อธิบาย(พุทธ)ศาสตร์ของหลวงปู่ดู่ที่หลวงตาม้าถ่ายทอดตามความเข้าใจ

ศาสตร์ของหลวงปู่ดู่ไม่ยากแต่ลึกซึ้งเลยไม่ง่ายเหมือนกัน

การอยู่กับบทสวดจักรพรรดิกับคลื่นของพุทธมนต์คลื่นของไตรสรณคมน์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ในหนึ่งวันมีอานิสงส์มากเพราะอย่างแรกคือเป็นการปิดช่องทางการทำบาปกรรมใหม่เพราะเมื่อเราอยู่กับบทสวด เราไม่สามารถประพฤติอกุศลกรรมบถบางประการได้ กายทุจริตหรือกายกรรมไม่มีเพราะนั่งสวดอยู่ วจีทุจริตหรือวจีกรรมไม่มีเพราะปากสวดมนต์หรือปิดวาจาอยู่ อาจมีมโนกรรมมโนทุจริตอยู่บ้างเพราะอาจมีความคิดไม่ดีเล็กน้อยผุดขึ้นมาเวลาสวดแต่มีก็น้อยกว่าเวลาปกติ

อย่างที่สองเป็นการหยุดหรือเบรกวาระของกรรมเก่าที่ไม่ดีเพราะในศาสตร์ของหลวงปู่เราใช้อายตนะภายในรับรู้อายตนะภายนอกที่เป็นรูปธรรมของพระโพธิสัตว์จักรพรรดิและหลวงปู่เพื่อให้จิตของเราอยู่กับพระ อยู่กับธรรม อยู่กับนามธรรมของพระ ท่านไม่ให้อยู่กับโลกมาก ถ้าเผลอเมื่อไหร่ให้รีบกลับมาอยู่กับพระ เพราะกรรมเก่ามันมักจะเล่นเราตอนเราเผลอ ท่านบอกว่าเราต้องอยู่กับรูปลักษณ์ของพระเพราะมันสว่าง หลวงตาม้าจะย้ำว่าคนที่เวียนว่ายตายเกิดจนมาเกิดเป็นพระเป็นผู้มีบุญมากสะสมบุญมามาก พระไม่ได้เป็นปุถุชนเหมือนเราหรือพ่อแม่เรา

โดยเราอาจอยู่กับพระโดยการกำพระหรือนับลูกประคำซึ่งเป็นการใช้กายเรารับรู้โผฏฐัพพะก็คือสัมผัสที่ทำให้จิตใจเราระลึกถึงพระอยู่เนืองๆ
หรือเราอาจอยู่กับพระโดยการใช้ตามองรูปลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับโพธิสัตว์หลวงปู่หรือจักรพรรดิ
หูเราก็อยู่กับเสียงที่ทำให้จิตใจเราอยู่กับพระไม่ว่าจะเป็นเสียงจากเทปบทสวดหรือเสียงสวดเราเอง
อันนี้อาจถือเป็นอนุสติหรือไม่เพราะหากเราปฏิบัติตามนี้เราก็ปฏิบัติพุทธานุสสติกรรมฐานเพราะเราอยู่กับพระเครื่อง เราปฏิบัติสังฆานุสสติกรรมฐานเพราะเราระลึกถึงภาพหลวงปู่และเราปฏิบัติเทวตานุสสติกรรมฐานเพราะอยู่กับคลื่นจักรพรรดิ

นอกจากนี้หลวงตาม้ายังกล่าวเสมอว่าหลวงปู่ท่านสอนว่าเอ็งอย่าไปว่าใคร การไม่ว่าใครถือว่าเป็นการตัดวจีกรรมทางชั่วบางส่วนเพราะเป็นการตัดปิสุณาวาจา (คำพูดทำให้คนแตกกัน) และตัดผรุสวาจา (คำพูดหยาบ คำพูดส่อเสียด) อย่าลืมว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้แต่เราเปลี่ยนตัวเองให้คนอื่นเห็นได้

การงดว่างดด่าคนยังระงับโทสะซึ่งเป็นหนึ่งในอกุศลมูล แน่นอนว่าคนที่ตักเตือนผู้อื่นย่อมมีเจตนาดี แต่ในขณะจิตของการเริ่มตำหนิซึ่งตามมาหลังเจตนาก็ถือเป็นอกุศลหรือไม่? ซึ่งเจตสิกที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับโทสะก็คือเมตตาและเมตตาก็เป็นหนึ่งใน 4 เครื่องอยู่ของพรหมซึ่งก็คือพรหมวิหาร 4 อย่าลืมว่าฉายาของหลวงปู่คือพรหมปัญโญหรือผู้มีปัญญาเยี่ยงพรหม

หลวงตาจะเน้นว่าเราต้องเข้าถึงจิตที่เบา ให้ชินกับจิตที่เบา ให้อารมณ์ดีให้รักษาอารมณ์ที่ดีและให้คุ้นชินกับอารมณ์ที่ดี อย่าไปคิดลบและอย่าไปอารมณ์เสียเพราะมันเป็นสายใยของกรรมไม่ดี และการที่เราคบกับอารมณ์ดีคือเรารักตนเอง เราเมตตาตนเอง เวลาอารมณ์เสียกรรมไม่ดีมันเข้า มันเข้าทันทีเพราะ ใจ (1 ใน 6 อายตนะภายในของเรา) ได้เข้าไปรับรู้อารมณ์หรือธรรมารมณ์ที่ไม่ดี โทมนัสก็คือเวลาใจเรารับรู้อารมณ์ที่ไม่ดีเป็นหนึ่งในทุกขสัจ 11
บุญมันเข้าไม่ได้ และกรรมไม่ดีมันไม่ได้มาแค่อารมณ์ทางใจมันจะมาเป็นแพ็กเกจ
มาเป็นสายใยซึ่งจะทำให้กรรมไม่ดีหรือสิ่งไม่เป็นที่รักมากระทบประจบกับเราทางอายตนะภายในอื่นๆที่เหลือของเราอันได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ซึ่งก็อาจจะนำพาให้เราทำสิ่งที่ไม่ดีเพิ่มขึ้นอีกหากเรากำลังสติอ่อน ไม่อดทนต่อวิบากกรรมที่ไม่ดีเหล่านั้นแล้วทำความดีต่อไปเพราะเรามีกิเลสเยอะ หรือเรายังอยู่ภายใต้คลื่นที่ไม่ดี  (วาระของกรรมไม่ดีก็คือเวลาที่สิ่งไม่ดีมากระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรา)

แต่ศาสตร์ของหลวงปู่คือการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ต้องรอให้วิบากกรรมที่ไม่ดีมาถึงตัวเราให้เราปรับคลื่นของเรารับแต่อารมณ์ที่ดีสิ่งที่ดีตอนอยู่มันก็มีแต่สิ่งดีๆ ตอนออกจากร่างก็ออกด้วยอารมณ์ที่ดีออกง่ายไม่ทุรนทุราย  นอกซะจากว่าเรามีกรรมไม่ดีเก่าๆมากจริงๆจนมันตามให้ผลแก่เราจนได้ซึ่งหากเราอยู่ใกล้หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคลื่นที่ไม่ดี คลื่นที่ไม่ดีหลวงตาก็สอนว่าเราต้องเป็นผู้หนี ในโลกนี้มีผู้นำ ผู้ตาม ผู้หนีและหลวงตาก็ได้ตระเตรียมที่หลบหนีไว้ให้แล้วซึ่งก็คือสถานปฏิบัติธรรมพุทธพรหมปัญโญที่มีปัจจัย 4 ครบ ทุกคนสามารถมา กิน นอน สวดมนต์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หากเราหนีแล้วมันยากที่กรรมไม่ดีจะเข้าถ้าเราตั้งใจปฏิบัติจริงๆ

นอกจากนี้อารมณ์ดียังมีประโยชน์ในการฟอกธาตุคือแก่ช้า โรคน้อย อายุยืน  เป็นโรคก็รักษาหายไวและขอเพิ่มเองตายไวคือตายแบบไม่ทุรนทุราย

นอกจากนี้หลวงตาก็ได้สอนให้เกาะพระโพธิสัตว์เพราะท่านมีทั้งโลกกับธรรม พระโพธิสัตว์มีบารมีมาก มีความเป็นใหญ่หากเราเป็นบริวารท่านมีหรือที่เราจะไม่ได้ดีตาม แล้วการนึกถึงท่านจะทำให้เรานึกถึงเรื่องทางโลกออกด้วยเพราะพระโพธิสัตว์ท่านผ่านมาหมดแล้วมีทั้งโลกทั้งธรรม หลวงตาท่านว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ต้องเรียนกับพระโพธิสัตว์จริงๆ อย่าลืมว่าหนทางหลุดพ้นไม่ได้มีแค่อริยบุคคล 4 จำพวก แต่ยังมีผู้ที่ประสงค์เป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าและสิ่งที่เรียกว่าหน่อพุทธภูมิซึ่งการจะไปถึงจุดหมายเหล่านั้นต้องสั่งสมบุญบารมีมาก
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

หลวงตาสอนให้หาพวกไว้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวิญญาณเพราะเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่และเราเกิดคนเดียวไม่ได้แล้วสอนว่าหลวงปู่ท่านสอนให้เวียนบนไม่ใช่เวียนล่างหากยังจะต้องเกิดอยู่และสอนให้ทำตัวให้เป็นประโยชน์เพราะการทำประโยชน์จะทำให้เราหาพวกได้มากและมีสิ่งดีๆเข้ามา

หลวงตายังได้จำแนกทุกข์ 2 ประเภทคือทุกข์ที่ทำเองกับทุกข์จริงๆก็คือทุกข์กาย
ทุกข์ที่ทำเองคือการที่เราไม่พอใจในเรื่องราวชีวิตประจำวันกับทุกข์จริงๆคือตอนป่วย ตอนจะตายคือตอนที่เราโดนธาตุขันธ์บีบให้ออกแต่เราไม่อยากออก
แล้วเมื่อออกไปแล้วก็เปลี่ยนความรู้สึกไม่ได้มีแค่สุขกับทุกข์ 0 กับ 1

ทุกข์กายคือร่างกายมันเสวยสัมผัสที่เป็นทุกข์ทั้งกาย ถ้าไม่เคยฝึกใจมันก็ทุกข์ใจด้วย ใจมันปราถนาไม่อยากออกจากร่างมันก็ต้องออกจากร่าง ใจมันไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รักมันก็พรากเมื่อออก แล้วคนที่เคยชินกับอารมณ์ไม่ดีอารมณ์เหล่านั้นมันก็จะมาให้รับรู้ตอนถูกธาตุขันธ์บีบอีก

หลวงตายังสอนเคล็ดลับการได้บุญง่ายๆโดยการโมทนาก็เป็นสิ่งที่หลวงตาสอนอยู่เสมอเพราะโมทนาก็คือการยินดีและการยินดีก็เป็นมุทิตาซึ่งก็เป็น 1 ในพรหมวิหารทั้ง 4 และการให้ทานด้วยรอยยิ้ม
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่