รวบ 2 คอลเซ็นเตอร์แก๊งปอยเปต! อ้างเป็น "ผู้กำกับ" ขู่เหยื่อโอนเงิน เผยเคยหลอกได้สูงสุด 12 ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์ โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ได้แถลงผลการจับกุม 2 ผู้ต้องหาคนสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในคาสิโนเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งเคยก่อเหตุหลอกลวงเหยื่อจนสูญเงินรวมกว่า 300 ล้านบาท
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการขยายผลคดี Hybrid Scam ที่มีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีจนโอนเงินไปถึง 147 ครั้ง รวมกว่า 308 ล้านบาท ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหาบางรายมีความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกกว่า 100 คน และมีชาวจีนเป็นหัวหน้า โดยแก๊งนี้มีวิธีการหลอกลวงหลากหลายรูปแบบ ทั้งการอ้างเป็นหน่วยงานรัฐข่มขู่ให้เหยื่อโอนเงิน หรือหลอกให้รักแล้วชักชวนลงทุน



จับกุม "หัวหน้าสาย 2" และ "หัวหน้าสาย 3" อ้างเป็นผู้กำกับ


ผู้ต้องหาสำคัญ 2 รายที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ คือ:
   1. นายสมศักดิ์ ดาษพินิจ (อายุ 37 ปี): ทำหน้าที่ หัวหน้าสาย 2 โดยอ้างตัวเป็น "ร้อยตำรวจโทพีระ" สังกัด สภ.เมืองมุกดาหาร ถูกจับกุมได้ที่ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
    2. นายวราเมธ สามารถกิจ (อายุ 20 ปี): ทำหน้าที่ หัวหน้าสาย 3 โดยอ้างตัวเป็น "ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรมุกดาหาร" ซึ่งเป็นผู้ "ปิดเกม" สั่งให้เหยื่อโอนเงิน ถูกจับกุมได้ที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
ผู้ต้องหาทั้งสองถูกดำเนินคดีในข้อหา "ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรม, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม, สมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน"


เปิดปากสารภาพ! ถูกบังคับทำงาน เคยหลอกได้ 12 ล้านบาท


จากการสอบสวน นายวราเมธ ผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่สาย 3 ยอมรับว่า ได้รับค่าตอบแทน 25,000 บาทต่อเดือน และค่าคอมมิชชั่น 3.5% หรือหากไม่เอาเงินเดือน จะได้ค่าคอมมิชชั่น 6.5%
นายวราเมธเล่าว่า เดิมทีเคยทำงานแอดมินขายของออนไลน์ในกัมพูชาอย่างถูกกฎหมาย แต่ต่อมาถูกชักชวนให้ไปทำงานที่คาสิโน และเมื่อไปถึงกลับถูกยึดอุปกรณ์สื่อสารและเอกสารประจำตัว ก่อนถูกบังคับให้ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเริ่มต้นจากสาย 1 แต่เนื่องจากพูดไม่ได้ จึงถูกย้ายมาสาย 2 และเลื่อนเป็นสาย 3 ทำหน้าที่แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงเพื่อข่มขู่หลอกเงินเหยื่อ โดยเคยหลอกเหยื่อให้โอนเงินได้มากที่สุดถึง 12 ล้านบาท ซึ่งขณะนั้นได้รับค่าคอมมิชชั่น 3.5%
นายวราเมธยังอ้างว่า ตนเองถูกหลอกและโดนบังคับให้ทำงาน หากไม่ทำจะถูกทำร้ายร่างกาย เนื่องจากเคยเห็นเพื่อนร่วมงานถูกทำร้ายในออฟฟิศของคาสิโนมาแล้ว
ด้านนายสมศักดิ์ ผู้ต้องหาสาย 2 ก็ให้การยอมรับว่าถูกหลอกให้ไปทำงานและโดนบังคับเช่นกัน ก่อนจะหลบหนีออกจากคาสิโน และถูกตำรวจกัมพูชาจับกุมตัวได้ ติดคุก 14 วัน ก่อนถูกส่งกลับประเทศไทย


ตำรวจเร่งขยายผลตามล่าผู้ร่วมขบวนการที่เหลือ


พล.ต.ท.ไตรรงค์ เผยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้มีการแบ่งหน้าที่ออกเป็น 4 ส่วนหลัก คือ สาย 1 (ติดต่อและหลอกลวงตามบท), สาย 2 (สนทนาต่อเพื่อสร้างความมั่นใจ), สาย 3 (ปิดเกม สั่งให้โอนเงิน โดยอ้างเป็นหัวหน้าระดับสูง) และสายสนับสนุน (ทำเอกสารปลอม, จัดหาซิมผี, บัญชีม้า) ซึ่งตำรวจไซเบอร์ได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องในขบวนการนี้รวม 44 ราย และสามารถจับกุมได้แล้วบางส่วน
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ทำให้ทราบว่าอาจมีกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างไทย-กัมพูชา จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ต้องหาที่เหลือเข้ามามอบตัว
ขณะนี้ตำรวจไซเบอร์ยังคงเร่งสืบสวนขยายผล และติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้องที่เหลือในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ เพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ที่มา https://www.thairath.co.th/news/crime/2868689
ที่มา https://thestandard.co/border-crisis-forces-call-center-scammers-to-flee/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่