นี่ก็มึนเหมือนกัน อยู่ๆ GDP ก็ปรับขึ้นกะทันหัน
https://www.facebook.com/share/p/14GEon3UsHf/?mibextid=wwXIfr

.
กกร. ไม่เห็นด้วย ธปท. ปรับประมาณการเศรษฐกิจโต 2.3% ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยหนุนการเติบโต ครึ่งปีหลังยังมีหลายปัจจัยรุมเร้า
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พร้อมด้วยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมร่วมกันว่า แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะได้ปรับประมาณการทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยจะขยายตัวได้ถึง 2.3% ซึ่งดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม และยังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของหลายอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม กกร. ไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของ ธปท. ดังกล่าว เนื่องจากยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามที่ ธปท. ประเมินไว้
กกร. ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนแรงลง และคาดว่า GDP ทั้งปี 2568 จะขยายตัวในระดับต่ำเพียง 1.5-2.0% โดยการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 2.0% หากอัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง แต่หากถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรา Reciprocal Tariff ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจลดลงมาอยู่ที่ระดับใกล้เคียง 1.5%
นอกจากนี้ กกร. ยังประเมินว่าการส่งออกของไทยทั้งปีจะขยายตัวใกล้เคียง 0% หรืออยู่ในช่วง -0.5% ถึง 0.3% และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.5-1%
ทั้งนี้ กกร. มองว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 โดยเฉพาะผลกระทบจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า รวมถึงประเด็นการเก็บภาษีที่อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยหดตัวอย่างรุนแรง กกร. เตรียมเข้าพบหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและกำหนดทิศทางเศรษฐกิจร่วมกัน
ทั้งนี้ กกร. จะมีการดำเนินการเชิงรุกที่จะเร่งเข้าพบ ธปท. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเข้าใจร่วมกัน ถึงแนวทางในการมองเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วน และให้มีการปรับจูนมุมมองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
รวมทั้งเสนอแนวทางมาตรการสำคัญๆ ในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสและ สร้างความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) กลับคืนมา โดยเน้นเรื่องหลักนิติธรรม (Rule of Law) และการดูแลปกป้องภาคการผลิตและบริการภายในประเทศ
“ใครๆก็มึน” เอกชน มึน แบงก์ชาติ ปรับเพิ่ม GDP โต 2.3% ชี้ เศรษฐกิจไทย ไร้ปัจจัยหนุน
https://www.facebook.com/share/p/14GEon3UsHf/?mibextid=wwXIfr
.
กกร. ไม่เห็นด้วย ธปท. ปรับประมาณการเศรษฐกิจโต 2.3% ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยหนุนการเติบโต ครึ่งปีหลังยังมีหลายปัจจัยรุมเร้า
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พร้อมด้วยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมร่วมกันว่า แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะได้ปรับประมาณการทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยจะขยายตัวได้ถึง 2.3% ซึ่งดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม และยังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของหลายอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม กกร. ไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของ ธปท. ดังกล่าว เนื่องจากยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามที่ ธปท. ประเมินไว้
กกร. ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนแรงลง และคาดว่า GDP ทั้งปี 2568 จะขยายตัวในระดับต่ำเพียง 1.5-2.0% โดยการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 2.0% หากอัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง แต่หากถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรา Reciprocal Tariff ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจลดลงมาอยู่ที่ระดับใกล้เคียง 1.5%
นอกจากนี้ กกร. ยังประเมินว่าการส่งออกของไทยทั้งปีจะขยายตัวใกล้เคียง 0% หรืออยู่ในช่วง -0.5% ถึง 0.3% และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.5-1%
ทั้งนี้ กกร. มองว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 โดยเฉพาะผลกระทบจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า รวมถึงประเด็นการเก็บภาษีที่อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยหดตัวอย่างรุนแรง กกร. เตรียมเข้าพบหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและกำหนดทิศทางเศรษฐกิจร่วมกัน
ทั้งนี้ กกร. จะมีการดำเนินการเชิงรุกที่จะเร่งเข้าพบ ธปท. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเข้าใจร่วมกัน ถึงแนวทางในการมองเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วน และให้มีการปรับจูนมุมมองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
รวมทั้งเสนอแนวทางมาตรการสำคัญๆ ในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสและ สร้างความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) กลับคืนมา โดยเน้นเรื่องหลักนิติธรรม (Rule of Law) และการดูแลปกป้องภาคการผลิตและบริการภายในประเทศ