึงวันที่ 30 - 31 โดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือนที่รออย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่เราจะถึงวันเงินเดือนออก เพราะเงินในบัญชีใกล้จะหมดทั้งที่ยังไม่ถึงกลางเดือนเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งส่วนคนส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตุว่าสาเหตุที่เงินในกระเป๋าลดน้อยลงเรื่อย ๆ อาจไม่ใช้เพราะเงินเดือนน้อยกว่ารายจ่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเพราะเราขาดการวางแผนการเงินที่ดีตั้งแต่ต้นเดือน
5 วิธีจัดการงบการเงินให้อยู่รอดถึงสิ้นเดือน
เงินหมดก่อนจบเดือน อาจฟังดูเหมือนเป็นปัญหาเล็ก ๆ ทว่า ยิ่งช่วงปลายเดือนที่รายจ่ายยังมี แต่รายรับหมดเกลี้ยง อาจเป็นเพราะเรายังจัดการเงินไม่เป็น และทำให้งบในกระเป๋าติดขัด
นี่คือ 5 วิธีวางแผนงบการเงินที่จะทำให้เราอยู่รอดได้อย่างมั่นคงตลอดทั้งเดือน
1. รู้รายได้ของตัวเอง
ขั้นตอนแรกของการจัดงบประมาณของตัวเอง คือเราต้องรู้ว่ารายได้ทั้งหมดของเราคือเท่าไร ซึ่งนั้นหมายถึงรายได้จากเงินเดือน, งานฟรีแลนซ์, งานพิเศษ และรายได้จากช่องทางอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเดือนนั้น และนำมาแบ่งเป็นสัดส่วน เพื่อให้เราเห็นภาพเงินทั้งหมดที่เรากำลังถืออยู่ชัดขึ้น
ตัวอย่าง :
เงินเดือน 25,000 บาท
เงินจากงานรับจ้างพิเศษในวันหยุด 3,000 บาท
รวมรายได้เดือนนี้ของเรา = 28,000 บาท/เดือน
หรือในกรณีของคู่รักที่ถือกระเป๋าเงินร่วมกันนั้น ให้นำเงินของทั้งคู่มาบวกเข้าด้วยกันเพื่อให้รายได้เป็นก้อนเดียว เช่น
เงินเดือนของเรา 25,000 บาท
เงินเดือนของคนรัก 28,000 บาท
เงินจากงานรับจ้างพิเศษในวันหยุด 3,000 บาท
รวมแล้วทั้งคู่มีรายได้ในกระเป๋า = 56,000 บาท/เดือน
2. รู้ค่าใช้จ่ายของตัวเอง
หลังจากที่รู้รายรับทั้งหมดของเราแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการรู้ค่าใช้จ่ายของตัวเอง ซึ่งทำได้ด้วยการนำแผนค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราต้องใช้เงินกับมัน เพื่อให้เห็นว่าเราต้องจัดระเบียบการเงินต่อไปอย่างไร สิ่งไหนจำเป็นต้องจ่าย หรือไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อ เช่น
ค่าผ่อนบ้าน
ค่างวดรถ
ค่าใช้จ่ายประจำวัน (ค่าอาหาร - ค่าเดินทาง - ค่าของใช้จำเป็น)
วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้เรารู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แต่ยังช่วยให้เห็นภาพรวมของการใช้เงินได้ชัดเจนขึ้น เพราะจะทำให้รู้ว่าส่วนไหนจำเป็นต้องจ่าย และส่วนไหนที่สามารถตัดออกได้ เพื่อช่วยลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และทำให้มีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ
3. รู้จักแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน
เมื่อภาพของรายรับ - รายจ่ายของเราชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนการเงินให้เป็นระเบียบมากขึ้นด้วยการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน หรือใช้สูตร 50 - 30 - 20 ในการช่วยจัดสรรปันส่วนเงินในกระเป๋าให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายตลอดทั้งเดือน ซึ่งแบ่งออกเป็น
ส่วนแรก : 50% สำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ค่าอาหาร ค่ารถ ค่าเช่าบ้าน ค่าอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนให้ดี แบ่งเงินครึ่งหนึ่งของตัวเองไปไว้กับสิ่งที่จำเป็นก่อน
ส่วนที่สอง : 30% สำหรับค่าใช้จ่ายทั่วไป เพราะแม้ว่าการประหยัดจะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเรารัดเข็มขัดการเงินมากเกินไปก็อาจทำให้ตัวเองอึดอัดได้ ดังนั้นต้องไม่ลืมที่จะแบ่งเงินไว้ซื้อความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับตัวเองด้วย เช่น ช็อปปิ้ง, ไปเที่ยวกับเพื่อน หรือเลี้ยงข้าว 1 มื้อใหญ่ให้ครอบครัวเพื่อฉลองที่เงินเดือนออก
การใช้จ่ายส่วนนี้สามารถใช้ได้กับทุกสิ่งที่เราต้องการ แต่ทั้งนี้ ต้องแน่ใจว่าเงินก้อนที่ใช้ไปจะไม่กระทบต่อการเงินทั้งหมดของตัวเองและกลายเป็นติดลบในตอนสิ้นเดือน
ส่วนที่สาม : 20% สำหรับการออม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าในอนาคตทิศทางของเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร หรือเราอาจมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดโผล่มา เช่น ค่ารักษาพยาบาล
ดังนั้นการออมและเก็บเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉินจึงสำคัญไม่แพ้กับการแบ่งค่าใช้จ่ายให้เป็นระบบ เพราะมันจะเป็นแผนสำรองที่ช่วยเหลือเราได้ในวันที่การเงินสะดุด
4. รู้ที่จะติดตามค่าใช้จ่ายทั้งเดือน
หลังจากที่วางแผนการเงินในเดือนนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อคือติดตามการใช้จ่ายของตัวเองว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ เพื่อเป็นตัวกำหนดทิศทางการเงินในเดือนต่อไปว่าเราควรใช้เงินแบบเดิม หรือเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะบางครั้งเราอาจเผลอใช้เงินออกนอกขอบเขตที่วางไว้
ลองจดทุกค่าใช้จ่ายของเดือนนั้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ตั้งแต่ค่าขนมปัง 20 บาท กาแฟแก้วละ 70 บาท ไปจนถึงค่างวดรถ 10,000 บาท เพราะรายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านั้นคือสิ่งที่จะสะท้อนพฤติกรรมการใช้เงินของเรา และการติดตามค่าใช้จ่ายจะทำให้เห็นค่าใช้จ่ายของตัวเองในแต่ละเดือนชัดขึ้น
ถ้าเผลอใช้จ่ายเกินในบางอย่างหรือซื้อของที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป เราจะสามารถรับรู้และปรับให้ใหม่ในเดือนถัดไป ไม่ต้องรอให้เงินหมดแล้วค่อยย้อนมานั่งเครียดว่า "เงินหายไปไหนหมดกันนะ?"
5. รู้จักวางแผนงบการเงินไว้ล่วงหน้า
และสุดท้าย ให้นำแผนการเงินและค่าใช้จ่ายทั้งหมดในเดือนก่อนมาเป็นบทเรียนสำหรับเดือนถัดไป เพราะเราจะสามารถหยิบวิธีที่ทำดีต่อเงินในกระเป๋า และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่กระทบการเงินของตัวเอง เช่น เดือนก่อนใช้เงินกับการเที่ยวมากเกินไป ทำให้สิ้นเดือนเลยต้องกินข้าววันละมื้อจนกว่าจะถึงวันเงินเดือนออก
และบางครั้งเราอาจมีค่าใช้จ่ายบางอย่างเพิ่มมาในเดือนถัดไป เช่น
ค่าของขวัญวันเกิดคนในครอบครัวหรือเพื่อน
ค่าซ่อมบ้าน หรือรถ
ค่าประกันชีวิต
ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนจัดงบประมาณตัวเองใหม่ในทุก ๆ เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดทางการเงิน และเพื่อให้อยู่รอดตั้งแต่ต้นจนถึงสิ้นเดือน โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่า "เงินเดือนนี้จะพอใช้ไหมนะ?" หรือ “เงินที่เหลือจะอยู่ถึงสิ้นเดือนไหม?” เพราะหากเราจัดการเงินดี ชีวิตของเราก็จะดีเช่นกัน
ที่มา: https://www.thairath.co.th/money/personal_finance/financial_planning/2869838