สภาองค์กรนายจ้าง ชี้แรงงาน 20 ล้านคน เสี่ยงตกงาน เซ่นพิษภาษีทรัมป์ วิกฤติเศรษฐกิจทั้งระบบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประธานสภาองค์กรนายจ้างฯ ชี้ วิกฤตรอบนี้หนักมาก ถือเป็น "สถานการณ์เลวร้ายที่สุด" กระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ แรงงาน 20 ล้านคนในห่วงโซ่ส่งออก เสี่ยงตกงาน!
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า ภาษีตอบโต้ หรือ "Reciprocal Tariff" ของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากไทยในอัตรา 36% ถือเป็น "สถานการณ์เลวร้ายที่สุด" ซึ่งอัตราภาษีระดับนี้ ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยหายไปทันที ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปรับพอร์ตไปสั่งซื้อสินค้าจากประเทศที่ต้นทุนภาษีต่ำกว่าอย่างเวียดนาม คาดว่าคำสั่งซื้อสินค้าจากไทย จะเริ่มลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป นั่นหมายความว่าภาคส่งออก ซึ่งเป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของไทย มีสัดส่วนใน GDP สูงถึง 57% และสหรัฐฯ คือ ตลาดส่งออกอันดับ 1 ที่มีสัดส่วนถึง 19.61% / กำแพงภาษี 36% จะกระทบการส่งออกอย่างหนักหน่วง
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน, ผลิตภัณฑ์ยาง และอัญมณี ที่พึ่งตลาดสหรับนเป็นตลาดหลัก จะต้องลดกำลังการผลิตลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะลุกลามเป็นโดมิโนเอฟเฟกต์ ไปทั้งโซ่อุปทาน ประเมินว่าแรงงานราว 18-20 ล้านคน ที่อยู่ในโซ่อุปทานนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะตกงาน เพราะเมื่อการผลิตลดลง จะนำไปสู่การเลิกจ้าง กระทบต่อเนื่องไปถึงกำลังซื้อของประเทศหดตัวอย่างรุนแรง กระทบต่อไปยังภาคค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และท้ายที่สุดจะซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่องของธุรกิจและหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน เรียกว่าพังทั้งระบบ
ขณะที่แบงก์ชาติ ประเมินผลกระทบนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะต่างจากการระบาดของโควิด และวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ที่มีความรุนแรงระยะสั้นและเป็นหลุมดิ่งลง ทุกอย่างชะงักงัน แต่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะฉุดเศรษฐกิจเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% ลากยาว 1 ปีครึ่ง
โดยคาดว่า GDP ในครึ่งปีหลัง จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 1.6% จากที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดี และปี 69 เหลือ 1.7% ซึ่งถือว่าต่ำมาก เหตุส่งออกครึ่งหลังปี จะหดตัวรุนแรงในช่วงไตรมาส 3 โดยคาดว่าจะหดตัวติดลบถึง 4% และปี 69 หดตัว 2% และจะกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำไม่ถึง 1% และส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคที่ชะลอตัวลงเหลือ 1.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ขยายตัว 3% และมองไปข้างหน้าสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจจะเกิดช็อกได้ ดังนั้นจุดยืนนโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่เหมาะสม
คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ในครึ่งปีหลังของปีนี้จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 1.6% จากที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดี ซึ่งจะทำให้ GDP ในช่วงต่อจากนี้ขยายตัวต่ำกว่า 2% ไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง!!! เนื่องจากประเมินว่า การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะหดตัวติดลบถึง 4% และปีหน้าจะหดตัวต่อเนื่องอีก 2 %
โดยเห็นว่าทีมเจรจาไทย ต้องทำงานหนักกว่าเดิม ไม่ใช่แค่บอกว่า ’เสนอไปแล้ว’ แต่ต้องมีการล็อบบี้อย่างเข้มข้น เพื่อหาทางลดอัตราภาษีลงมาให้ใกล้เคียงกับเวียดนามให้ได้
อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ : https://ch3plus.com/ne...
--------------------------
รายการ #เรื่องเด่นเย็นนี้ (RuangdenNews)
เรื่องเด่นเย็นนี้วันที่ 9 กรกฎาคม 2568
ออกอากาศ ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 16.30 - 18.00 น.
ใครบ้างที่เสี่ยง พนักงานโรงงานส่งออก เท่านั้นรึป่าวครับ หรือ รวม SME ยาม ภารโรงด้วยมั๊ย
แล้วแค่ เมกาขึ้นภาษี 36% ทำไมพังเศรษฐกิจได้ทั้งระบบ งงมาก
ถ้าเลวร้ายที่สุด คนไทยจะตกงาน เพราะภาษีทรัมป์ จะเกิดผลกระทบอะไรบ้างครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ใครบ้างที่เสี่ยง พนักงานโรงงานส่งออก เท่านั้นรึป่าวครับ หรือ รวม SME ยาม ภารโรงด้วยมั๊ย
แล้วแค่ เมกาขึ้นภาษี 36% ทำไมพังเศรษฐกิจได้ทั้งระบบ งงมาก