สวัสดีค่ะก่อนอื่นต้องขอเเนะนำตัวก่อนนะค่ะ ดิฉันชื่อ เนย เรื่องที่กำลังจะเล่าคือเรื่องที่ดิฉันได้ประสบพบเจอมาเมื่อตอนช่วงอายุ12-13ปี ค่ะ
เรื่องมันมีอยู่ว่าดิฉัน อาศัยอยู่หมู่บ้านเล็กๆที่ห่างไกลความเจริญทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดิฉันอาศัยอยู่ที่นั่นเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไปไม่มีโทรศัพท์และโซเชียล
ขอเกริ่นลักษณะบ้านที่ดิฉันอยู่ก่อนนะคะ ลักษณะบ้านเป็นบ้านสวนที่ห่างออกมาจากถนนใหญ่ประมาณ2กิโลเมตร บริเวณบ้านข้างๆจะไม่มีเพื่อนบ้านจะเป็นสวนที่ชาวไร่ทำกัน มองออกไปบริเวณหน้าบ้านเป็นภูเขาลูกใหญ่หนึ่งลูกชาวบ้านเรียกกันว่า เขาย่าไข(นามสมมุติ) เมื่อขับรถตรงไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรจะเจอกับภูเขาทรงระฆังคว่ำและที่บริเวณตีนภูเขาจะมีสำนักสงฆ์ตั้งอยู่ ขออธิบายลักษณะรอบๆสำนักสงฆ์คร่าวๆก่อนนะคะ บริเวณนั้นจะมีศาลาหลังใหญ่ และมีพระประธานตั้งอยู่ด้านใน บริเวณศาลาจะไม่มีกำแพงปิด จะมีเพียงแค่หลังคา และในบริเวณรอบๆนั้นจะมีโกฐเก็บกระดูก และป่าล้อมรอบศาลาไว้
วันนั้นหลังจากที่ดิฉันเลิกเรียนมีผู้ใหญ่มาชวนไปวัด(ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ที่พ่อกับแม่เคารพ ขอเรียกเเทนว่าปู่กับย่านะคะ) ปู่กับย่าได้ขับรถยนต์ขึ้นมาจากหมู่บ้านที่ไกลจากบ้านสวนดิฉันประมาณ9-10กิโลเมตร ท้ายรถกะบะคันนั้น มีคนแก่ขึ้นมาด้วยจำนวนนึง
คุณย่าได้จอดรถเพื่อเรียกดิฉันไปด้วย ด้วยความที่ดิฉันเห็นเพื่อนๆวัยเดียวกันขึ้นท้ายรถมาด้วย เลยตกลงที่จะไปกับคุณย่า เหตุผลของที่ดิฉันไปก็คืออยากไปเล่นกับเพื่อนๆ หลังจากที่ไปถึงสำนักสงฆ์แล้ว ก็เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ปู่ย่าและผู้ใหญ่ที่ขึ้นมาบนรถก็ได้ลงรถเพื่อที่จะเดินขึ้นไปบนศาลา ภายในบริเวณศาลาจะมีการจุดเทียนล้อมรอบเป็นวงกลม หลังจากนั้นพระก็ได้เริ่มสวดตั้งแต่สองทุ่มจนถึงเที่ยงคืน บทสวดนี้สามารถนอนสวดหรือทำท่าไหนสวดก็ได้ค่ะ ขอแค่ให้เราจับลูกแก้ว หรือจับสร้อยค่ะ คือตอนนั้นดิฉันก็นอนตักคุณย่าและจับลูกแก้วแต่ไม่ได้ใส่ใจในบทสวดค่ะ
หลังจากที่สวดคืนนั้นเสร็จก็กลับบ้านและไปนอนตามปกติ
ระยะล่วงเลยเป็นเวลาเกือบ2สัปดาห์ดิฉันก็ไปที่สำนักสงฆ์กับคุณย่าบ้างไม่ไปบ้างเพราะดิฉันไปเรียนในช่วงเช้าแต่ที่ยังอยากไปก็เพราะอยากไปเล่นกับเพื่อนๆ
ประมาณสองสัปดาห์ต่อมาวันนั้นตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของดิฉันพอดีคุณปู่และคุณย่ามาหาที่บ้านและชวนไปกับท่าน ดิฉันก็คิดนึกในใจว่าอาจจะไปที่สำนักสงฆ์เหมือนเดิมเพราะอยากไปเล่นกับเพื่อนๆ
แต่ครั้งนี้ที่ไปคุณปู่พาขับรถรอบ ๆหมู่บ้าน โดยลักษณะการไปก็คือให้พระนั่งที่เบาะข้างคนขับและคุณปู่เป็นคนขับรถดิฉันกับย่านั่งด้านหลัง ในทุกๆระยะ 500เมตร ถึง 1 กิโลเมตร จะมีการโยนลูกแก้วลูกเล็กๆ ประมาณเท่าเม็ดมะขาม โยนเเบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาพรบค่ำจึงได้กลับมาที่สำนักสงฆ์
ประมาณ2วันหลังจากนั้นดิฉัน ก็ไปที่สำนักสงฆ์อีกครั้งและก็สวดมนต์ตามปกติ เเล้วที่สำนักสงฆ์ก็จะมีของนักปฎิบัติธรรมมาให้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคล ของที่บูชาก็มีลักษณะเป็นสร้อยลูกแก้วกลมๆหลากสี ด้วยความที่ดิฉันเป็นเด็กไม่มีเงินก็เลยไม่ได้บูชา ในขณะที่สวดมนต์ ดิฉันก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาตามประสาเด็ก
หลังจากที่สวดมนต์เสร็จเเล้ว ก่อนกลับบ้านพระท่านก็เรียกไปหา
(หลังจากนี้จะเป็นมนต์สนทนาระหว่างพระเเละดิฉัน)*สำเนียงอีสาน
พระ: อิหล่าๆ มาเอาขนม
(ดิฉันก็คลานเข่าเข้าไปเพื่อไปรับขนมจากท่าน)
พระ:เอาไปแล้วกะกลับบ้านไปนำเด้อหล่า(พร้อมกับสร้อยลูกแก้วโยนมาให้ดิฉัน)
ดิฉัน: จ้า(พร้อมกับก้มกราบ)
หลังจากที่สวดมนต์เสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าดิฉันก็กลับมาที่บ้าน เห็นคุณแม่ของดิฉันกำลังยืนรอดิฉันกลับบ้าน
หลังจากนั้นดิฉันก็เข้าห้องนอนอย่างปกติ
ขออธิบายลักษณะของตัวบ้านก่อนนะคะ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับภูเขาลูกหนึ่งที่เรียกว่าเขาย่าไข(นามสมมุติ) ลักษณะบ้านจะเป็นบ้านยกสูงใต้ถุนโล่ง ฝั่งซ้ายจะเป็นห้องนอนพ่อของแม่1ห้อง และฝั่งขวาจะเป็นห้องนอนของดิฉันอีกหนึ่งห้องโดยห้องนอนของพ่อกับแม่จะติดกับประตูทางขึ้น บันไดขึ้นบ้านจะเป็นบันไดสมัยเก่าโดย เมื่อทุกคนขึ้นบ้านพ่อจะทำการโยกบันไดออกไปและมีเชือกตึงอยู่ตรงกลางของบันได
หลังจากที่ดิฉันและเเม่ ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็เข้านอนตามปกติ
โดยดิฉันก็นอนกำสร้อยที่พาท่านให้มาแล้วหลับไป และในคืนนั้น(ในมุมของเเม่ดิฉัน)
แม่ของดิฉันฝันว่ามีคนมายืนอยู่ที่หน้าบ้านพร้อมกับเขย่าบันไดให้เกิดเสียงดังตึงๆ
เมื่อคุณแม่ได้ยินเสียงจึงลุกมาเปิดประตูดู และได้พบเห็นเงาดำลักษณะคล้ายคนยืนจับบันไดบ้านอยู่(บทสนทนาเเม่กับเงาดำ)
*บทสนทนาต่อไปนี้เป็นสำเนียงอีสาน
แม่: เป็นไผนิ มาเขย่าบันไดบ้านกูเฮ็ดหยัง
เงาดำ: กูขอขึ้นได้บ่ ขอขึ้นไปเถิงบ้านได้บ่( น้ำเสียงผู้ชาย)
แม่: สิขึ้นมาเฮ็ดหยัง เป็นไผ
เงาดำ: กูกะมากับลูกนั่นละ ให้กูขึ้นไปบนบ้าน(น้ำเสียงขอร้อง)
แม่: บ่ได่ดอกๆ หนีไปเลย
เงาดำ: กูสิขึ้นไป กูสิไปเถิงบ้าน ให้กูขึ้นไป กูมาอยู่กับลูกนั่นละ(น้ำเสียงโกรธ)
แม่: บ่ได้ดอก มาทางใดกลับไปทางนั้นเลยนะ
เงาดำ: กูบ่ไป กูสิขึ้นบ้าน กูมากลับลูก กูสิไปอยู่ม่องใด กูบ่มีม่องอยู่(น้ำเสียงดังกว่าเดิม)
เมื่อเห็นท่าทีไม่ดีเเม่ของดิฉันก็เหลือบตาไปเห็น มีดตัดอ้อย ที่วางไว้บริเวณข้างๆที่นอนๆ พร้อมกับยกมีดขึ้นมาขู่เงาสีดำอีกครั้ง
แม่: ไปเลยนะ ถ้าบ่ไปกูสิเอามีดจามหัวเดี๋ยวนี้ละ
เหมือนจะได้ผล เงาสีดำนั้นเหมือนจะรู้สึกกลัว เงาสีดำผงะ เเละรับวิ่งขึ้นไปบนภูเขาหน้าบ้าน เเต่ตอนที่วิ่งไป มีเงาสีดำมากกว่า10ตน วิ่งหนีไปด้วยกัน
หลังจากนั้นเเม่ของดิฉันก็สดุ้งตื่น พร้อมกับปลุกพ่อของดิฉันมาหาดิฉันที่ห้อง พร้อมกับถามดิฉันว่า (บทสนทนาระหว่างดิฉันกับเเม่)
แม่:ไปเอาอะไรมา ได้ไปเอาอิหยังกลับบ้านบ่
(ดิฉันก็ทำหน้างงๆ เพราะตอนนั้นนอนอยู่ )
แม่:ได้ไปเอาอิหยังมาบ่ตอนที่ไปสำนักสงฆ์ได้ไปเอิ้นไผมาบ่ มันตามมานิ
(ระหว่างนั้นก็นึกคิดขึ้นได้ว่า ได้สร้อยประคำลูกแก้วจากพระอาจารย์มา)
ดิฉัน: มีสร้อยกับขนมที่พระอาจารย์ให้มากับตอนก่อนกลับบ้าน
*พอถึงรุ่งเช้าพ่อของดิฉันก็นำสร้อยคอประคำไปฝังทิ้งไว้ในดินหลังบ้าน พร้อมกับกำชับว่าอย่าไปที่สำนักสงฆ์นั้นอีก
*หลังจากนั้น2คืน คุณเเม่ก็เข้านอนและฝันเหมือนเดิมคือมีเงาดำๆมาเขย่าบันไดบ้านแต่รอบนี้พอเดินออกไปดูแม่เจอว่าเงาดำๆไปเกาะอยู่ที่เสาใต้ถุนบ้านพร้อมกับน้ำเสียงอ้อนว่า(สำเนียงอีสาน)
เงาดำ:ขอขึ้นไปได้บ่ ขอขึ้นไปเถิงบ้านได้บ่
เเม่: บ่ๆหนี บ้านกูบ่ให้ไผอยู่ทั้งนั้น (เสียงโกรธ)
เงาสีดำเมื่อได้ยินคุณแม่พูดก็เกิดอาการไม่พอใจ กระโดดไปๆมาๆ พร้อมเสียงครางอยู่ในลำคอ แล้วหลังจากนั้นก็หายไป( รอบนี้มา1เงา)
หลังจากคืนนั้นคุณแม่ก็พูดเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟัง เเละพาดิฉันกับเเม่ไปอาบน้ำมนต์ที่วัดในหมู่บ้าน เเละหลังจากเหตุการณ์นั้นประมาณ2เดือน ทุกอย่างปกติไม่มีเหตุการณ์แปลกๆอีก หลังจากนั้น2เดือน ดิฉันก็ได้ย้ายโรงเรียนและมาอยู่ที่บ้านของคุณลุงอีกอำเภอนึงและกลับไปเยี่ยมคุณพ่อ คุณเเม่นานทีปีหนเรื่องเลยจางหายไปตามกาลเวลา
อัพเดทเหตุการณ์หลังจากนั้น
1.สำนักสงฆ์ไม่มีอยู่เเล้ว
2.คำพูดของอาจารย์ที่ว่า“เอาไปแล้วกะกลับบ้านไปนำเด้อหล่า” บอกใคร?
3.เรื่องนี้ไม่มีบทสรุป
กูมากับลูก