…
ในซอยลึกของเมืองหลวงที่รถราขวักไขว่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "ต้น" เขาคือเจ้าของรถกระบะแต่งซิ่งที่โหลดเตี้ยจนแทบจะติดพื้น ท่อไอเสียของมันส่งเสียงคำรามลั่นซอยทุกครั้งที่ต้นเหยียบคันเร่ง โลกของต้นหมุนรอบความเร็ว และเสียงชื่นชมจากเพื่อนฝูงในกลุ่มที่ยกให้เขาเป็น "เจ้าถนน"
ความฝันสูงสุดของต้นไม่ใช่การเป็นนักแข่งรถในสนาม แต่เขาอยากเป็น "คนขับรถพยาบาลฉุกเฉิน"
"คิดดูดิเพื่อน" ต้นเคยพูดกับเพื่อนในวงเหล้า "ได้ขับรถเร็วเต็มสปีด แหวกทุกกฎจราจร แถมคนยังต้องหลีกทางให้ด้วย โคตรเท่! เหมือนได้ใบอนุญาตให้ซิ่งอย่างถูกกฎหมายเลยว่ะ"
เพื่อนๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย ความคิดของต้นช่างดูเท่และท้าทายในสายตาของวัยรุ่นที่คึกคะนอง พวกเขามองไม่เห็นความรับผิดชอบที่แบกอยู่บนหลังคาไซเรนนั้นเลย เห็นเพียงสิทธิพิเศษในการแหวกฝ่ากฎเกณฑ์
แม่ของต้นเฝ้าเป็นห่วงและตักเตือนอยู่เสมอ "ขับรถดีๆ นะลูก อย่าขับเร็วนักเลย แม่เป็นห่วง" แต่คำพูดของแม่ก็เหมือนลมที่พัดผ่านหูของต้นไป เขามองว่ามันเป็นแค่ความจู้จี้ของคนแก่ที่ไม่เข้าใจโลกของความเร็ว
บ่ายวันหนึ่งขณะที่ต้นและเพื่อนกำลังขับรถ "กินลมชมวิว" ซึ่งหมายถึงการขับปาดซ้ายป่ายขวาไปตามถนนอย่างน่าหวาดเสียวเพื่อความสนุกสนาน ต้นเห็นรถเก๋งคันหนึ่งขับช้าอยู่เลนขวา ด้วยความหงุดหงิดและอยากจะโชว์เพื่อน เขาจึงหักพวงมาลัยเปลี่ยนเลนกะทันหันแล้วปาดหน้าไปอย่างกระชั้นชิด
เอี๊ยดดดด! โครม!
เสียงเบรกดังลั่นตามด้วยเสียงรถชนกันสนั่นหวั่นไหว รถเก๋งที่ถูกต้นปาดหน้าหักหลบจนเสียหลักไปชนกับรถคันอื่นอีกสองสามคัน เกิดเป็นอุบัติเหตุซ้ำซ้อนปิดตายทุกช่องจราจร ต้นเหลือบมองกระจกหลัง เห็นความวุ่นวายแล้วหัวเราะออกมาอย่างสะใจ "สมน้ำหน้า! ช้าดีนัก" ก่อนจะเหยียบคันเร่งหนีหายไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
เขากับเพื่อนๆ ไปหาที่ฉลอง "วีรกรรม" ของตนเองอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาในบ่ายวันนั้นกำลังจะย้อนกลับมาสร้างบาดแผลในใจเขาไปตลอดชีวิต
ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง โทรศัพท์ของต้นก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของพ่อที่โทรมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ต้น! รีบมาโรงพยาบาลด่วน! แม่... แม่ล้มในห้องน้ำ หัวใจวายเฉียบพลัน!"
หัวใจของต้นหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารีบสตาร์ทรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล แต่แล้วก็ต้องพบกับภาพที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ... การจราจรติดขัดเป็นอัมพาตยาวเหยียด
ต้นบีบแตรลั่นอย่างหัวเสีย แต่ไม่มีรถคันไหนขยับได้เลย และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย... เสียงที่เขาเคยใฝ่ฝัน...
วี๊หว่อ... วี๊หว่อ...
เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังมาจากไกลๆ แต่ก็ค่อยๆ แผ่วลงและติดแหง็กอยู่ท่ามกลางทะเลรถยนต์เช่นเดียวกับเขา ต้นพยายามชะโงกมองไปข้างหน้า แล้วเขาก็เห็น... ซากรถที่พังยับเยินจากอุบัติเหตุที่ ตัวเขาเองเป็นคนก่อ มันคือตัวการที่ทำให้ถนนทั้งสายกลายเป็นอัมพาต
ในวินาทีนั้น... โลกทั้งใบของต้นพังทลายลงมา เสียงไซเรนที่เขาเคยคิดว่ามัน "เท่" บัดนี้มันกลับกรีดลึกลงไปในหัวใจของเขาเหมือนเข็มนับพันเล่ม รถพยาบาลคันนั้น... อาจจะเป็นคันที่กำลังจะไปรับแม่ของเขาก็เป็นได้ ความเร็วที่เขาสร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน ได้กลายมาเป็นกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างความเป็นและความตายของแม่ตัวเอง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานราวกับชั่วนิรันดร์กว่าที่เจ้าหน้าที่จะเคลียร์ทางได้ เมื่อต้นไปถึงโรงพยาบาล พ่อของเขาก็ทรุดลงนั่งกับพื้น "หมอบอกว่า... ถ้ามาถึงเร็วกว่านี้สัก 15 นาที... แม่ก็อาจจะมีโอกาสรอด..."
ต้นยืนนิ่งเหมือนถูกสาป คำพูดของพ่อตอกย้ำความผิดของเขาจนจมดิ่ง เสียงไซเรนที่เขาเคยอยากได้ยินเพื่อ "ความเท่" กลายเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดและความสูญเสียที่เขาต้องได้ยินไปตลอดชีวิต
หลังจากวันนั้น ต้นขายรถกระบะคันโปรดของเขาทิ้ง เงินทุกบาททุกสตางค์เขานำไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคมด้านความปลอดภัยบนท้องถนน เขาเล่าเรื่องราวของตัวเองเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับวัยรุ่นคนอื่นๆ
ต้นยังคงได้ยินเสียงไซเรนอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้มันไม่ได้มีความหมายเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
มันไม่ใช่เสียงของ "สิทธิพิเศษ" หรือ "ความเท่"
แต่มันคือเสียงของ "ความรับผิดชอบ" ที่หนักอึ้ง คือเสียงแห่งความเป็นความตาย และคือเสียงที่คอยย้ำเตือนเขาเสมอว่า... ทุกวินาทีบนท้องถนน มีค่าเท่ากับชีวิตของใครบางคน
นิทานสอนใจเรื่อง : เสียงไซเรนแห่งชีวิต
ในซอยลึกของเมืองหลวงที่รถราขวักไขว่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "ต้น" เขาคือเจ้าของรถกระบะแต่งซิ่งที่โหลดเตี้ยจนแทบจะติดพื้น ท่อไอเสียของมันส่งเสียงคำรามลั่นซอยทุกครั้งที่ต้นเหยียบคันเร่ง โลกของต้นหมุนรอบความเร็ว และเสียงชื่นชมจากเพื่อนฝูงในกลุ่มที่ยกให้เขาเป็น "เจ้าถนน"
ความฝันสูงสุดของต้นไม่ใช่การเป็นนักแข่งรถในสนาม แต่เขาอยากเป็น "คนขับรถพยาบาลฉุกเฉิน"
"คิดดูดิเพื่อน" ต้นเคยพูดกับเพื่อนในวงเหล้า "ได้ขับรถเร็วเต็มสปีด แหวกทุกกฎจราจร แถมคนยังต้องหลีกทางให้ด้วย โคตรเท่! เหมือนได้ใบอนุญาตให้ซิ่งอย่างถูกกฎหมายเลยว่ะ"
เพื่อนๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย ความคิดของต้นช่างดูเท่และท้าทายในสายตาของวัยรุ่นที่คึกคะนอง พวกเขามองไม่เห็นความรับผิดชอบที่แบกอยู่บนหลังคาไซเรนนั้นเลย เห็นเพียงสิทธิพิเศษในการแหวกฝ่ากฎเกณฑ์
แม่ของต้นเฝ้าเป็นห่วงและตักเตือนอยู่เสมอ "ขับรถดีๆ นะลูก อย่าขับเร็วนักเลย แม่เป็นห่วง" แต่คำพูดของแม่ก็เหมือนลมที่พัดผ่านหูของต้นไป เขามองว่ามันเป็นแค่ความจู้จี้ของคนแก่ที่ไม่เข้าใจโลกของความเร็ว
บ่ายวันหนึ่งขณะที่ต้นและเพื่อนกำลังขับรถ "กินลมชมวิว" ซึ่งหมายถึงการขับปาดซ้ายป่ายขวาไปตามถนนอย่างน่าหวาดเสียวเพื่อความสนุกสนาน ต้นเห็นรถเก๋งคันหนึ่งขับช้าอยู่เลนขวา ด้วยความหงุดหงิดและอยากจะโชว์เพื่อน เขาจึงหักพวงมาลัยเปลี่ยนเลนกะทันหันแล้วปาดหน้าไปอย่างกระชั้นชิด
เอี๊ยดดดด! โครม!
เสียงเบรกดังลั่นตามด้วยเสียงรถชนกันสนั่นหวั่นไหว รถเก๋งที่ถูกต้นปาดหน้าหักหลบจนเสียหลักไปชนกับรถคันอื่นอีกสองสามคัน เกิดเป็นอุบัติเหตุซ้ำซ้อนปิดตายทุกช่องจราจร ต้นเหลือบมองกระจกหลัง เห็นความวุ่นวายแล้วหัวเราะออกมาอย่างสะใจ "สมน้ำหน้า! ช้าดีนัก" ก่อนจะเหยียบคันเร่งหนีหายไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
เขากับเพื่อนๆ ไปหาที่ฉลอง "วีรกรรม" ของตนเองอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาในบ่ายวันนั้นกำลังจะย้อนกลับมาสร้างบาดแผลในใจเขาไปตลอดชีวิต
ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง โทรศัพท์ของต้นก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของพ่อที่โทรมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ต้น! รีบมาโรงพยาบาลด่วน! แม่... แม่ล้มในห้องน้ำ หัวใจวายเฉียบพลัน!"
หัวใจของต้นหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารีบสตาร์ทรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล แต่แล้วก็ต้องพบกับภาพที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ... การจราจรติดขัดเป็นอัมพาตยาวเหยียด
ต้นบีบแตรลั่นอย่างหัวเสีย แต่ไม่มีรถคันไหนขยับได้เลย และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย... เสียงที่เขาเคยใฝ่ฝัน...
วี๊หว่อ... วี๊หว่อ...
เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังมาจากไกลๆ แต่ก็ค่อยๆ แผ่วลงและติดแหง็กอยู่ท่ามกลางทะเลรถยนต์เช่นเดียวกับเขา ต้นพยายามชะโงกมองไปข้างหน้า แล้วเขาก็เห็น... ซากรถที่พังยับเยินจากอุบัติเหตุที่ ตัวเขาเองเป็นคนก่อ มันคือตัวการที่ทำให้ถนนทั้งสายกลายเป็นอัมพาต
ในวินาทีนั้น... โลกทั้งใบของต้นพังทลายลงมา เสียงไซเรนที่เขาเคยคิดว่ามัน "เท่" บัดนี้มันกลับกรีดลึกลงไปในหัวใจของเขาเหมือนเข็มนับพันเล่ม รถพยาบาลคันนั้น... อาจจะเป็นคันที่กำลังจะไปรับแม่ของเขาก็เป็นได้ ความเร็วที่เขาสร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน ได้กลายมาเป็นกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างความเป็นและความตายของแม่ตัวเอง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานราวกับชั่วนิรันดร์กว่าที่เจ้าหน้าที่จะเคลียร์ทางได้ เมื่อต้นไปถึงโรงพยาบาล พ่อของเขาก็ทรุดลงนั่งกับพื้น "หมอบอกว่า... ถ้ามาถึงเร็วกว่านี้สัก 15 นาที... แม่ก็อาจจะมีโอกาสรอด..."
ต้นยืนนิ่งเหมือนถูกสาป คำพูดของพ่อตอกย้ำความผิดของเขาจนจมดิ่ง เสียงไซเรนที่เขาเคยอยากได้ยินเพื่อ "ความเท่" กลายเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดและความสูญเสียที่เขาต้องได้ยินไปตลอดชีวิต
หลังจากวันนั้น ต้นขายรถกระบะคันโปรดของเขาทิ้ง เงินทุกบาททุกสตางค์เขานำไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคมด้านความปลอดภัยบนท้องถนน เขาเล่าเรื่องราวของตัวเองเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับวัยรุ่นคนอื่นๆ
ต้นยังคงได้ยินเสียงไซเรนอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้มันไม่ได้มีความหมายเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
มันไม่ใช่เสียงของ "สิทธิพิเศษ" หรือ "ความเท่"
แต่มันคือเสียงของ "ความรับผิดชอบ" ที่หนักอึ้ง คือเสียงแห่งความเป็นความตาย และคือเสียงที่คอยย้ำเตือนเขาเสมอว่า... ทุกวินาทีบนท้องถนน มีค่าเท่ากับชีวิตของใครบางคน