วิธีดูแลยางรถยนต์ให้ยืนยาว

     ความปลอดภัยสำหรับคนมีรถนั้นคืออันดับแรกที่คุณควรคำนึง คุณอาจโฟกัสที่ภายนอกการดีไซน์ ออปชั่นอำนวยความสะดวกของรถยนต์ตลอดจนสมรรถนะของเครื่องยนต์ แต่มีสิ่งนึงที่คุณอาจไม่ค่อยให้ความสนใจคือเรื่องการดูแลยางรถยนต์ แต่รู้หรือไม่ว่าการดูแลรักษายางรถยนต์ของคุณเป็นอย่างสม่ำเสมอนั้น เป็นการช่วยยางของคุณใช้งานให้ถึงระยะเวลาวันควรเปลี่ยนยางตามกำหนด 
     ส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับรถยนต์ ก็คือ ยางรถยนต์ ทว่ายางรถยนต์นี้แหล่ะที่จะช่วยเพิ่มสมรรถนะในการวิ่งของรถยนต์ รวมถึงความปลอดภัยของผู้ขับขี่เองก็ขึ้นอยู่กับยางรถยนต์อีกด้วย ซึ่งยางรถจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานหรือสไตล์การขับขี่ของคุณ เนื่องจากเป็นส่วนที่จะต้องสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลา ดังนั้นการดูแลยางจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคุณนั่นเอง
     ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ ผู้คิดค้นยางรถชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์ยางรถยนต์ขึ้นในปี พ.ศ. 2382  เขาคิดค้นการนำยางดิบมาผสมกับกำมะถันและตะกั่วแล้วลนด้วยไฟ เพราะเขาพบว่าเนื้อยางเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆอย่างสภาพพื้นถนนหรืออากาศได้ ซึ่งในปัจจุบัน ยางรถยนต์ ทำมาจากยางธรรมชาติผสมกับยางสังเคราะห์ ผงคาร์บอน น้ำมัน สารเคมี และอื่น ๆ เสริมความแข็งแรงด้วยชั้นของผ้าใบที่ทำมาจากเส้นด้ายไนลอน หรือโพลีเอสเตอร์ และเส้นลวดเหล็ก
     หลังจากที่รู้ถึงที่มาของยางรถยนต์ในอดีตถึงปัจจุบันกันแล้ว เราก็จะมาพูดถึงวิธีการดูแลยางรถอย่าง่ายที่ทุกคุณควรรู้และสามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง 

วิธีดูแลยางรถยนต์
วิธีที่1 รักษาระดับความดันลมยางอย่างถูกต้อง
     -การตรวจสอบความดันลมยางเป็นประจำในทุกๆ 2-4 สัปดาห์ เพราะระดับความดันลมยางที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและทำให้ยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์ได้ยาวนานกว่าปกติ
     -หมั่นตรวจสอบความดันลมยางรถยนต์ของคุณอย่างน้อยเดือนละครั้ง 
     -ดูดอกยางรถยนต์โดยละเอียด 
*หากคุณต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องความดันลมยางสามารถพบในคู่มือรถยนต์ของคุณ
**ยางรถยนต์จะเสียความดันในอัตราประมาณ 0.69 บาร์ (Bar) หรือ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi) ต่อเดือน แต่อัตราดังกล่าวนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 
     -ซื้อเกจและนำมาวัดความดันยางได้ที่บ้านง่ายด้วยตัวคุณเอง
     -ใช้เกจวัดความดันยางที่จุดบริการใกล้บ้านคุณ
     -แนะนำให้คุณเชคยางในตอนเช้าหรือเมื่อยางรถยนต์เย็น 
     -หลีกเลี่ยงการตรวจยางในขณะขับหรือหลังขับโดยทันทีเพราะอาจทำให้ได้ผลลมยางไม่ถูกต้อง 
     -หากเกิดเสียงฟู่สั้นๆถือว่ายางปกติ ให้อ่านเกจวัดความดันลมยางแล้วนำมาเปรียบเทียบกับความดันลมยางรถยนต์ของคุณที่เป็น bar หรือ psi (แนะนำให้ใช้ bar ก่อน)
     -ปรับความดันลมยางรถยนต์ของท่านด้วยอุปกรณ์อัดลมประจำบ้านหรือสูบยางที่อู่รถใกล้บ้าน

วิธีที่2 การสลับยาง
     -ให้คุณตรวจเชคให้แน่ใจว่าล้อทั้งหมดสึกเสมอกัน โดยการสลับยางทุกๆ 10,000 ถึง 12,000 กม. หรือทุกหกเดือน
     -วิธีการสลับยางจะทำให้ยางรถยนต์ของคุณสึกเท่ากัน 
     -การสลับยางยังสามารถช่วยท่านได้ในการบังคับโดยง่ายดายและสะดวกสบายขึ้น 
     -แนะนำให้สลับยางทุกๆครั้งของการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่สอง
     -หากเป็นไปได้แนะนำให้คุณสลับตำแหน่งยางบ่อยๆ จะช่วยให้ยางสึกเท่ากันและดอกยางจะมีอายุการใช้งานนานที่สุด หากไม่สลับยางคุณรู้หรือไม่ว่ายางล้อหน้าจะสึกเร็วกว่ายางล้อหลัง 
     -หากความดันลมยางถูกต้องจะช่วยให้การสลับยางแก้ปัญหาการสึกหรอของยางได้
     -สลับยางรถยนต์ของคุณทุกๆ 10,000 ถึง 12,000 กม. หรือหลังเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่2
     -อาจจะต้องสลับยางบ่อยๆเป็นพิเศษ หากคุณวิ่งระยะทางไกล บรรทุกของหนักหรือคุณเป็นคนขับรถเร็ว  
     -หากคุณสังเกตเห็นว่ายางสึกไม่เท่ากันคุณควรสลับยางโดยทันที
     -หากยางเกิดเสียงดังหึ่งๆในขณะขับบนถนนเรียบเป็นสัญญาณเตือนให้คุณต้องสลับยาง
     -หากคุณเข้าใจว่าการสลับยางควรทำอย่างไรคุณก็สามารทำได้ด้วยตัวคุณเองหรือจะให้มืออาชีพดำเนินการแทน หากถ้าทำด้วยตนเองเราแนะนำคุณสลับ ยางรถยนต์ตามรูปแบบดังกล่าวข้างล่างนี้ที่ควรสลับล้อหน้าไปล้อหลังเฉพาะเมื่อขนาดของยางทั้งหมดเป็นขนาดเดียวกัน (แบบ A-D)
     -ขนาดของยางและล้อของรถยนต์บางประเภทไม่เท่ากัน โดยยางล้อหน้าจะแตกต่างจากเพลาหลัง ในกรณีนี้ขอแนะนำให้คุณใช้การสลับแบบ E (ถ้าหากใช้ยางรถยนต์ที่ไม่มีเครื่องหมายบอกทิศทาง)เมื่อสลับยางที่มีดอกยางบอกเครื่องหมายบอกทิศทาง จงหมั่นสังเกตดูลูกศรที่พิมพ์ติดด้านข้างผนังยางเสมอๆลูกศรเหล่านี้จะบอกทิศทางการเลี้ยวของยางซึ่งจะต้องให้ความเอาใจใส่ด้วยความระมัดระวังในกรณีของยางที่มีขนาดเดียวกันซึ่งเป็นยางที่มีเครื่องหมายบอกทิศทาง 
     -คุณสามารถสลับยางตามแบบ A ได้ หากยานพาหนะที่ใช้ยางหรือล้อประเภทบอกทิศทางซึ่งมีขนาดต่างกันและยางชุดล้อหน้ากับล้อหลังก็แตกต่างกันแต่มีเครื่องหมายบอกทิศทางจำเป็นต้องถอดยางออกใส่คืน และถ่วงใหม่เพื่อให้การสลับยางทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์

วิธีที่3 สังเกตสัญญาณต่างๆ
     -ตรวจสอบยางทั้งสี่ล้อเป็นประจำด้วยมืออาชีพ 
     -หากคุณใช้รถระยะสั้นให้ตรวจสอบยางของคุณเดือนละครั้ง
     -ตรวจสอบก่อนหรือหลังการเดินทางในระยะไกล
     -ตัวชี้วัดความสึกของดอกยาง ซึ่งสิ่งนี้ถูกออกแบบเพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดเมื่อดอกยางรถยนต์ของคุณสึก
     -สังเกตที่แท่งบอกการสึกของดอกยาง หากแท่งปรากฏให้เห็น นั่นแสดงว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องเปลี่ยนยางชุดใหม่ 
*เครื่องหมายบนแก้มของยางแสดงแท่งบอกการสึกของดอกยางอยู่
     -ความลึกของดอกยางอย่างน้อยที่สุดควรจะอยู่ระหว่าง 2-3 มม.
     -ใช้เกจวัดความลึกดอกยางในการตรวจสอบว่ายางรถยนต์ของคุณได้มาตรฐานหรือไม่ 
*ต้องวัดทั้งภายในและภายนอกของดอกยาง
     -หากมีสิ่งติดอยู๋ในร่องดอกยางควรนำสิ่งนั้นออกด้วยความระมัดระวังไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ยาง 
*หากพบวัตถุอันตรายทิ่มยางอย่างเช่น ตะปู ห้ามดึงตะปูออกและตรงไปยังศูนย์บริการซ่อมมิฉะนั้นยางรถของคุณจะแบนในไม่ช้า
     -หากคุณสังเกตเห็นขอบทั้งสองด้านสึก ให้ตรวจสอบโดยการสูบลมให้ยางพองเพื่อตรวจสอบว่ายางรั่วหรือไม่ 
*การขับขี่รถยางอ่อนรถจะกินน้ำมันและมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้ท่านเกิดอุบัติเหตุได้ 
     -หากสังเกตเห็นศูนย์กลางของดอกยางสึกหรอมากกว่าขอบด้านนอกอาจเป็นเพราะคุณสูบลมจนยางพองมากเกินไป 
*ความเสี่ยงที่จะทำให้ยางระเบิดมาจากยางที่พองลมมากเกินไป ดังนั้นหมั่นตรวจสอบข้อกำหนดของผู้ผลิต ใช้เกจวัดความดันลมยาง และให้ลมอยู่ในระดับตามคำแนะนำ
     -สังเกตว่ามีแผ่นของความสึกหรอที่ไม่เท่ากันหรือมีจุดโล้นหรือไม่ 
     -การถ่วงล้อ หรือตั้งศูนย์บางครั้งจุดโล้นอาจบ่งชี้ได้ว่าอุปกรณ์กันสะเทือนสึกหรอ 
*ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
     -โดยปกติล้อหน้ารถจะสึกเร็วกว่าหรือคุณกังวลเห็นว่ายางนั้นสึกมากกว่าปกติ คุณควรตรวจสอบแหนบรถ หากคุณพบว่ายางด้านหนึ่งสึกมากกว่าอีกด้านหนึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณที่ต้องตั้งศูนย์ยางใหม่
     -ให้คุณสังเกตยางรถยนต์กหากมีลักษณะเป็นฟันเลื่อยหรือคล้ายขนนกรอบๆขอบยางนั่นเกิดจากยางถูกับถนนตามธรรมชาติ ซึ่งสัญญาณดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าท่านคงต้องตั้งศูนย์ล้อใหม่
     -การตรวจและบำรุงดูแลยางรถยนต์เป็นประจำแน่นอนว่าจะช่วยยืดอายุยางได้ แต่อย่าลืมว่ายางต้องสึกหรอไปตามเวลาและสภาพแวดล้อม
     -การสึกของยางนั้นไม่ขึ้นอยู่เพียงตามเวลาเท่านั้นยังขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยการขับขี่รถของคุณด้วย 
     -ดอกยางที่สึกส่วนใหญ่จะมีแท่งบอกการสึกของดอกยาง ซึ่งแท่งเหล่านี้ซึ่งเป็นยางแข็งจะปรากฏให้เห็นบนยาง 
*เมื่อความลึกของดอกยางหายไปเกินกว่ากำหนดในการขับอย่างปลอดภัย ซึ่งโดยทั่วจะอยู่ที่ 1.6 มม.
     -ควนตรวจสอบในบริเวณที่สึกไม่เท่ากันด้วย ซึ่งอาจบอกถึงปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับยางและรถยนต์
“รอยเส้นแตกร่างแห (Crazing)” คือ รอยแตกเล็กๆในแก้มของยางนั่นหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนยาง (แก้มของยางจะไม่หนามากและรอยแตกบนแก้มยางจะเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถใช้ยางต่อไปอีกได้)
     -ถึงแม้ว่ายางจะยังคงไม่สึกจากการใช้งานก็ตาม หาพบฟองอากาศ ตุ่มพอง รอยตัด หรือรอยแตกบนดอกยาง ไหล่ยางหรือแก้มยาง นั่นคือสัญญาณว่าจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ 
     -หากเปลี่ยนทั้งสี่ล้อพร้อมกันจะถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะหากเปลี่ยนเพียงสองเส้นจงมั่นใจว่ายางทั้งสองเส้นนั้นใช้เข้ากันได้กับยางที่สึกแล้วเป็นบางส่วนและนำไปเปลี่ยนเป็นยางล้อหลังซึ่งจะทำให้เกิดแรงฉุดและรถมีเสถียรภาพดีกว่าขณะที่ขับขี่
วิธีที่4 ขับขี่อย่างนุ่มนวล
     การเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล การเบรคอย่างระมัดระวัง การเร่งเครื่องและการเข้าโค้งตลอดจนการขับขี่ของคุณจะเป็นส่วนช่วยให้ยางของคุณจะสึกหรอไปมากน้อยแค่ไหน ซึงการขับขี่อย่างนุ่มนวลจะเป็นการป้องกันไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่ากำหนด

วิธีที่5 เช็กสภาพถนนในขณะขับขี่
     การใส่ใจกับสภาพถนนและสภาพแวดล้อมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นหลุมบ่อ ถนนขรุขระ ถนนไม่เรียบหรือการจอดรถใกล้กับฟุตบาทจนเกินไป ถิอเป็นการใส่ใจในการดูแลยางรถยนต์ซึ่งการที่คุณระมัดระวังในการขับขี่จะช่วยยืดอายุยางของคุณอีกด้วย

วิธีที่6 เติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ
      หากยางของคุณลมอ่อนอยู่เป็นประจำ ยางจะสะสมความร้อนอยู่ในตัว และเกิดการระเบิดหรือเป็นแผลแตกได้ง่าย 
     ไม่ปล่อยให้ยางของคุณมีลมมากเกินไป ยางก็อาจระเบิดและดอกยางก็เสื่อมเร็วกว่ากำหนดมากด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัย

วิธีที่7 ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
     ดอกยางของคุณจะเสื่อมสภาพแบบไม่เท่ากัน จนทำให้ยางได้รับความเสียหายได้ง่ายหากยางของคุณไม่ได้รับการตั้งศูนย์อย่างถูกต้อง  การตั้งศูนย์ถ่วงล้ออย่างสม่ำสเมอจะช่วยให้ดอกยางของคุณมีอายุการใช้งานนานขึ้น

วิธีที่8 เช็กดอกยาง
     การตรวจเช็กยางของคุณอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ดอกยางของคุณเสื่อมแบบไม่เท่ากันและยังช่วยให้คุณรู้สภาพยางของคุณในขณะนั้น
ขอบคุณข้อมูล : goodyear.co.th , car.kapook.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่