ช่วงนี้หลายคนอาจเห็นข่าวไม่มากนัก
แต่จริง ๆ แล้ว สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเดินหน้าเต็มที่กับมาตรการ "Reciprocal Tariffs" หรือ ภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียม ซึ่งจะบังคับให้ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ หรือเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าสหรัฐฯเก็บคืน—ต้องถูกรีดภาษีให้ “เท่ากัน”
ล่าสุด (กรกฎาคม 2025) ไทยยัง ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศเป้าหมาย ที่อาจถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 36%
โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมหลักอย่าง
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
ยางพารา
เครื่องจักร
ซึ่งเป็น สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ความจริงคืออะไร?
รัฐบาลทรัมป์อ้างว่า ประเทศอย่างไทย ได้ประโยชน์เกินควรจากการค้ากับสหรัฐฯ เพราะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่สหรัฐฯ เก็บจากไทย จึงจะมีการปรับให้ "สมดุล" ด้วยการเก็บภาษีเพิ่มเติม
ถ้าไทย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 นี้
ภาษี 36% นี้อาจมีผลบังคับใช้จริงกับสินค้าหลายชนิด
ไทยจะรอดไหม?
จริง ๆ ไทยเคยได้ช่วงเวลา “ผ่อนผัน” 90 วัน หลังเริ่มประกาศแผนภาษีตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา
แต่จนถึงตอนนี้ (8 ก.ค.) ยังไม่มีสัญญาณว่าการเจรจาจะได้ผลชัดเจน
หากโดนเก็บจริง ความเสียหายมีหลายมิติ เช่น:
ผู้ส่งออกไทยต้นทุนพุ่งทันที → สินค้าแข่งขันไม่ได้ในตลาดอเมริกา
นักลงทุนต่างชาติที่เคยใช้ไทยเป็นฐานส่งออก → ย้ายฐานไปเวียดนาม อินเดีย อินโดฯ
สินค้าบางประเภทอาจ “ถูกตีตาย” ในตลาดสหรัฐฯ เลยก็ได้
ความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจไทย → สั่นคลอนในสายตานักลงทุนระยะยาว
แล้วเราควรทำยังไง?
มีบางมุมที่อาจใช้โอกาสนี้ปรับตัว เช่น
ผลักดันอุตสาหกรรมที่ไม่พึ่งสหรัฐฯ มากนัก เช่น อาหารแปรรูป, Medical Devices
ขยายตลาดส่งออกไปประเทศอื่น เช่น จีน, อินเดีย, EU
ใช้จังหวะนี้ดึง FDI จากจีน (ที่ถูกเก็บภาษีหนักเช่นกัน) ให้ย้ายฐานมาที่ไทย
แต่ทั้งหมดนี้ ต้องใช้เวลาและการวางแผนจากภาครัฐแบบแม่นยำมาก
เลยอยากชวนคุยกันในนี้:
เพื่อน ๆ มองว่ารอบนี้ “ภาษี 36%” จะเกิดจริงไหม? หรือแค่เกมการเมืองก่อนเลือกตั้งทรัมป์?
ถ้าเกิดขึ้นจริง ไทยจะเสียอะไร? ได้โอกาสอะไรบ้าง?
เราควรปรับนโยบายส่งออกยังไงดี หรือเจาะตลาดใหม่แบบไหน?
ใครทำธุรกิจส่งออกช่วงสงครามการค้าครั้งแรก (2018–2020) มีประสบการณ์อะไรบ้าง มาแชร์ทีครับ
เพราะรอบนี้ไม่ใช่แค่จีนแล้ว… แต่ไทยเองก็อาจโดนลูกหลงเต็ม ๆ
ใครมีมุมมองหรือข้อมูลเพิ่มเติม อยากชวนมาแลกเปลี่ยนกันครับ
Tariff ยุคทรัมป์ = จุดเริ่มสงครามการค้าโลก? แล้วไทยจะรอดไหมถ้าสหรัฐฯ เก็บภาษี 36% จริง?
แต่จริง ๆ แล้ว สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเดินหน้าเต็มที่กับมาตรการ "Reciprocal Tariffs" หรือ ภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียม ซึ่งจะบังคับให้ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ หรือเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าสหรัฐฯเก็บคืน—ต้องถูกรีดภาษีให้ “เท่ากัน”
ล่าสุด (กรกฎาคม 2025) ไทยยัง ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศเป้าหมาย ที่อาจถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 36%
โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมหลักอย่าง
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
ยางพารา
เครื่องจักร
ซึ่งเป็น สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ความจริงคืออะไร?
รัฐบาลทรัมป์อ้างว่า ประเทศอย่างไทย ได้ประโยชน์เกินควรจากการค้ากับสหรัฐฯ เพราะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่สหรัฐฯ เก็บจากไทย จึงจะมีการปรับให้ "สมดุล" ด้วยการเก็บภาษีเพิ่มเติม
ถ้าไทย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 นี้
ภาษี 36% นี้อาจมีผลบังคับใช้จริงกับสินค้าหลายชนิด
ไทยจะรอดไหม?
จริง ๆ ไทยเคยได้ช่วงเวลา “ผ่อนผัน” 90 วัน หลังเริ่มประกาศแผนภาษีตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา
แต่จนถึงตอนนี้ (8 ก.ค.) ยังไม่มีสัญญาณว่าการเจรจาจะได้ผลชัดเจน
หากโดนเก็บจริง ความเสียหายมีหลายมิติ เช่น:
ผู้ส่งออกไทยต้นทุนพุ่งทันที → สินค้าแข่งขันไม่ได้ในตลาดอเมริกา
นักลงทุนต่างชาติที่เคยใช้ไทยเป็นฐานส่งออก → ย้ายฐานไปเวียดนาม อินเดีย อินโดฯ
สินค้าบางประเภทอาจ “ถูกตีตาย” ในตลาดสหรัฐฯ เลยก็ได้
ความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจไทย → สั่นคลอนในสายตานักลงทุนระยะยาว
แล้วเราควรทำยังไง?
มีบางมุมที่อาจใช้โอกาสนี้ปรับตัว เช่น
ผลักดันอุตสาหกรรมที่ไม่พึ่งสหรัฐฯ มากนัก เช่น อาหารแปรรูป, Medical Devices
ขยายตลาดส่งออกไปประเทศอื่น เช่น จีน, อินเดีย, EU
ใช้จังหวะนี้ดึง FDI จากจีน (ที่ถูกเก็บภาษีหนักเช่นกัน) ให้ย้ายฐานมาที่ไทย
แต่ทั้งหมดนี้ ต้องใช้เวลาและการวางแผนจากภาครัฐแบบแม่นยำมาก
เลยอยากชวนคุยกันในนี้:
เพื่อน ๆ มองว่ารอบนี้ “ภาษี 36%” จะเกิดจริงไหม? หรือแค่เกมการเมืองก่อนเลือกตั้งทรัมป์?
ถ้าเกิดขึ้นจริง ไทยจะเสียอะไร? ได้โอกาสอะไรบ้าง?
เราควรปรับนโยบายส่งออกยังไงดี หรือเจาะตลาดใหม่แบบไหน?
ใครทำธุรกิจส่งออกช่วงสงครามการค้าครั้งแรก (2018–2020) มีประสบการณ์อะไรบ้าง มาแชร์ทีครับ
เพราะรอบนี้ไม่ใช่แค่จีนแล้ว… แต่ไทยเองก็อาจโดนลูกหลงเต็ม ๆ
ใครมีมุมมองหรือข้อมูลเพิ่มเติม อยากชวนมาแลกเปลี่ยนกันครับ