เรื่องผี “กูมากับลูกนั้นหละ”

*รูปภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องใช้สำหรับประกอบการเล่าเท่านั้น*
สวัสดีครับก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผม เฉินบี ได้มีโอกาสได้ฟังเรื่องเล่าจากรุ่นน้องที่ทำงาน เนื่องจากขออนุญาตเจ้าของเรื่องแล้วดั้งนั้นผมขออนุญาตเล่าเลยนะครับ 
น้องเอ (นามสมมุติ) เจ้าของเรื่องน้องเข้ามาเป็นพนักงานใหม่ที่บริษัทเดียวกับผมด้วยความที่มีจังหวะเหมาะจึงได้นั่งล้อมวงคุยกันกับพี่ๆน้องๆพนักงานต่างคนก็ต่างเล่าเรื่องของตัวเองรวมถึงผมด้วยแต่ด้วยความที่ฟังเรื่องผีมาก็เยอะแต่พอได้ฟังเรื่องของน้องเอแล้วผมรู้สึกขนลุกผมจึงเลือกที่จะหยิบเรื่องของน้องมาเล่า เริ่มเลยนะครับ
เมื่อประมาณ 15-20 ปีที่แล้วน้องเออายุได้ประมาณ  12-13 ปีหมู่บ้านที่น้องเออาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านเล็กๆไกลความเจริญ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับธรรมชาติ น้องเอมีชีวิตเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไปโดยเด็กสมัยนั้นเรื่องโทรศัพท์หรือโซเชียลยังไม่มี การได้เล่นกับเพื่อนคือสิ่งที่สนุกมากครอบครัวของน้องเอเองจะมีญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ(ตา-ยาย)ซึ่งจะไปมาหาสู่กันตลอดด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างเอื้ออาศัยกันทำให้พ่อกับแม่น้องเอเองก็ไว้ใจและน้องเอจะตามตากับยายเพื่อไปที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ด้วยแทบจะทุกวันที่มีโอกาส เพราะน้องเอก็จะนัดเจอกับเพื่อนๆที่สำนักสงฆ์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านสวนของน้องเอประมาณ 2 กิโลเมตร
น้องเอเล่าว่า สำนักสงฆ์แห่งนี้ตั้งอยู่ ตีนภูเขารูปทรงระฆังคว่ำ เมื่อหันหน้าตรงจะเจอกับโบสถ์ที่มีพระประธานตั้งอยู่ข้างใน ตัวโบสถ์จะไม่มีกำแพงปิดหน้าหลังมีเพียงแค่หลังคา โดยโรงครัวจะอยู่ด้านขวาของโบสถ์บริเวณด้านหลังและรอบๆรายล้อมไปด้วยป่าและถ้าหันกลับหลังจะเจอกับโกฐกระดูกของญาติๆชาวบ้านแถวนั้น แต่สิ่งที่แปลกก็คือสำนักสงฆ์เองมีเจ้าของสำนักสงฆ์สองคน โดยมีพระที่เป็นเจ้าอาวาสหนึ่งรูปและแม่ชีเป็นผู้จัดตั้งและจะเริ่มสวดมนต์ตั้งแต่ 20:00-00:00 ทุกวัน ตัวของน้องเอด้วยความที่ยังเป็นเด็กก็สวดตามตายายทุกครั้งที่ไป และทางสำนักสงฆ์จะมีของชอบของนักปฏิบัติธรรมมาให้ได้บูชาเป็นสิริมงคล น้องเอด้วยความที่เป็นเด็กและไม่มีเงินก็ได้แต่เดินไปจับดูทางพระอาจารย์เห็นน้องเอสนใจอยากได้เลยหยิบแล้วก็โยนให้น้องเอซึ่งลักษณะของที่น้องเอได้รับมานั้นเป็น สร้อยลูกประคำแก้วมีหลายสีหลังจากกลับมาบ้านน้องเอรู้สึกว่าตัวเองต้องเอามือจับสร้อยตลอดเวลานอน หลังจากนั้น 2-3 วันน้องเอก็ไปสำนักสงฆ์ปกติ แต่วันนี้พระอาจารย์พาตากับยายน้องเอไปแห่โยนลูกแก้วตามทางโดยเริ่มจากหน้าสำนักสงฆ์เข้าไปยังหมู่บ้านแถบนั้นโดยการโยนลูกแก้วครั้งนี้พระอาจารย์ที่ไปด้วยแกก็จะสวดบทสวดของสำนักไปตลอดทางที่โยนลูกแก้ว เมื่อกลับมาถึงสำนักสงฆ์น้องเอก็กลับไปเล่นกับเพื่อนที่บรรดาตายายพามาตามปกติหลังจากนั้นไม่นานก่อนจะกลับบ้านสวน พระอาจารย์ก็เดินมาเรียกน้องเอ “หล่า  หล่า มาเอาขนม เอาไปแล้วก็กลับบ้านเด้อหล้า”(สำเนียงอีสาน)
หลังจากนั้นน้องเอก็นั่งรถกลับบ้านสวนลักษณะของตัวบ้าน ตั้งอยู่ตรงข้ามกับภูเขาลูกหนึ่งเป็นบ้านเดี่ยวยกสูงมีใต้ถุนบ้านฝั่งซ้ายจะเป็นห้องนอนพ่อแม่ 1 ห้องและห้องน้องเอ 1 ห้องฝั่งขวาเป็นระเบียง บันไดขึ้นบ้านเป็นบันไดสมัยเก่าที่เมื่อทุกคนขึ้นบ้านพ่อก็จะโยกบันไดออกจากตัวบ้านโดยมัดเชือกผูกไว้ เพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรหลังจากน้องเอและพ่อแม่ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยและก็เข้านอนปกติและก็กำสร้อยนอนเหมือนเดิม และในคืนนั้น
(ในมุมของแม่น้องเอ)
แม้น้องเอฝันว่ามีคนมาเขย่าบันไดเขย่าอยู่พักหนึ่งแม่น้องเอเลยลุกขึ้นไปดู แม่น้องเอเล่าว่าในฝันมีเงาดำ(ไม่แน่ใจว่าชาย/หญิง) ยืนอยู่ในถุนบ้านพร้อมเขย่าบันได แม่น้องเอเลยถามเหงาดำนั้นว่า (การสนทนาต่อไปนี้จะเป็นสำเนียงอีสาน)
แม่ : “เป็นไผนิ มาเขย่าบันไดบ้านกูทำไม” 
เงาดำ : “ขอขึ้นไปได้บ่ ขอขึ้นไปบนบ้านได้บ่”(เสียงผู้ชาย)
แม่ : “ขึ้นมาทำไม มากะไผ“(แม่ตอบเสียงเเข็ง)
เงาดำ : “มาคนเดียวขอขึ้นไปแหน่ได้บ่”(น้ำเสียงข้อร้อง)
แม่ : ”เป็นใครก็ไม่รู้จักจะมาขึ้นบ้านคนอื่นได้ไง”
เงาดำ : “กูก็มากับลูกนั้นหละ กูจะขึ้นไป กูอยากขึ้นไปบนบ้าน กูจะขึ้น ให้กูขึ้นไป”(เสียงไม่พอใจ)
แม่ : “เป็นบ้าติ นี้บ้านกูจะขึ้นมาได้ไงมาแต่ไส“
เงาดำ : “กูจะขึ้นไปบ้าน กูมากับลูกนั้นหละ“(น้ำเสียงเเข็ง)
แม่ : ”ไม่ได้ มาทางไหนกลับไปเลยนะ”
เงาดำ : ไม่กลับกูจะขึ้นบ้าน จะขึ้น จะขึ้น จะขึ้น(น้ำเสียงดังกว่าเดิม)
เมื่อเห็นท่าไม่ดีแม่น้องเอ จึงจับมีเคียวเกี่ยวข้าวขึ้นมายกขู่เงาดำนั้น และก็ดูเหมือนจะได้ผล เงาดำนั้นมีท่าทีเหมือนกลัวเคียวเกี่ยวข้าว แต่ที่มันน่าขนลุกกว่านั้นคือในมุมมืดๆใต้ถุนบ้านตามข้างบ้านตามพุ่มต้นไม้มีเงาดำๆอีกมากมายวิ่งกรูกันขึ้นไปทางภูเขาหน้าบ้าน ในฝันแม่ของน้องเอตกใจกลัวอย่างมากจนสะดุ้งตื่นพร้อมทั้งปลุกพ่อและเดินไปปลุกน้องเอพร้อมกับถามน้องเอว่า “ไปเอาอะไรมา? ไปเรียกใครมาบ้านหรือเปล่า?” น้องเอก็ตอบด้วยความ งงๆว่า “เรียกใครอะไรเหรอ” แม่ก็ถามกลับ “ตอนไปที่สำนักสงฆ์ได้หยิบอะไรหรือชวนใครมาบ้านไหม” น้องเอก็นึกขึ้นได้ว่ามีสร้อยประคำลูกแก้วที่พระอาจารย์ให้มา จึงตอคำถามกับแม่ไปว่า “มีสร้อยมี่พระอาจารย์ให้มากับตอนก่อนกลับพระอาจารย์เรียกไปเอาขนมแล้วบอกว่า กลับบ้านเด้ออีหล่า” พอถึงรุ่งเช้าพ่อของน้องเอก็นำสร้อยของน้องเอไปฝังลงดินพร้อมกับไม่ให้น้องไปที่สำนักสงฆ์แห่งนี้อีก
คืนที่ 2 
แม่น้องเอเข้านอนและฝันเหมือนเดิมคือมีเงาดำๆมาเขย่าบันไดบ้านแต่รอบนี้พอเดินออกไปดูแม่เจอว่าเงาดำๆไปเกาะอยู่ที่เสาใต้ถุนบ้านพร้อมกับน้ำเสียงอ้อนว่า 
เงาดำ : “ขอขึ้นไปด้วยนำได้บ่” “ขออยู่ด้วยได้บ่” 
แม่ : “บ่ หนีๆบ้านนี้อยู่ด้วยกัน 3 คนพอแล้ว” 
เงาดำ : กะโดดแบบไม่พอใจไปๆมาๆ แล้วก็หายไป (รอบนี้มา 1 เงา)
หลักจากคืนที่2 คุณแม่น้องเอก็พาน้องเอได้พาน้องไปหาพระที่วัดประจำจังหวัดทางพระท่านก็แนะให้เปลี่ยนชื่อ ตัวน้องเอก็เปลี่ยนชื่อตามคำพระทักพร้อมทั้งย้ายโรงเรียนย้ายจังหวัดที่อยู่และกลับไปเยี่ยมนานทีปีหนเรื่องเลยจางหายไปตามกาลเวลา
อัพเดท : 
1.สำนักสงฆ์ไม่มีอยู่แล้ว
2.คำพูดของพระอาจารย์ที่ว่า กลับบ้านเด้ออีหล่า บอกน้องเอหรือบอกใคร?
3.เรื่องนี้ยังไม่มีบทสรุป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่