ชำแหละกลโกง"Pig Butchering"ฟอกเงินผ่านคริปโต 9 แสนล้าน

เปืดผลวิจัยหลอกลวงรูปแบบ "Pig Butchering" ที่ใช้ Cryptocurrency ในการฟอกเงิน โดยมีมูลค่าความเสียหายสูง หรือประมาณ 900,000 ล้านบาท ระบุ Exchange ไทยมีเอี่ยวถูกใช้เป็นช่องทางโอนถอน USDT สมาคมผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เผยฟอกเงินผ่านคริปโตไทยสูงกว่าคาด

งานวิจัย: How Do Crypto Flows Finance Slavery? The Economics of Pig Butchering จาก คณะบริหารธุรกิจแมคคอมบ์ส  มหาวิทยาลัยเท็กซัสแห่งออสติน (University of Texas at Austin)  ซึ่งเป็นการศึกษาการใช้เงินคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เพื่อสนับสนุนองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงรูปแบบ Pig Butchering (หลอกลวงผ่านความสัมพันธ์ออนไลน์) และการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการวิเคราะห์ธุรกรรมคริปโตจากเหยื่อที่ตกเป็นเป้า พบข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับการหลอกลวงรูปแบบ "Pig Butchering" ที่ใช้ Cryptocurrency ในการฟอกเงิน โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 28,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 900,000 ล้านบาท ซึ่งกระทบต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

'Pig Butchering' คืออะไร?
Pig Butchering เป็นรูปแบบการหลอกลวงที่อาชญากรจะสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อผ่านการสื่อสารออนไลน์ เริ่มจากการสร้างความไว้วางใจเหมือนการ "เลี้ยงหมู" ก่อนที่จะ "ฆ่า" ด้วยการหลอกให้ลงทุนเงินจำนวนมหาศาล
สิ่งที่เปลี่ยนไปจากอดีตคือ วิธีการฟอกเงิน แทนที่จะใช้ระบบธนาคารปกติซึ่งตรวจสอบได้ง่าย อาชญากรหันมาใช้ Cryptocurrency ที่ทำให้การตรวจสอบเส้นทางเงินทำได้ยากขึ้นอย่างมาก
 

การศึกษาเผยให้เห็นว่า อาชญากรมีกระบวนการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน เริ่มจากการหลอกเหยื่อให้โอนเงินเข้าแพลตฟอร์ม Exchange ต่างประเทศที่มีชื่อเสียง เช่น Coinbase และ Crypto.com ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของเงินที่ถูกหลอก  เมื่อได้เงินมาแล้ว อาชญากรจะแปลงเงินเป็น Stablecoin โดยเฉพาะ USDT ที่มีค่าคงที่เหมือน US Dollar เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของราคาและปกปิดเส้นทางการเงิน จากนั้นจึงกระจายเงินไปยังแพลตฟอร์มลงทุนคริปโตหลายแห่ง เพื่อให้ธุรกรรมดูซับซ้อนและตรวจสอบยาก

เอเชียกลายเป็นปลายทางสำคัญ
จุดสำคัญของรายงานนี้คือการพบว่า ส่วนใหญ่เงินที่ฟอกเสร็จแล้วจะถูกถอนออกผ่าน Exchange ในเอเชีย โดยเฉพาะ Binance, OKX และ Bitkub ของประเทศไทย  โดยเหตุผลที่เลือกใช้ Exchange ในเอเชียมี  2 ประการหลัก ประการแรกคือ อยู่นอกเขตอำนาจของสหรัฐอเมริกา ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้าถึงได้ยาก ประการที่สองคือ มาตรฐานการตรวจสอบและยืนยันตัวตน KYC (Know Your Customer) และ AML (Anti-Money Laundering) ต่ำกว่าที่อเมริกา

Cryptocurrency กับการฟอกเงิน
การใช้ Cryptocurrency มีข้อได้เปรียบมากกว่าวิธีเก่าหลายประการ นอกจากการตรวจสอบที่ยากแล้ว ค่าธรรมเนียมในการฟอกเงินยังต่ำมากเพียง 0.33% เท่านั้น  หากเปรียบเทียบกับอดีตที่ใช้บัญชีธนาคาร หากมีการหลอกลวง เจ้าหน้าที่ยังสามารถตรวจสอบได้ว่าเงินโอนไปที่บัญชีใคร และตามรอยไปถึงตัวจริงได้ในที่สุด แต่เมื่อใช้ Blockchain และ Smart Contract การโอนข้ามไปมาหลายแพลตฟอร์มด้วยต้นทุนต่ำ ทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยากมาก

ความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติ
รายงานยังเผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่น่าวิตกระหว่างการหลอกลวง Pig Butchering กับการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานทาส โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย การเชื่อมโยงนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้เป็นเพียงการฉ้อโกงเงิน แต่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ซับซ้อน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในขณะที่รัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงไทย มักอ้างว่าเทคโนโลยี Blockchain มีความปลอดภัยและโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยีเดียวกันนี้กลับกลายเป็นช่องโหว่ให้อาชญากรใช้ฟอกเงินปัญหาสำคัญคือ เมื่อใช้ Global Exchange ที่อยู่นอกเขตอำนาจ หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศจะมีอำนาจจำกัดในการตรวจสอบ แพลตฟอร์มต่างประเทศอาจไม่ให้ความร่วมมือ โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลลูกค้าที่เป็นความลับทางการค้า

ข้อเสนอแนะและทางออก
นักวิจัยจากคณะบริหารธุรกิจแมคคอมบ์ส  มหาวิทยาลัยเท็กซัสแห่งออสติน เสนอแนะว่า Exchange ที่เป็นจุดเข้า-ออกสำคัญ โดยเฉพาะในเอเชีย ควรยกระดับมาตรฐาน KYC และ AML ให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดความง่ายของกระบวนการฟอกเงิน  นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า กระบวนการเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในการซื้อเสียงทางการเมืองในอนาคต จึงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด


ฟอกเงินผ่านคริปโตไทยสูงกว่าคาด อมยิ้ม07
นายปรีชา ไพรภัทรกุล  กรรมการสมาคมผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO)  กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าปัญหาการฟอกเงินผ่าน Cryptocurrency ในประเทศไทยมีขนาดมหาศาลมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีความเสียหายที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีอย่างเป็นทางการถึงเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 90,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่น่าตกใจกว่าคือ ในปี 2566 และ 2567 ประเทศไทยมียอดการซื้อขาย USDT (Tether) รวมถึง 600,000 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของมูลค่าการซื้อขาย Cryptocurrency ทั้งหมดในประเทศ ทั้งที่ USDT เป็น Stable Coin ที่ราคาไม่ผันผวนมาก นักลงทุนจึงไม่ซื้อขายเพื่อหวังผลกำไร แต่เป็นเครื่องมือในการโอนเงินข้ามชาติด้วยต้นทุนที่ต่ำ

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าการซื้อขาย USDT 600,000 ล้านบาทกับความเสียหายที่ถูกรายงาน 90,000 ล้านบาท พบว่ามีช่องว่างหายไป 510,000 ล้านบาท แม้จะประเมินอย่างระมัดระวังว่าครึ่งหนึ่งของยอดซื้อขายเป็นธุรกรรมปกติ ก็ยังคงมีเงินอีกกว่า 200,000 ล้านบาทที่ไม่ทราบแหล่งที่มา
การฟอกเงินผ่าน Cryptocurrency ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการหลอกลวงโรแมนซ์สแกมเท่านั้น แต่รวมถึงการสแกมทุกประเภทที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยมีศูนย์กลางหลักอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย

ในขณะที่ Exchange ในสหรัฐอเมริกามีการกำกับดูแลที่เข้มงวด ทำให้การแปลง Cryptocurrency เป็นเงินสดติดตามได้ แต่ในประเทศไทยกลับมีช่องโหว่ที่อาชญากรสามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลจากต่างประเทศโดยไม่เปิดเผยตัวตน   โดยสามารถใช้ Private Wallet เช่น Metamask หรือ Hardware Wallet เก็บสินทรัพย์ค่อยโอนเข้า Exchange ในไทยเป็นงวดๆ เพื่อขายทำเงิน
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มิจฉาชีพใช้ Cryptocurrency  เป็นเครื่องมือการฟอกเงินนั้น  อย่างแรกคือเปิดบัญขีธนาคารง่าย  โดยการฟอกเงินผ่าน Cryptocurrency  มักเริ่มจากการใช้บัญชีม้า หรือบัญชีธนาคารที่เปิดโดยบุคคลอื่นซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องจริง เพื่อกระจายเงิน การฟอกเงินผ่านคริปโตมีการใช้บัญชีเหล่านี้ เพื่อรับเงินที่ถูกโอนผ่านคริปโต และถอนเงินสดออกจากบัญชีธนาคาร บัญชีม้าจะถูกใช้ในการโอนเงินข้ามไปยังบัญชีอื่นหลายต่อหลายครั้งเพื่อปกปิดแหล่งที่มาที่แท้จริงของเงิน   กระบวนการนี้ทำให้ยากต่อการติดตามเงินสดที่ถูกฟอกแล้ว โดยการใช้เทคโนโลยีบอทในการกระจายเงินผ่านหลายบัญชีในระบบอย่างรวดเร็ว   เงินที่ฟอกผ่านคริปโตจะถูกแปลงเป็นเงินบาท เมื่อขายคริปโตใน Exchange ในประเทศไทย อาชญากรมักจะใช้การขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรวดเร็วในตลาดและถอนเงินบาทออกมา ซึ่งธุรกรรมเหล่านี้ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ เนื่องจากการซื้อขายและการถอนเงินอาจดูเป็นธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย

หรือใช้ช่องทางการซื้อขายแบบ Peer-to-Peer (P2P)  หลบเลี่ยงการตรวจสอบโดยหน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานรัฐหลายแห่งในประเทศไทย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
มีการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น USDT (Tether) ในการทำธุรกรรมมากขึ้น โดยข้อมูลจากตลาดชี้ให้เห็นว่า USDT ถูกใช้ในการซื้อขายมากถึง 40% ของตลาด ซึ่งคริปโตประเภทนี้เป็นที่นิยมในการใช้เป็นสื่อกลางในการฟอกเงินเพราะการโอนเงินผ่าน USDT สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากธนาคาร  และมูลค่า USDT  ยังไม่มีการผันผวน

ปัญหาบัญชีม้าและการจำแนกประเภท
ประเทศไทยมีปัญหาบัญชีม้าที่ใช้ในการฟอกเงิน โดยมีการจำแนกประเภท:
-ม้าดำ: บัญชีที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีแล้ว
-ม้าสีเทา: บัญชีที่อยู่ในข่ายที่มีการส่งเงินผ่านมา (แบ่งเป็นเทาเข้มและเทาอ่อนตามระดับความรุนแรง)
-ม้าไม่มีสี: บัญชีที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร
ปัญหาสำคัญคือ ประเทศไทยไม่สามารถติดตามได้ว่าเจ้าของบัญชีเหล่านี้คือใคร ทำให้อาชญากรสามารถขายสินทรัพย์ดิจิทัลออกได้โดยไม่มีใครมาดำเนินคดี

Travel Rule และมาตรฐานสากล
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการบังคับใช้ Travel Rule ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดให้ Exchange ทุกแห่งต้องเปิดเผยข้อมูลผู้ส่งและผู้รับในทุกธุรกรรมที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ดอลลาร์ หรือ 1,000 ยูโร
Travel Rule เป็นข้อเสนอแนะที่ 15 และ 16 ของ FATF (Financial Action Task Force) ที่ประเทศไทยสมัครเป็นสมาชิกอยู่ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติเพราะยังออดิตไม่ผ่าน

สถานการณ์เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในขณะที่ประเทศไทยยังล่าช้าในการปรับปรุงระบบ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้ดำเนินการแล้ว:
สิงคโปร์: ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้ว
มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย: ประกาศเป็นกฎหมายแล้วและกำลังเริ่มมีผลบังคับใช้
ประเทศไทย: ยังอยู่ในเทียร์เดียวกับกัมพูชา
กรณีศึกษาการปรับจาก DOJ สหรัฐฯ
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ได้ปรับ Exchange ต่างๆ ข้อหาละเมิดกฎหมายการฟอกเงิน:
-BitMEX: ปรับประมาณ 200 ล้านดอลลาร์
-Binance (2023): ปรับ 4.3 พันล้านดอลลาร์
-KuCoin (ต้นปี 2567): ปรับ 300 ล้านดอลลาร์
-OKX (เมษายน 2567): ปรับ 500 ล้านดอลลาร์

รวมแล้วอุตสาหกรรมคริปโตถูกปรับไปประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อุตสาหกรรมธนาคารดังเดิมทั้งหมดตั้งแต่ปี 2009 ถูกปรับเพียง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการแก้ไขกฎหมาย
ขณะนี้มีการแก้ไขกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอยู่ในชั้นกรรมาธิการ แต่ยังไม่เห็นเนื้อหาเกี่ยวกับ Travel Rule ในร่างกฎหมาย   ทั้งนี้คาดว่าหากมีการบังคับใช้ Travel Rule ปริมาณการซื้อขายจะลดลงอย่างมหาศาล เนื่องจากไม่สามารถฟอกเงินผ่านประเทศไทยได้อีกต่อไป
ระบบป้องกันและเครื่องมือตรวจสอบ 
ปัจจุบันมีเครื่องมือป้องกันการฟอกเงิน:
-WorldCheck: ฐานข้อมูลบุคคลต้องห้ามทั่วโลก
-On-chain Monitoring: ตรวจสอบว่าธุรกรรมผ่าน Wallet ต้องห้ามหรือไม่
-Market Surveillance: ตรวจสอบการจัดการราคาและการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่