จีนเตือนสหรัฐฯ อย่าปลุกสงครามภาษีรอบใหม่ ขู่ตอบโต้ทุกชาติ “แทงข้างหลัง” ตัดออกจากห่วงโซ่อุปทาน
https://ch3plus.com/news/international/morning/443379
.
.
จีนออกโรงเตือนรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่าอย่าจุดชนวนความตึงเครียดทางการค้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยการนำมาตรการภาษีต่อสินค้าจีนกลับมาบังคับใช้ในเดือนหน้า พร้อมขู่ว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้กับทุกประเทศที่ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อตัดจีนออกจากห่วงโซ่อุปทาน
.
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงกรอบการค้าในเดือนมิถุนายน แต่เนื่องจากรายละเอียดหลายอย่างยังไม่ชัดเจน บรรดาผู้ค้าและนักลงทุนในสองประเทศจึงกำลังจับตาดูว่าข้อตกลงนี้จะล้มเหลวหรือไม่
.
โดยเมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เริ่มแจ้งให้ประเทศคู่ค้าทราบถึงอัตราภาษีที่จะเริ่มถูกเก็บตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากทรัมป์ได้ชะลอการขึ้นภาษีเกือบทั้งหมดที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายน เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ เจรจาทำข้อตกลง
.
จีน ซึ่งในตอนแรกถูกพุ่งเป้าด้วยอัตราภาษีสูงลิ่วกว่า 100% มีเวลาจนถึงวันที่ 12 สิงหาคมในการบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้ทรัมป์นำมาตรการจำกัดการนำเข้าเพิ่มเติม ซึ่งเป็นผลจากการตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษีในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม กลับมาใช้
.
หนังสือพิมพ์ People’s Daily ซึ่งเป็นสื่อกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ระบุในบทความที่ลงนามว่า “จงเซิง (Zhong Sheng)” หรือ “เสียงแห่งประเทศจีน” ซึ่งเป็นนามปากกาที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ใช้เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศว่าข้อสนุปหนึ่งที่ชัดเจนอย่างยิ่งคือ การเจรจาและความร่วมมือคือหนทางเดียวที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังย้ำว่ามาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์เป็นการกลั่นแกล้ง และระบุว่าบทพิสูจน์จากการปฏิบัติจริงชี้ให้เห็นว่า มีเพียงการยึดมั่นในจุดยืนตามหลักการอย่างแน่วแน่เท่านั้น ที่จะสามารถปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนเองได้อย่างแท้จริง
.
จะเห็นได้ว่ารายงานที่ออกมาเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงสงครามการค้ารอบใหม่ หากทรัมป์ยังคงยึดมั่นที่จะใช้มาตรการที่จีนเรียกว่า “เส้นตายสุดท้าย” นี้
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบัน Peterson Institute for International Economics ระบุว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากจีนที่ 51.1% ขณะที่จีนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 32.6% โดยทั้งสองฝ่ายต่างใช้มาตรการภาษีเหล่านี้ครอบคลุมการค้าทั้งหมดระหว่างกัน
.
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ People’s Daily ยังได้วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงประเทศในเอเชียที่กำลังพิจารณาทำข้อตกลงลดภาษีกับสหรัฐฯ และตัดจีนออกจากห่วงโซ่อุปทานของประเทศเหล่านั้น เช่น เวียดนามที่ได้ทำข้อตกลงลดภาษีจาก 46% เหลือ 20% โดยมีเงื่อนไขว่าสินค้าที่ขนส่งผ่านเวียดนาม ซึ่งโดยทั่วไปมีต้นทางมาจากจีน จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 40%
.
เนื้อหาในบทความระบุว่าจีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการที่ฝ่ายใดก็ตามจะทำข้อตกลงที่ต้องเสียสละผลประโยชน์ของจีนเพื่อแลกกับข้อผ่อนปรนทางภาษี หากสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น จีนจะไม่มีวันยอมรับและจะตอบโต้อย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของตน
.
.
วีระยุทธ แนะ 4 ข้อถึงรบ. เร่งแก้เกมภาษีทรัมป์ ยันตอนต่อไปอันตรายกว่า-เตรียมรับแรงกระแทก
https://www.matichon.co.th/politics/news_5266171
.
วีระยุทธ แนะ 4 ข้อเสนอรบ. แก้เกมภาษีทรัมป์ 36% เร่งช่วยกลุ่มเสี่ยงเอสเอ็มอี-ปราบสินค้าสวมสิทธิ-รื้องบใหม่ เตรียมรับแรงกระแทก ยันตอนนี้แค่สัญญาณเตือน ตอนต่อไปอันตรายกว่า
.
ภาษีทรัมป์ – เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้เผยแพร่ข้อเขียน เรื่อง [ 4 ข้อเสนอรับมือภาษีทรัมป์ : ระวังเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง ] ภายหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายถึงไทยจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% โดยจะมีผลวันที่ 1 สิงหาคมว่า
.
1. ตอนนี้คือสัญญาณเตือนภัย ตอนต่อไปอันตรายกว่า
.
สถานการณ์ตอนนี้เปรียบเสมือนประธานาธิบดีทรัมป์สร้าง “หลุมดำ” ดูดให้ประเทศคู่ค้าทั่วโลกรีบวิ่งกรูเข้ามายื่นข้อเสนอใหม่ให้สหรัฐฯ
ตอนนี้เกมยังไม่จบ และไทยยังไม่เผชิญ worst-case scenario
.
สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ การเจรจารอบต่อไป ก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม
.
ซึ่งหากรัฐบาลไทยไม่ตั้งหลักให้ดีๆ ก็อาจยอมทุ่มทุกอย่าง เพื่อให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีจาก 36% ลงมา โดยสิ่งที่จะนำไปแลกไม่ใช่แค่ลดภาษีนำเข้าเพื่อเปิดตลาดไทยเท่านั้น แต่อาจจะรวมถึงไพ่อื่นๆ ที่เรามี อย่างมาตรการการควบคุมคุณภาพ ข้อกำหนดด้านสุขอนามัย รวมถึงนโยบายความมั่นคงด้วย
รัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไม่ควรคิดถึง แต่การลดตัวเลขภาษี 36% และเป้าหมายระยะสั้นเท่านั้น
.
แต่ต้องพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดกับเศรษฐกิจไทย และคนไทยจากสิ่งที่เอาไปแลกด้วย เพราะหากไม่รอบคอบแล้ว ข้อเสนอที่เอาไปยื่นให้เขาในวันนี้อาจสร้างผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยทั้งด้านอุตสาหกรรมและการเกษตรในระยะยาว
.
Worst case จะเกิดขึ้นก็เมื่อรัฐบาลเอาทุกอย่างไปแลก จนประเทศไทย “เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง” กล่าวคือ ด้านส่งออกก็จะส่งไปได้น้อยลง ในขณะที่ด้านนำเข้าก็จะเพิ่มขึ้น ซ้ำเติมภาวะการผลิตถดถอยภายในประเทศ และลดอำนาจต่อรองของไทยในเวทีภูมิรัฐศาสตร์
.
เสี่ยงจะเกิด “แผลเป็นทางเศรษฐกิจ” ที่รุนแรงยิ่งกว่าตอนโควิด
.
2. เดินหน้าช่วยกลุ่มเสี่ยง SME 4,990 บริษัท แรงงาน 500,000 คน
.
มาตรการที่ควรดำเนินการมานานแล้ว แต่ยังไม่เริ่มเสียทีก็คือ การเดินหน้าไปหากลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์
ไม่ใช่แค่เปิดสายด่วน แต่ต้องเป็น “แพทย์เคลื่อนที่” เดินหน้าไปรับฟังปัญหา และจ่ายยาให้ผู้ป่วย
.
การทำงานในอนุกรรมาธิการ Trade War ได้ข้อมูลจากแบงก์ชาติว่าในบรรดา 30,000 บริษัทไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ นั้นมี SMEs อยู่ 4,990 บริษัท ทั้งหมดนี้จ้างงานรวมกัน 500,000 กว่าคน
.
บริษัทจำนวนมากอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เกษตร โลหะ สิ่งทอ
.
ผู้ประกอบการที่เรารับฟังบอกว่า “ซอฟต์โลน” หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไม่ได้ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม บางกลุ่มต้องช่วยพยุงจ้างงาน บางกลุ่มต้องช่วยลดต้นทุน บางกลุ่มต้องการตลาดใหม่ บางกลุ่มชะตากรรมขึ้นกับบริษัทข้ามชาติที่กำลังจะย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม
.
อุตสาหกรรมอย่างผู้ผลิตของเล่น เครื่องดินเผา เครื่องประดับ คือ Craft Industry ที่มือคนไทยเก่งกว่ามือชาติอื่นๆ ผู้ประกอบการไทยที่อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ “เก่งจริง” เพราะต้องฝ่าฟันมาทั้งคลื่นจีน คลื่นเวียดนาม คลื่นโควิด การที่พวกเขาต้องมาเจอช็อกแบบสงครามการค้าที่จะทำลายตลาดส่งออกไปจึงเป็นเรื่องไม่เป็นธรรม และสะเทือนการจ้างงานหลายแสนครอบครัว
.
ข้อมูลมีพร้อม เหลือแค่การทำงานเชิงรุกของผู้มีอำนาจ
.
3. จัดการสินค้าสวมสิทธิจริงจังเสียที
.
ตอนเดือนเมษายนที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากไทย อ้างว่าเราได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ฝั่งไทยก็พยายามบอกว่า อย่าไปเชื่อตัวเลขส่งออกที่ว่าเยอะๆ เลย เพราะมีสินค้าสวมสิทธิ์แฝงอยู่ทั้งนั้น และประกาศฮึ่มๆ ว่าจะตรวจสอบจริงจัง
.
แต่ผ่านไปแค่สองเดือน นอกจากจะไม่มีการกวาดล้างโรงงานสวมสิทธิ์จริงจังแล้ว ก็ยังเอาตัวเลขส่งออกที่พุ่งสูงมาประชาสัมพันธ์ด้านเดียว โดยไม่มีแนวทางจัดการกับด้านนำเข้าเลย
.
ปัจจุบัน มีสินค้ามูลค่าระดับพันหรือหมื่นล้านบาทที่เข้ามาใช้เราเป็นทางผ่าน นำสินค้าจากประเทศแม่มา “ใส่โจงกระเบน” แล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่ 3 ปกปิดแหล่งกำเนิดเดิมที่โดนแบน
.
ทั้งนี้ รัฐบาลควรทราบว่าไม่ใช่ว่าสินค้าทุกอย่างที่ส่งไปสหรัฐฯ จะต้องขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หรือ Certificate of Origin (CO)
.
ถ้านับจากมูลค่า พบว่ามีสินค้าแค่ 28% เท่านั้นที่มาขอใบ C/O จึงมีโอกาสที่สินค้าสวมสิทธิจะหลุดรอดไปได้สูงมากในระบบปัจจุบัน
หากต้องการทำให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เกิดจากผู้ผลิตไทย หรือโรงงานต่างชาติที่มาสร้างมูลค่าเพิ่มในไทยแบบชัดๆ รัฐบาลต้องเดินหน้าปราบปรามจริงจัง
.
ในขณะที่การช่วย SME ต้องทำแบบเฉพาะเจาะจง
.
การจัดการสินค้าสวมสิทธิควรทำด้วยการ “เล่นใหญ่” บุกไปจับโรงงานสวมสิทธิให้เป็นข่าวสักครั้ง
เพื่อส่งสัญญาณให้กลุ่มทุนเทาเห็นว่า ประเทศไทยจะไม่ปล่อยให้พฤติกรรมสวมสิทธิลอยนวลอีกต่อไป
.
4. รื้องบใหม่ เตรียมรับแรงกระแทก
.
หน่วยงานราชการจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพย่อมต้องมีการจัดสรรกำลังคนและงบประมาณให้สอดคล้องกัน
.
พรรคประชาชนเคยเตือนไว้ในการอภิปรายงบประมาณ 69 วาระหนึ่ง เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมแล้ว ว่าเราไม่ควรจัดงบประมาณแบบเดิมๆ เพราะปีนี้เป็นปีเสี่ยง “เผาจริง” ที่ปัจจัยภายนอกทุกด้าน ทั้งการท่องเที่ยวและการค้าจะส่งผลลบกับเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง
.
ถึงตอนนี้ ก็ยังไม่สายสำหรับการปรับทิศทาง เพราะขณะนี้ งบประมาณ 3.78 ล้านล้านบาทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการงบประมาณ
หากรัฐบาลพร้อมปรับใหญ่ กรรมาธิการของพรรคประชาชน 16 คนก็พร้อมทำงานด้วย ช่วยปรับการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
.
แต่รัฐบาลต้องตั้งเป้าชัดเจนว่าจะนำงบประมาณไปใช้กับอะไร มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างที่เคยเกิดมาแล้ว
.
3.78 ล้านล้านบาทนี้คือ “เงินก้นถุง” ของประเทศที่เราทุกคนมีร่วมกันในยามวิกฤต
.
ได้เวลาช่วยกันทำให้เงินทุกบาททุกสตางค์นี้กลายเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ที่คนไทยสามารถยืนพิง ตั้งหลักให้มั่นในช่วงเวลาที่พายุกำลังโหมกระหน่ำครับ
.
https://www.facebook.com/Veerayooth.Kanchoochat/posts/pfbid02cwRuK7Mo8DPmFHXbC7ntd6bJ9PCA4bJ2YWEihz8fKdYwmhUxfENjjEcWkBwLLDZJl
JJNY : 5in1 จีนขู่ตอบโต้ทุกชาติ│วีระยุทธแนะ 4ข้อ│เลขาปชน.ยันไม่ส่งชิงลต.ซ่อม│ร้องขุนคลัง-รมว.ตปท.ลาออก│ปกรณ์วุฒิฉะ‘ไผ่’
.
.
.
https://www.facebook.com/Veerayooth.Kanchoochat/posts/pfbid02cwRuK7Mo8DPmFHXbC7ntd6bJ9PCA4bJ2YWEihz8fKdYwmhUxfENjjEcWkBwLLDZJl