เราแค่มาเล่าเชิงระบายหน่อยๆ รุ่นน้องที่เราพูดถึงคนนี้ เขาเพิ่งเรียนจบได้ประมาณ 2-3 ปี และเรียนจบด้านบัญชี เขามาทำงานกับเราได้ 3 เดือน แล้วลาออก เขาบอกเราว่าได้งานใหม่ที่บริษัท Startup สัญชาติไต้หวัน เพิ่งก่อตั้งได้ประมาณ 2 ปี อยู่ในสมุทรปราการ เขาเข้าไปทำงานบัญชี อยู่ในระดับซีเนียร์ เงินเดือนสูงกว่าเราประมาณ 7K ได้ แถมที่ทำงานใหม่เขายังมีสวัสดิการหอพักฟรี และอาหารฟรี 2 มื้อด้วย
เราฟังแล้วอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ เพราะเราทำงานมาเป็น 10 ปีแล้วยังได้เงินเดือนไม่สูงเท่าเขา และเราก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องเช่าหอพักอยู่ด้วย ที่ทำงานเราไม่มีสวัสดิการหอพักฟรีหรืออาหารฟรีแบบของรุ่นน้อง แต่เราก็พยายามจะเข้าใจว่าที่ทำงานของเราเป็นหน่วยงานรัฐ (รพ.รัฐใน กทม.ที่บอกชื่อไปแล้วใครๆก็รู้จัก) ก่อตั้งมานานนับร้อยกว่าปี มีความมั่นคง เงินเดือนจึงไม่สูงเท่าบริษัทต่างชาติที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ส่วนสวัสดิการของเราก็ไม่ได้ดีเลิศอะไร มี ปกส., PVD, สหกรณ์ออมทรัพย์, วงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อปี, ส่วนลดบุคลากรเวลาซื้อของในร้านค้าที่อยู่บริเวณ รพ. , ถ้าคนมีลูกก็ได้ทุนค่าเล่าเรียนบุตรด้วย ประมาณนี้ สำหรับเราถือว่าไม่ได้ดีเลิศอะไร เพราะเราไม่มีลูก และสวัสดิการหลายอย่างเราไม่ได้ใช้ เราต้องทำผลงานชำนาญการก่อนถึงจะได้อัพเงินเดือนสูงเท่าเงินเดือนสตาร์ทของรุ่นน้องคนนี้ แต่เราชอบระบบโครงสร้างเงินเดือนของหน่วยงานรัฐนะ เพราะเงินเดือนมันชัดเจนและสตาร์ทให้ทุกคนเท่ากัน ไม่ต้องขึ้นกับการต่อรองใดๆของผู้สมัคร
ถึงเราจะรู้สึกอิจฉารุ่นน้องเรื่องเงินเดือน แต่ถามว่าเราจะย้ายไปทำงานที่เดียวกับเขาไหม ก็คงไม่ เพราะเรารู้ว่าสภาพเส้นทาง ทำเล ในบริเวณที่ทำงานรุ่นน้อง มันค่อนข้างลำบากสำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว รถสาธารณะก็ไม่ค่อยผ่าน (บริษัทรุ่นน้องจึงมีสวัสดิการหอพักฟรี) เป็นเหมือนบริเวณนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งคนรักอิสระแต่ไม่มีรถส่วนตัวแบบเราไปอยู่แบบนั้นไม่ได้แน่ๆ คงรู้สึกเหมือนถูกกักขัง (เราเคยไปสัมภาษณ์งานบริเวณแถวๆนั้นอยู่เหมือนกัน) เราชอบสภาพแวดล้อมใน รพ.ที่เราทำงานมากกว่า มันอยู่ในเมือง กว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้เห็นคนเยอะๆ เห็นหมอหล่อๆ พยาบาลสวยๆ วันไหนป่วยก็ไปหาหมอได้ง่ายๆ และก็มีวันหยุดเยอะเท่าราชการ คือทั้งที่ทำงานเราและรุ่นน้องต่างก็มีข้อดีและข้อเสียคนละแบบ
อีกอย่างมันคงเป็นช่วงจังหวะดีๆในชีวิตของรุ่นน้องคนนี้ ที่ได้งานใหม่ด้วยเงินเดือนสูงขนาดนี้ ตอนนี้ยังมีคนตกงานอีกมากมาย และน้องแท้ๆของเราเองก็เรียนจบบัญชี เคยไปทำงานในบริษัท Startup เหมือนกันแต่เงินเดือนน้อยกว่ารุ่นน้องคนนี้ตั้ง 2 เท่า มีสวัสดิการอาหารฟรีเหมือนกัน ตอนนี้ลาออกมาอยู่บริษัทเอกชนที่มั่นคงพอสมควรแล้ว แต่เงินเดือนก็ยังไม่สูงเท่ารุ่นน้องที่เราพูดถึง
แค่มาเล่าสู่กันฟังเฉยๆ ไม่ได้ดราม่านะ
รุ่นน้องที่ทำงานได้งานใหม่ เงินเดือนมากกว่าเรา เราแอบรู้สึกอิจฉานิดหน่อย
เราฟังแล้วอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ เพราะเราทำงานมาเป็น 10 ปีแล้วยังได้เงินเดือนไม่สูงเท่าเขา และเราก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องเช่าหอพักอยู่ด้วย ที่ทำงานเราไม่มีสวัสดิการหอพักฟรีหรืออาหารฟรีแบบของรุ่นน้อง แต่เราก็พยายามจะเข้าใจว่าที่ทำงานของเราเป็นหน่วยงานรัฐ (รพ.รัฐใน กทม.ที่บอกชื่อไปแล้วใครๆก็รู้จัก) ก่อตั้งมานานนับร้อยกว่าปี มีความมั่นคง เงินเดือนจึงไม่สูงเท่าบริษัทต่างชาติที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ส่วนสวัสดิการของเราก็ไม่ได้ดีเลิศอะไร มี ปกส., PVD, สหกรณ์ออมทรัพย์, วงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อปี, ส่วนลดบุคลากรเวลาซื้อของในร้านค้าที่อยู่บริเวณ รพ. , ถ้าคนมีลูกก็ได้ทุนค่าเล่าเรียนบุตรด้วย ประมาณนี้ สำหรับเราถือว่าไม่ได้ดีเลิศอะไร เพราะเราไม่มีลูก และสวัสดิการหลายอย่างเราไม่ได้ใช้ เราต้องทำผลงานชำนาญการก่อนถึงจะได้อัพเงินเดือนสูงเท่าเงินเดือนสตาร์ทของรุ่นน้องคนนี้ แต่เราชอบระบบโครงสร้างเงินเดือนของหน่วยงานรัฐนะ เพราะเงินเดือนมันชัดเจนและสตาร์ทให้ทุกคนเท่ากัน ไม่ต้องขึ้นกับการต่อรองใดๆของผู้สมัคร
ถึงเราจะรู้สึกอิจฉารุ่นน้องเรื่องเงินเดือน แต่ถามว่าเราจะย้ายไปทำงานที่เดียวกับเขาไหม ก็คงไม่ เพราะเรารู้ว่าสภาพเส้นทาง ทำเล ในบริเวณที่ทำงานรุ่นน้อง มันค่อนข้างลำบากสำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว รถสาธารณะก็ไม่ค่อยผ่าน (บริษัทรุ่นน้องจึงมีสวัสดิการหอพักฟรี) เป็นเหมือนบริเวณนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งคนรักอิสระแต่ไม่มีรถส่วนตัวแบบเราไปอยู่แบบนั้นไม่ได้แน่ๆ คงรู้สึกเหมือนถูกกักขัง (เราเคยไปสัมภาษณ์งานบริเวณแถวๆนั้นอยู่เหมือนกัน) เราชอบสภาพแวดล้อมใน รพ.ที่เราทำงานมากกว่า มันอยู่ในเมือง กว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้เห็นคนเยอะๆ เห็นหมอหล่อๆ พยาบาลสวยๆ วันไหนป่วยก็ไปหาหมอได้ง่ายๆ และก็มีวันหยุดเยอะเท่าราชการ คือทั้งที่ทำงานเราและรุ่นน้องต่างก็มีข้อดีและข้อเสียคนละแบบ
อีกอย่างมันคงเป็นช่วงจังหวะดีๆในชีวิตของรุ่นน้องคนนี้ ที่ได้งานใหม่ด้วยเงินเดือนสูงขนาดนี้ ตอนนี้ยังมีคนตกงานอีกมากมาย และน้องแท้ๆของเราเองก็เรียนจบบัญชี เคยไปทำงานในบริษัท Startup เหมือนกันแต่เงินเดือนน้อยกว่ารุ่นน้องคนนี้ตั้ง 2 เท่า มีสวัสดิการอาหารฟรีเหมือนกัน ตอนนี้ลาออกมาอยู่บริษัทเอกชนที่มั่นคงพอสมควรแล้ว แต่เงินเดือนก็ยังไม่สูงเท่ารุ่นน้องที่เราพูดถึง
แค่มาเล่าสู่กันฟังเฉยๆ ไม่ได้ดราม่านะ