สวัสดีค่ะ เค้าอยากชวนคุยเรื่องที่หลายคนน่าจะเคยคิดแต่ยังไม่พูดออกมาดัง ๆ ว่า "มือถือทำให้เราสมาธิสั้นจริงไหม?" เรื่องมันเริ่มจากตัวเค้าเองนี่แหละ เค้ารู้ตัวว่าเวลาตื่นมาสิ่งแรกที่ทำคือคว้ามือถือขึ้นมา เลื่อนดูอะไรเรื่อยเปื่อยทั้งที่เพิ่งลืมตา กินข้าวก็ต้องเปิดดูซีรีย์ ทำงานบ้านก็เปิดเพลง ทำการบ้านก็เปิดคลิปฟังไปด้วยเหมือนกัน คือมือถืออยู่กับเราตลอดเวลาแบบแนบสนิท บางทีมันก็รู้สึกว่าไม่ได้แค่ใช้เพื่อความสะดวกแล้ว แต่มันเริ่มกลายเป็นนิสัย เป็นความเคยชินที่ถอนตัวยาก พอวันไหนไม่ได้จับก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป เค้าเลยเริ่มคิดว่า เอ๊ะ หรือเราจะเป็นคนสมาธิสั้น? แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่ใช่แค่เรานี่ คนอื่นก็เป็น เลยเหมือนพยายามปลอบตัวเองว่า “มันปกติแหละ คนยุคนี้ก็เป็นกันทั้งนั้น” จนมาช่วงที่เค้างานเยอะมาก ทำหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งงานเรียน งานบ้าน เลี้ยงน้อง แล้วก็ไม่มีเวลาจริง ๆ ถึงจะอยากจัดการงานให้ดีแค่ไหน ก็เหมือนจะไม่มีเวลาเหลือพอเลย พอหันกลับไปมองว่าเวลามันหายไปไหนหมดถึงได้รู้ว่า มือถือแอบขโมยเวลาของเราไปทีละนิดตลอดวันนี่แหละ
พอคิดแบบนี้เลยเริ่มถามตัวเองว่า แล้วเราทำอะไรอยู่? ที่เราบอกว่า “ให้เวลา” กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ จริง ๆ แล้วเราจดจ่อกับมันจริงไหม? เพราะถึงจะทำอยู่ แต่ใจก็เหมือนไม่ได้อยู่กับมันเลย มือก็จับรีโมต เปลี่ยนเพลง เปลี่ยนคลิป กดข้ามฉาก เบื่อก็แวะไปติ๊กต๊อก เปิดยูทูป กลายเป็นว่าไม่ได้มีสมาธิกับอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์เลยซักอย่าง สุดท้ายเลยเข้าใจว่า มือถือมันไม่ได้ผิด แต่วิธีที่เราใช้มันต่างหากที่ค่อย ๆ ดึงความสนใจของเราไปเรื่อย ๆ จนสมองชินกับการเปลี่ยนเรื่องเร็ว ๆ พอจะทำอะไรนาน ๆ หรือคิดอะไรลึก ๆ สมองเลยอยู่ไม่สุขเพราะมันเคยชินกับการถูกดึงไปดึงมา
เค้าไม่ได้มาเขียนเพื่อจะบอกให้ใครเลิกใช้มือถือนะคะ เพราะตัวเค้าเองก็ยังใช้ และไม่ได้คิดว่าจะเลิกได้ง่าย ๆ แต่แค่อยากชวนให้สังเกตตัวเองนิดนึงว่า มือถือมันกินเวลาของเรามากไปหรือเปล่า แล้วเราอยากเอาเวลาส่วนนั้นกลับคืนมาไหม ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก แค่เริ่มจากช่วงเวลาสั้น ๆ ที่วางมันลงได้ เช่น ตอนกินข้าว ตอนทำการบ้าน หรือก่อนนอน แล้วค่อย ๆ ขยายเวลาให้ตัวเองได้โฟกัสกับอะไรจริง ๆ จัง ๆ มากขึ้น
ถ้าใครเคยรู้สึกแบบเดียวกันก็มาเล่าได้นะ เค้าว่ามันเป็นเรื่องที่คุยกันได้แบบไม่ต้องอาย เพราะทุกวันนี้มือถือมันแทบจะเป็นอวัยวะเพิ่มมาอีกชิ้นของพวกเราไปแล้วจริง ๆ
โทรศัพท์ทำให้สมาธิสั้นจริงไหม?
พอคิดแบบนี้เลยเริ่มถามตัวเองว่า แล้วเราทำอะไรอยู่? ที่เราบอกว่า “ให้เวลา” กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ จริง ๆ แล้วเราจดจ่อกับมันจริงไหม? เพราะถึงจะทำอยู่ แต่ใจก็เหมือนไม่ได้อยู่กับมันเลย มือก็จับรีโมต เปลี่ยนเพลง เปลี่ยนคลิป กดข้ามฉาก เบื่อก็แวะไปติ๊กต๊อก เปิดยูทูป กลายเป็นว่าไม่ได้มีสมาธิกับอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์เลยซักอย่าง สุดท้ายเลยเข้าใจว่า มือถือมันไม่ได้ผิด แต่วิธีที่เราใช้มันต่างหากที่ค่อย ๆ ดึงความสนใจของเราไปเรื่อย ๆ จนสมองชินกับการเปลี่ยนเรื่องเร็ว ๆ พอจะทำอะไรนาน ๆ หรือคิดอะไรลึก ๆ สมองเลยอยู่ไม่สุขเพราะมันเคยชินกับการถูกดึงไปดึงมา
เค้าไม่ได้มาเขียนเพื่อจะบอกให้ใครเลิกใช้มือถือนะคะ เพราะตัวเค้าเองก็ยังใช้ และไม่ได้คิดว่าจะเลิกได้ง่าย ๆ แต่แค่อยากชวนให้สังเกตตัวเองนิดนึงว่า มือถือมันกินเวลาของเรามากไปหรือเปล่า แล้วเราอยากเอาเวลาส่วนนั้นกลับคืนมาไหม ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก แค่เริ่มจากช่วงเวลาสั้น ๆ ที่วางมันลงได้ เช่น ตอนกินข้าว ตอนทำการบ้าน หรือก่อนนอน แล้วค่อย ๆ ขยายเวลาให้ตัวเองได้โฟกัสกับอะไรจริง ๆ จัง ๆ มากขึ้น
ถ้าใครเคยรู้สึกแบบเดียวกันก็มาเล่าได้นะ เค้าว่ามันเป็นเรื่องที่คุยกันได้แบบไม่ต้องอาย เพราะทุกวันนี้มือถือมันแทบจะเป็นอวัยวะเพิ่มมาอีกชิ้นของพวกเราไปแล้วจริง ๆ