หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (15)...หายไปไม่บอกเลย
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เทอมแรกของดวงเนตรจบลงได้ด้วยดี เทอมที่ผ่านมาดวงเนตรหมกตัวอยู่ในห้องสมุดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อจะลืม
ความปวดร้าวในหัวใจน้อยดวงนี้ และแทบจะไม่ได้เจอพี่หนอยเลย ได้ข่าวเขาคนนั้นมาบ้างก็ผ่านทางพี่น้อยและน้าวิว
“เจอตัวยากจริง ๆ ไอ้ตี๋หล่อนี่ มันบอกว่าเรียนหนัก อย่างมันไม่ต้องเรียนหนักก็ได้ A ทุกวิชาอยู่แล้ว หลบหน้าหลบตาไม่รู้ว่ากลัวจะเจอใคร
หนอยผอมลงด้วยหนวดเคราก็ไม่โกน น้าว่ามันเป็นโรคที่หมอเขาไม่ยอมรักษาให้น่ะ” แล้วก็อีกครั้งที่ดวงเนตรได้ข่าวมาจากน้าวิวว่าหนอยโดนเตี่ย
เรียกกลับบ้านด่วน
“ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรต้องรีบขนาดนั้น อีกเทอมก็จะจบแล้ว”
“พี่หนอยออกเดินทางเมื่อไรคะ” ดวงเนตรถามขึ้น
“พี่พลเขาขับรถไปส่งเมื่อวานจ้ะ”
ความจริงแล้วพี่น้อยท้วงว่า “พวกเราน่าจะบอกน้องเนตรสักหน่อยนะ” แต่น้าวิวย้อนว่า
“อย่าเลยถ้าเรายังรักดวงเนตรอยู่” เพราะยิ่งเจอยิ่งทำใจยากและเจ็บปวด
แม้ไม่ได้ลากัน เพียงแค่รู้ดวงใจของดวงเนตรก็หล่นวูบลงไปแล้ว เหมือนว่ามันหายไปและหาไม่เจอเลย เธอล้างเก็บถ้วยชามเสร็จก็ขอตัวกลับ
ห้อง น้าวิว พี่น้อย และพี่ศิริมองหน้ากัน แล้วไม่สามารถเอ่ยอะไรได้ นั่นก็หนอยนี่ก็น้องคนสวยของน้าวิว
ส่วนหนอยเมื่อรู้ว่าถูกเรียกกลับบ้านด่วน หลังสอบเสร็จวันสุดท้าย โดยเตี่ยไม่ได้บอกอะไรเลย คืนก่อนวันออกเดินทาง หนอยนั่งเก้าอี้โยกอยู่
ที่ชานบ้านจนสว่าง มันถูกเลื่อนมาจนชิดมุมซ้ายสุดตั้งนานแล้ว เพราะจุดนั้นคือมุมเดียวที่มองเห็นหน้าต่างห้องดวงเนตรลิบ ๆ
ไม่เห็นหน้าเห็นเพียงหน้าต่างก็ยังดี... “เนตรพี่หนอยไม่ได้หายไปไหนหรอก มองดวงดาวต่างดวงเนตร มองหน้าต่างเหมือนมองเข้าไปในหัวใจทุกคืน”
หลังจากผละมาจากห้องน้านิด ดวงเนตรก็หมกตัวเงียบอยู่เพียงในห้อง หลายวันที่ไม่เห็นเนตรออกมาเดินหาคนนั้นคนนี้ เธอนอนตะแคงกอด
หมีน้อยชิดอก...มันคือสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทนแห่งรัก น้ำตารินไหลได้ทุกวัน เมื่อไรหนอดวงเนตรจะกลับมาเหมือนเดิม หรือว่ามันจะเป็นเช่นที่เห็นตลอด
ไป
ใจเอ๋ย..ใจหนอใจดวงน้อยน้อย
โบกพัดลอยเคว้งคว้างดั่งลูกโป่ง
เหมือนโดนคว้านเจ็บหนักเป็นรูโพรง
พื้นที่โล่ง...ช่างเจ็บ...หนาวเหน็บจัง
แม้เธอจะปวดร้าวมากเพียงใด แต่สิทธิในการเอ่ยวาจาหามีไม่ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะตัวเองเป็นเหตุต้น เหตุดับ ความทุกข์ดับ ไม่มีแม้แต่ความ
เจ็บปวด...จริงหรือ ดวงเนตรได้แต่คิด เพราะภาพที่ปรากฏชัดเจนทุกครั้งไปคือเตี่ยแม่และน้อง ๆ ความเจ็บปวด กับความเหงาเกิดขึ้นทุกเวลา
และเพิ่มมากขึ้น หลายครั้งที่ดวงเนตรท้อแท้และสิ้นหวัง สิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้คือการโทรหาครอบครัว และเพื่อนฝูง เสียงของผู้คนเหล่านั้น ช่วยให้เธอ
ก้าวเดินผ่านพื้นทรายที่ร้อนระอุนี้ได้
สองอาทิตย์ที่ท้องฟ้ามีเพียงดวงดาว ไม่มีแสงตะวันสาดส่อง...
ตะวันของดวงเนตรหายไปไหน เสียงดังก้องอยู่ในหัวใจสาวน้อย เธอปิดเครื่อง
ที่จะรับรู้ทุก ๆ ความคิดและความรู้สึก
“เริ่มต้นวันใหม่เสียที สาวน้อย” เสียงพูดกับตัวเอง
วันนี้มีนัดตัดผมให้พี่ เพื่อนๆ เมื่อมหาวิทยาลัยปิดทุกคนมาจองคิวตัดผมหลายคน
‘ดีแล้วดวงเนตร หาอะไรทำอย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้า...อยู่กับปัญหาที่ผูกเองแต่แก้ไม่ได้’ ความคิดที่เกิดขณะรวบผมให้เรียบร้อย
คิวแรกของวันนี้คือพี่วิศาล หนุ่มหล่อของนักเรียนไทย เขาเลียบ ๆ เคียง ๆ มาหลายรอบ ดูจะวนเวียนอยู่แถวนี้บ่อยขึ้น ทำไม...ดวงเนตรคิดอย่าง
ไม่ไว้วางใจ เขาแวะมาก่อนสอบเสร็จหนึ่งวัน
“ตัดผมให้พี่หน่อยนะเนตร”
“อ้าวไม่ตัดเองล่ะคะ” เนตรพูดแบบไม่ใส่ใจเท่าไร
“ตัดเองมันช้า เนตรตัดให้หนอยซะหล่อ ตัดให้พี่บ้างสิ” ดวงเนตรรำคาญ เลยนัดมาตัดให้เสร็จ ๆ ไปซะที
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญค่ะ” ประตูเปิดไว้กว้าง เธอเอาเก้าอี้ให้นั่ง ลงมือทำ ครู่เดียวก็เสร็จ ไม่มีการพูดคุยเพราะเขาพูดน้อย และ ดวงเนตรไม่อยู่ในอารมณ์จะพูด
ด้วย สามัญสำนึกบอกดวงเนตรให้ระวังตัวเอง ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดกับพี่วิศาลเพียงคนเดียว แต่มันเกิดขึ้นกับแฝดน้องของเขาคือภาคภูมิด้วย
เธอคิดเองว่าเขานิสัยเหมือนกันมากอย่างกับฝาแฝด เหมือนกันในความกะล่อนแบบเงียบ ๆ แต่น่ากลัว แล้วคนที่นิสัยไม่น่าคบคนที่สองก็เข้ามา
ประตูยังเปิดกว้างอยู่
“เป็นไงบ้างดวงเนตร ได้ A กี่ตัว”
“ทุกวิชาเลยค่ะ” เธอตอบแบบขอไปที และไม่ถามด้วยว่าเขาได้เกรดอะไร ก็ไม่สนใจทำยังไงได้
“ผมไม่เห็นยาวเลยจะรีบตัดไปทำไม” ดวงเนตรพูดแบบไม่น่ารักเลย แถมเสียงเหมือนตั้งใจจะกวนโมโหหรือหาเรื่อง
“เอาไว้ยาวอีกหน่อยเนตรจะตัดให้นะคะ” ก็เป็นเชิงไล่แขกด้วย ครู่เดียวเขาก็บอกลาดวงเนตร
ครั้งดวงเนตรอยู่ในก๊วนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วทำเสียงห้วน กวน ๆ แบบนี้ทุกคนจะรู้สึกร้อนหนาว เพราะไม่รู้ว่าพายุอารมณ์ของหล่อน
จะไปลงบนกบาลใคร คนเดียวที่กล้าเข้าไปถามมีแต่รุจี
“ใครทำให้โมโห บอกพี่มาเดี๋ยวจัดการให้” แก่อ่อนกว่ากันแค่สิบวัน แต่รุจีจะตั้งการ์ดรับให้ทุกอย่าง กับรุจีเธอไม่กล้าออกอาการเท่าไร อย่างมาก
ก็ทำตาดุ แล้วพูดว่า
“โมโห ๆ ”
“ใคร” รุจีถาม
“กำลังจะจอดมอเตอร์ไซค์ ก็มีคนแย่งที่จอดรถของเนตร”
“แค่นี้นี่นะ”
“ไม่ใช่ หลายเรื่องมากตั้งแต่เช้าแล้ว” เธอตอบรุจี
“โอ๊ย! นี่มันจะเย็นอยู่แล้วเจ๊ยังไม่หายโมโหอีกเหรอ” เม่นสอดขึ้น
“ใครให้แกมาตอบฉัน...ยุ่ง”
เม่นเรียนเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ เอกกฎหมายระหว่างประเทศ ที่เข้ามานัวเนียกับกลุ่มได้เพราะเป็นเด็กเส้นคือเป็นญาติผู้พี่ของรุจี ดวงเนตรดุใส่
เม่น
“ไม่เอาดูสิหน้าหมดสวยแล้ว และทำบ่อย ๆ หน้าแกจะเหี่ยวเร็วด้วยนะ” ส้มจี๊ดเข้าห้ามทัพอีกคน แล้วทุกคนก็ขนมุกมาแย่งกันคุย ไม่นานอย่างที่เพื่อน ๆ รู้...โกรธง่าย หายเร็ว ครู่เดียวเสียงหัวเราะคิก ๆ ดั่งระฆังใสก็ออกมาจากน้องหมวย
ดวงเนตรคิดถึงเพื่อน ๆ “คิดอะไรมากมายนะดวงเนตรปิดเครื่องได้แล้ว” เธอบ่นกับตัวเอง ความรู้สึกรังเกียจภาคภูมิเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อคืน
ตอนใกล้สว่าง ดวงเนตรมาเข้าห้องน้ำเห็นประตูฝั่งแอนไม่ได้ปิด พอเดินจะปิดล็อกก็เหลือบตามองเห็นแอนนอนอยู่กับภาคภูมิ มันไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ
แต่พฤติกรรมแบบพี่เข้าประตูหน้า น้องออกประตูหลัง เกิดขึ้นหลังจากที่ สองหนุ่มเลียบเคียงทั้งเธอและแอน เหมือนจะดูว่าใครเป็นขนมขบเคี้ยวที่กิน
ง่ายกว่ากัน
“เสียใจด้วย มันไม่ใช่วัฒนธรรมของดวงเนตร มักง่ายเกินไปรึเปล่า” ดวงเนตรคิดอย่างขุ่นใจ
เธอขอคุยกับแอนด้วยความเป็นห่วง เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่แอนยักไหล่ ...I don’t care. จบเพียงเท่านั้น ดวงเนตรหยิบยาพารามาสองเม็ดใส่
ปาก ดื่มน้ำตามเพราะปวดหนึบที่ท้ายทอย
เธอเดินไปหาพี่น้อยที่ห้อง“เข้ามาเลยค่ะ ไม่ได้ล็อก” เสียงพี่น้อยดังมาจากห้องน้ำ
“พี่น้อยอาบน้ำเหรอคะ ขอโทษด้วย”
“ไม่ ๆ พี่น้อยเสร็จแล้ว นั่งก่อนไม่เจอกันตั้งสองวันไปไหนมาหรือเปล่าคะ”
“ช่วงสอบนอนไม่พอเลยนอนซะเต็มอิ่มเลย” ดวงเนตรเฉไฉไปเรื่อย ๆ
“พี่น้อย เนตรมีเรื่องจะถามค่ะ”
“ได้จ้ะ มีอะไร ฮึ” แล้วเรื่องสองหนุ่มจอมกะล่อนกับสาวแอนก็ถูกระบายออกมาจากปากดวงเนตร พี่น้อยเอามือตีเข่าตัวเองเบา ๆ
“นั่นไง! ไอ้พวกมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก”
“มันเป็นอย่างไรคะ เนตรไม่ค่อยเข้าใจความหมาย”
“ก็ไอ้พวกกะล่อน มั่วไปกับผู้หญิงจนทั่วนะสิ น้องเนตรอย่าเข้าใกล้นะคะ หนูวางตัวถูกแล้ว วัฒนธรรมเราไม่รับเรื่องเสียหายพวกนี้หรอกโดย
เฉพาะผู้หญิงคือคนเสียหายนะคะ”
“ค่ะ แบบนี้ก็รวมพี่หนอยด้วยสิคะ"
“ช่วงที่เขามาเรียนใหม่ ๆ ก็ควงผู้หญิงต่างชาติ ไม่ซ้ำหน้าจนน้าวิวเรียกมาว่า แต่เขาบอกว่ามันเป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย และเขาแค่
ควงกันไปไหนมาไหนด้วยกันเท่านั้นจริง ๆ ไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครเลย”
“หนอยเขาเป็นคนช่างเลือกจ้ะ เห็นอย่างนั้นเถอะสุดท้ายก็กลายเป็นปลาตายน้ำตื้นเอาตอน...” พี่น้อยวิจารณ์เพลินลืมคิดไปว่าคนกำลังอ้าปาก
หวอฟังอยู่คือเจ้าของประเด็น ซึ่งหมายถึงบ่อน้ำตื้นที่ปลาตัวนั้นมานอนตายใกล้ ๆ นั่นเอง ปลาตายน้ำตื้น หรือปลาตัวนั้นโดนจับลงบ่ออื่นไปแล้ว
นี่ก็สองอาทิตย์แล้วที่พี่หนอยหายไปโดยไม่กล่าวลา ทิ้งไว้แต่บาดแผลเจ็บลึกในใจของดวงเนตร เธอมองหน้าพี่น้อย
“พี่น้อยคะ พี่หนอยจะกลับมาไหมคะ” คำถามเพียงแค่นี้ คนที่ไม่เคยมีความรักอย่างพี่น้อย ยังเย็นเยือกจับหัวใจ มันเหมือนคำถามของเด็กน้อย
ที่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่เดียวดายอีกปลายฟ้าหนึ่ง
“พี่หนอยต้องกลับสิคะ เพราะเหลืออีกแค่เทอมเดียว แล้วอีกอย่างได้ A หมดทุกวิชา คงได้ฉลองเกียรตินิยมอันดับหนึ่งแน่นอน”
ที่ถามเพียงต้องการมั่นใจว่าเธอจะได้พบพี่หนอย และมีโอกาสกล่าวลา แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเพียงใด
“น้องเนตร” พี่น้อยเขย่ามือเบา ๆ เธอพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ และสาบานว่าจะไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว มันเจ็บปวดเกินไปสำหรับ
ดวงเนตร...พี่น้อยคิด
“ไปเร็ว! ไปหาลุงพอล เมื่อวานแกย้ำหลายครั้งอยากจะเจอนิคกี้ นะไปแวะหาแกบ้าง แกบ่นคิดถึง คนแก่ก็อย่างนี้แหละ มีคนมาแวะหาเยี่ยมเยือน
ก็มีความสุขแล้ว เคยมีคนแวะไปหาทักทายพอหายไปก็เหงานะไปกันเถอะ” พี่น้อยใช้จุดอ่อนของดวงเนตร
“พี่น้อยรอแป๊บเดียวนะคะ เมื่อสามสี่วันก่อนเตี่ยกับแม่ฝากของมากล่องใหญ่เลยมีของที่ระลึกหลายชิ้น เนตรจะเอาไปฝากพวกเขา”
“ได้ค่ะ พี่รออยู่ที่ห้องผู้จัดการนะ”
เธอกลับไปที่ห้องทาแป้งฝุ่นบาง ๆ ปล่อยผมที่หวีเรียบร้อยแล้วให้สยายลงมา ทาลิปสีอ่อน
เสร็จ คว้าถุงของฝากติดมือออกมา
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (15)...หายไปไม่บอกเลย
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เทอมแรกของดวงเนตรจบลงได้ด้วยดี เทอมที่ผ่านมาดวงเนตรหมกตัวอยู่ในห้องสมุดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อจะลืม
ความปวดร้าวในหัวใจน้อยดวงนี้ และแทบจะไม่ได้เจอพี่หนอยเลย ได้ข่าวเขาคนนั้นมาบ้างก็ผ่านทางพี่น้อยและน้าวิว
“เจอตัวยากจริง ๆ ไอ้ตี๋หล่อนี่ มันบอกว่าเรียนหนัก อย่างมันไม่ต้องเรียนหนักก็ได้ A ทุกวิชาอยู่แล้ว หลบหน้าหลบตาไม่รู้ว่ากลัวจะเจอใคร
หนอยผอมลงด้วยหนวดเคราก็ไม่โกน น้าว่ามันเป็นโรคที่หมอเขาไม่ยอมรักษาให้น่ะ” แล้วก็อีกครั้งที่ดวงเนตรได้ข่าวมาจากน้าวิวว่าหนอยโดนเตี่ย
เรียกกลับบ้านด่วน
“ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรต้องรีบขนาดนั้น อีกเทอมก็จะจบแล้ว”
“พี่หนอยออกเดินทางเมื่อไรคะ” ดวงเนตรถามขึ้น
“พี่พลเขาขับรถไปส่งเมื่อวานจ้ะ”
ความจริงแล้วพี่น้อยท้วงว่า “พวกเราน่าจะบอกน้องเนตรสักหน่อยนะ” แต่น้าวิวย้อนว่า
“อย่าเลยถ้าเรายังรักดวงเนตรอยู่” เพราะยิ่งเจอยิ่งทำใจยากและเจ็บปวด
แม้ไม่ได้ลากัน เพียงแค่รู้ดวงใจของดวงเนตรก็หล่นวูบลงไปแล้ว เหมือนว่ามันหายไปและหาไม่เจอเลย เธอล้างเก็บถ้วยชามเสร็จก็ขอตัวกลับ
ห้อง น้าวิว พี่น้อย และพี่ศิริมองหน้ากัน แล้วไม่สามารถเอ่ยอะไรได้ นั่นก็หนอยนี่ก็น้องคนสวยของน้าวิว
ส่วนหนอยเมื่อรู้ว่าถูกเรียกกลับบ้านด่วน หลังสอบเสร็จวันสุดท้าย โดยเตี่ยไม่ได้บอกอะไรเลย คืนก่อนวันออกเดินทาง หนอยนั่งเก้าอี้โยกอยู่
ที่ชานบ้านจนสว่าง มันถูกเลื่อนมาจนชิดมุมซ้ายสุดตั้งนานแล้ว เพราะจุดนั้นคือมุมเดียวที่มองเห็นหน้าต่างห้องดวงเนตรลิบ ๆ
ไม่เห็นหน้าเห็นเพียงหน้าต่างก็ยังดี... “เนตรพี่หนอยไม่ได้หายไปไหนหรอก มองดวงดาวต่างดวงเนตร มองหน้าต่างเหมือนมองเข้าไปในหัวใจทุกคืน”
หลังจากผละมาจากห้องน้านิด ดวงเนตรก็หมกตัวเงียบอยู่เพียงในห้อง หลายวันที่ไม่เห็นเนตรออกมาเดินหาคนนั้นคนนี้ เธอนอนตะแคงกอด
หมีน้อยชิดอก...มันคือสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทนแห่งรัก น้ำตารินไหลได้ทุกวัน เมื่อไรหนอดวงเนตรจะกลับมาเหมือนเดิม หรือว่ามันจะเป็นเช่นที่เห็นตลอด
ไป
ใจเอ๋ย..ใจหนอใจดวงน้อยน้อย
โบกพัดลอยเคว้งคว้างดั่งลูกโป่ง
เหมือนโดนคว้านเจ็บหนักเป็นรูโพรง
พื้นที่โล่ง...ช่างเจ็บ...หนาวเหน็บจัง
แม้เธอจะปวดร้าวมากเพียงใด แต่สิทธิในการเอ่ยวาจาหามีไม่ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะตัวเองเป็นเหตุต้น เหตุดับ ความทุกข์ดับ ไม่มีแม้แต่ความ
เจ็บปวด...จริงหรือ ดวงเนตรได้แต่คิด เพราะภาพที่ปรากฏชัดเจนทุกครั้งไปคือเตี่ยแม่และน้อง ๆ ความเจ็บปวด กับความเหงาเกิดขึ้นทุกเวลา
และเพิ่มมากขึ้น หลายครั้งที่ดวงเนตรท้อแท้และสิ้นหวัง สิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้คือการโทรหาครอบครัว และเพื่อนฝูง เสียงของผู้คนเหล่านั้น ช่วยให้เธอ
ก้าวเดินผ่านพื้นทรายที่ร้อนระอุนี้ได้
สองอาทิตย์ที่ท้องฟ้ามีเพียงดวงดาว ไม่มีแสงตะวันสาดส่อง...ตะวันของดวงเนตรหายไปไหน เสียงดังก้องอยู่ในหัวใจสาวน้อย เธอปิดเครื่อง
ที่จะรับรู้ทุก ๆ ความคิดและความรู้สึก
“เริ่มต้นวันใหม่เสียที สาวน้อย” เสียงพูดกับตัวเอง
วันนี้มีนัดตัดผมให้พี่ เพื่อนๆ เมื่อมหาวิทยาลัยปิดทุกคนมาจองคิวตัดผมหลายคน‘ดีแล้วดวงเนตร หาอะไรทำอย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้า...อยู่กับปัญหาที่ผูกเองแต่แก้ไม่ได้’ ความคิดที่เกิดขณะรวบผมให้เรียบร้อย
คิวแรกของวันนี้คือพี่วิศาล หนุ่มหล่อของนักเรียนไทย เขาเลียบ ๆ เคียง ๆ มาหลายรอบ ดูจะวนเวียนอยู่แถวนี้บ่อยขึ้น ทำไม...ดวงเนตรคิดอย่าง
ไม่ไว้วางใจ เขาแวะมาก่อนสอบเสร็จหนึ่งวัน
“ตัดผมให้พี่หน่อยนะเนตร”
“อ้าวไม่ตัดเองล่ะคะ” เนตรพูดแบบไม่ใส่ใจเท่าไร
“ตัดเองมันช้า เนตรตัดให้หนอยซะหล่อ ตัดให้พี่บ้างสิ” ดวงเนตรรำคาญ เลยนัดมาตัดให้เสร็จ ๆ ไปซะที
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญค่ะ” ประตูเปิดไว้กว้าง เธอเอาเก้าอี้ให้นั่ง ลงมือทำ ครู่เดียวก็เสร็จ ไม่มีการพูดคุยเพราะเขาพูดน้อย และ ดวงเนตรไม่อยู่ในอารมณ์จะพูด
ด้วย สามัญสำนึกบอกดวงเนตรให้ระวังตัวเอง ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดกับพี่วิศาลเพียงคนเดียว แต่มันเกิดขึ้นกับแฝดน้องของเขาคือภาคภูมิด้วย
เธอคิดเองว่าเขานิสัยเหมือนกันมากอย่างกับฝาแฝด เหมือนกันในความกะล่อนแบบเงียบ ๆ แต่น่ากลัว แล้วคนที่นิสัยไม่น่าคบคนที่สองก็เข้ามา
ประตูยังเปิดกว้างอยู่
“เป็นไงบ้างดวงเนตร ได้ A กี่ตัว”
“ทุกวิชาเลยค่ะ” เธอตอบแบบขอไปที และไม่ถามด้วยว่าเขาได้เกรดอะไร ก็ไม่สนใจทำยังไงได้
“ผมไม่เห็นยาวเลยจะรีบตัดไปทำไม” ดวงเนตรพูดแบบไม่น่ารักเลย แถมเสียงเหมือนตั้งใจจะกวนโมโหหรือหาเรื่อง
“เอาไว้ยาวอีกหน่อยเนตรจะตัดให้นะคะ” ก็เป็นเชิงไล่แขกด้วย ครู่เดียวเขาก็บอกลาดวงเนตร
ครั้งดวงเนตรอยู่ในก๊วนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วทำเสียงห้วน กวน ๆ แบบนี้ทุกคนจะรู้สึกร้อนหนาว เพราะไม่รู้ว่าพายุอารมณ์ของหล่อน
จะไปลงบนกบาลใคร คนเดียวที่กล้าเข้าไปถามมีแต่รุจี
“ใครทำให้โมโห บอกพี่มาเดี๋ยวจัดการให้” แก่อ่อนกว่ากันแค่สิบวัน แต่รุจีจะตั้งการ์ดรับให้ทุกอย่าง กับรุจีเธอไม่กล้าออกอาการเท่าไร อย่างมาก
ก็ทำตาดุ แล้วพูดว่า
“โมโห ๆ ”
“ใคร” รุจีถาม
“กำลังจะจอดมอเตอร์ไซค์ ก็มีคนแย่งที่จอดรถของเนตร”
“แค่นี้นี่นะ”
“ไม่ใช่ หลายเรื่องมากตั้งแต่เช้าแล้ว” เธอตอบรุจี
“โอ๊ย! นี่มันจะเย็นอยู่แล้วเจ๊ยังไม่หายโมโหอีกเหรอ” เม่นสอดขึ้น
“ใครให้แกมาตอบฉัน...ยุ่ง”
เม่นเรียนเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ เอกกฎหมายระหว่างประเทศ ที่เข้ามานัวเนียกับกลุ่มได้เพราะเป็นเด็กเส้นคือเป็นญาติผู้พี่ของรุจี ดวงเนตรดุใส่
เม่น
“ไม่เอาดูสิหน้าหมดสวยแล้ว และทำบ่อย ๆ หน้าแกจะเหี่ยวเร็วด้วยนะ” ส้มจี๊ดเข้าห้ามทัพอีกคน แล้วทุกคนก็ขนมุกมาแย่งกันคุย ไม่นานอย่างที่เพื่อน ๆ รู้...โกรธง่าย หายเร็ว ครู่เดียวเสียงหัวเราะคิก ๆ ดั่งระฆังใสก็ออกมาจากน้องหมวย
ดวงเนตรคิดถึงเพื่อน ๆ “คิดอะไรมากมายนะดวงเนตรปิดเครื่องได้แล้ว” เธอบ่นกับตัวเอง ความรู้สึกรังเกียจภาคภูมิเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อคืน
ตอนใกล้สว่าง ดวงเนตรมาเข้าห้องน้ำเห็นประตูฝั่งแอนไม่ได้ปิด พอเดินจะปิดล็อกก็เหลือบตามองเห็นแอนนอนอยู่กับภาคภูมิ มันไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ
แต่พฤติกรรมแบบพี่เข้าประตูหน้า น้องออกประตูหลัง เกิดขึ้นหลังจากที่ สองหนุ่มเลียบเคียงทั้งเธอและแอน เหมือนจะดูว่าใครเป็นขนมขบเคี้ยวที่กิน
ง่ายกว่ากัน
“เสียใจด้วย มันไม่ใช่วัฒนธรรมของดวงเนตร มักง่ายเกินไปรึเปล่า” ดวงเนตรคิดอย่างขุ่นใจ
เธอขอคุยกับแอนด้วยความเป็นห่วง เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่แอนยักไหล่ ...I don’t care. จบเพียงเท่านั้น ดวงเนตรหยิบยาพารามาสองเม็ดใส่
ปาก ดื่มน้ำตามเพราะปวดหนึบที่ท้ายทอย
เธอเดินไปหาพี่น้อยที่ห้อง“เข้ามาเลยค่ะ ไม่ได้ล็อก” เสียงพี่น้อยดังมาจากห้องน้ำ
“พี่น้อยอาบน้ำเหรอคะ ขอโทษด้วย”
“ไม่ ๆ พี่น้อยเสร็จแล้ว นั่งก่อนไม่เจอกันตั้งสองวันไปไหนมาหรือเปล่าคะ”
“ช่วงสอบนอนไม่พอเลยนอนซะเต็มอิ่มเลย” ดวงเนตรเฉไฉไปเรื่อย ๆ
“พี่น้อย เนตรมีเรื่องจะถามค่ะ”
“ได้จ้ะ มีอะไร ฮึ” แล้วเรื่องสองหนุ่มจอมกะล่อนกับสาวแอนก็ถูกระบายออกมาจากปากดวงเนตร พี่น้อยเอามือตีเข่าตัวเองเบา ๆ
“นั่นไง! ไอ้พวกมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก”
“มันเป็นอย่างไรคะ เนตรไม่ค่อยเข้าใจความหมาย”
“ก็ไอ้พวกกะล่อน มั่วไปกับผู้หญิงจนทั่วนะสิ น้องเนตรอย่าเข้าใกล้นะคะ หนูวางตัวถูกแล้ว วัฒนธรรมเราไม่รับเรื่องเสียหายพวกนี้หรอกโดย
เฉพาะผู้หญิงคือคนเสียหายนะคะ”
“ค่ะ แบบนี้ก็รวมพี่หนอยด้วยสิคะ"
“ช่วงที่เขามาเรียนใหม่ ๆ ก็ควงผู้หญิงต่างชาติ ไม่ซ้ำหน้าจนน้าวิวเรียกมาว่า แต่เขาบอกว่ามันเป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย และเขาแค่
ควงกันไปไหนมาไหนด้วยกันเท่านั้นจริง ๆ ไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครเลย”
“หนอยเขาเป็นคนช่างเลือกจ้ะ เห็นอย่างนั้นเถอะสุดท้ายก็กลายเป็นปลาตายน้ำตื้นเอาตอน...” พี่น้อยวิจารณ์เพลินลืมคิดไปว่าคนกำลังอ้าปาก
หวอฟังอยู่คือเจ้าของประเด็น ซึ่งหมายถึงบ่อน้ำตื้นที่ปลาตัวนั้นมานอนตายใกล้ ๆ นั่นเอง ปลาตายน้ำตื้น หรือปลาตัวนั้นโดนจับลงบ่ออื่นไปแล้ว
นี่ก็สองอาทิตย์แล้วที่พี่หนอยหายไปโดยไม่กล่าวลา ทิ้งไว้แต่บาดแผลเจ็บลึกในใจของดวงเนตร เธอมองหน้าพี่น้อย
“พี่น้อยคะ พี่หนอยจะกลับมาไหมคะ” คำถามเพียงแค่นี้ คนที่ไม่เคยมีความรักอย่างพี่น้อย ยังเย็นเยือกจับหัวใจ มันเหมือนคำถามของเด็กน้อย
ที่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่เดียวดายอีกปลายฟ้าหนึ่ง
“พี่หนอยต้องกลับสิคะ เพราะเหลืออีกแค่เทอมเดียว แล้วอีกอย่างได้ A หมดทุกวิชา คงได้ฉลองเกียรตินิยมอันดับหนึ่งแน่นอน”
ที่ถามเพียงต้องการมั่นใจว่าเธอจะได้พบพี่หนอย และมีโอกาสกล่าวลา แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเพียงใด
“น้องเนตร” พี่น้อยเขย่ามือเบา ๆ เธอพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ และสาบานว่าจะไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว มันเจ็บปวดเกินไปสำหรับ
ดวงเนตร...พี่น้อยคิด
“ไปเร็ว! ไปหาลุงพอล เมื่อวานแกย้ำหลายครั้งอยากจะเจอนิคกี้ นะไปแวะหาแกบ้าง แกบ่นคิดถึง คนแก่ก็อย่างนี้แหละ มีคนมาแวะหาเยี่ยมเยือน
ก็มีความสุขแล้ว เคยมีคนแวะไปหาทักทายพอหายไปก็เหงานะไปกันเถอะ” พี่น้อยใช้จุดอ่อนของดวงเนตร
“พี่น้อยรอแป๊บเดียวนะคะ เมื่อสามสี่วันก่อนเตี่ยกับแม่ฝากของมากล่องใหญ่เลยมีของที่ระลึกหลายชิ้น เนตรจะเอาไปฝากพวกเขา”
“ได้ค่ะ พี่รออยู่ที่ห้องผู้จัดการนะ”
เธอกลับไปที่ห้องทาแป้งฝุ่นบาง ๆ ปล่อยผมที่หวีเรียบร้อยแล้วให้สยายลงมา ทาลิปสีอ่อน เสร็จ คว้าถุงของฝากติดมือออกมา