เราเคยทำงานอยู่ที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีคนงานต่างด้าวประมาณ 10-20 คน และพนักงานคนไทยอีก 2 คน คือคนขับรถหกล้อ และคนขับรถแมคโคร
เราทำงานที่นี่เกือบ 2 ปี เงินเดือนไม่ถึงหมื่น แต่ที่เลือกทำเพราะบริษัทอยู่ใกล้บ้าน ขับรถไม่ถึง 5 นาที
ก่อนที่เราจะเข้ามา บริษัทมีพนักงานธุรการ 2 คน ซึ่งต้องออกไปดูหน้างานด้วย เช็คงานลูกน้อง ตรวจของใช้ในแต่ละวัน และดูแลเรื่องจิปาถะทั้งหมด รวมถึงมีโฟร์แมน 1 คน และวิศวกร 1 คน
ตอนเริ่มงาน เราตกลงกันไว้ว่าเราจะดูแลสินค้า ตรวจสต๊อก และจัดเตรียมวัสดุให้แต่ละหน้างาน แต่พอทำงานจริง กลับต้องรับผิดชอบทั้งสต๊อก เบิกของ ตรวจของจากผู้ค้า ออกไปดูหน้างาน และดูแลค่าใช้จ่ายของแต่ละหน้างานด้วย ซึ่งเป็นงานที่เดิมทีพี่ธุรการอีกคนดูแล
หลังจากทำงานได้ประมาณ 3-4 เดือน พี่ธุรการคนแรกก็ลาออก เพราะหัวหน้าหรือเจ้าของบริษัท บอกว่าเขามาสายเกินตกลงไว้ (แม้ก่อนหน้านั้นจะอนุโลมให้เข้า 08:30 น.) และหัวหน้าก็ผลักงานทั้งหมดมาให้เราทำ ส่วนพี่ธุรการอีกคนก็ดูแลแค่เงินเดือนแรงงานต่างด้าว เอกสารราชการบางส่วน และขับรถรับส่งคนงานบ้าง แต่สุดท้ายงานส่วนใหญ่ก็ไหลมาที่เรา เพราะหัวหน้ามักสั่งงานผ่านเราคนเดียว แม้งานนั้นจะไม่ใช่หน้าที่เราโดยตรง เราก็ต้องทำเพราะไม่กล้าปฏิเสธ
หน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบต่อมามีมากมาย เช่น:
- ดูแลสต๊อกสินค้า
- จัดเตรียมวัสดุแต่ละหน้างาน
- ตรวจของที่ช่างเบิก
- จัดซื้อของ
- ดูแลค่าใช้จ่ายของแต่ละหน้างาน
- ตรวจการทำงานของคนขับรถแมคโครและรถหกล้อ
- ดูแลเอกสารแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย (มีเอเจนซี่ดำเนินการในบางขั้นตอน)
- รับส่งเอกสารกับหน่วยงานราชการ (เพราะบริษัทรับงานจากรัฐ)
- ดูแลค่าน้ำ-ค่าไฟของหน้างานและบริษัท
- ดูแลค่าอินเทอร์เน็ตบริษัท
งานส่วนใหญ่นี้เราเป็นคนรับผิดชอบ มีบางครั้งที่งานมาพร้อมกันหลายๆงาน พี่อีกคนก็จะมาช่วยบาง แต่ส่วนใหญก็ไม่ค่อยอยู่ช่วยเพราะหัวหน้าให้ไปดูหน้างาน และขับรถไปซื้อของไปส่งแต่ละหน้างาน
ตอนแรกตกลงว่าเข้างานเวลา 08:00 น. แต่พอทำจริง กลับถูกบอกให้มา 07:30 น. เพราะคนงานมาเบิกของช่วงนั้น แต่ยังเลิกงาน 17:00 น. เหมือนเดิม ไม่มีค่าล่วงเวลา
หัวหน้ายังให้เราดูแลเงินสดรายวัน โดยจะโอนมาให้ตามยอดที่ต้องใช้ เช่น ค่าของ ค่าน้ำดื่มลูกน้อง ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอินเทอร์เน็ต ฯลฯ บางครั้งเราต้องควักเงินตัวเองจ่ายไปก่อน บางยอดเป็นพันบาท กว่าจะเบิกคืนได้ก็ลำบาก
ช่วงปีสุดท้ายก่อนจะลาออก งานเริ่มน้อยลง รายรับของบริษัทลดลง แต่ค่าใช้จ่ายยังเท่าเดิม หัวหน้าเลยพยายามลดค่าใช้จ่ายโดยการให้พนักงานปิดแอร์ ใช้พัดลมแทน อ้างว่าเพราะเราเปิดแอร์ทั้งวัน ค่าไฟเลยสูง หรือลดค่าแรงลูกน้อง โดยให้เบิกเงินได้แค่ 10 วัน จากเดิมที่เคยเบิกทุก 15 วัน และทบยอดไปเรื่อยๆ บอกว่าเงินไม่พอจ่าย
เงินเดือนก็เริ่มจ่ายช้า จากเดิมที่ควรจะได้สิ้นเดือน กลายเป็นล่าช้าไป 3-5 วันเกือบทุกเดือน ซึ่งเราก็มีภาระค่าใช้จ่าย ไม่ใช่แค่บริษัทที่มีปัญหา
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของเรา แต่ต้องแบกรับไว้ เช่น:
หัวหน้าค้างค่างวดรถที่ใช้สำหรับทำงานหลายเดือน บริษัทไฟแนนซ์โทรตามแต่หัวหน้าไม่รับสายหรือหลีกเลี่ยงการพูดคุย จนเจ้าหน้าที่ต้องตามมาถึงหน้าบริษัท และให้เราเป็นคนออกมารับหน้าแทน ทั้งที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย รถแต่ละคันก็ไม่ได้ซื้อในชื่อบริษัท แต่เป็นชื่อบุคคล เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาแล้ว 2–3 ครั้ง ทำให้เรารู้สึกอึดอัดและกดดันอย่างมาก
ยังมีปัญหาจิปาถะที่เราต้องตามจัดการเอง เช่น ค่าน้ำมันรถของพนักงาน คนขับรถแมคโคร และคนขับรถหกล้อ ที่ปั๊มน้ำมันรอให้เราไปชำระทุกวัน ค่าไฟของแคมป์คนงานหรือของบริษัทที่จ่ายล่าช้าจนถูกตัดหม้อแปลงไฟฟ้า เราก็ต้องรีบขับรถออกไปชำระ และประสานงานให้ติดตั้งหม้อแปลงกลับคืน
พนักงานออฟฟิศทยอยลาออกกันหมด เหลือเราเพียงคนเดียวที่ต้องทำทุกอย่างในบริษัท ทั้งที่ได้เงินเดือนไม่ถึงหมื่นตลอด 2 ปี เราอยู่ต่อเพราะไม่อยากทิ้งคนงานและลูกน้อง แต่เคยคุยกับหัวหน้าแล้วว่าอยากให้จ้างคนเพิ่ม เพราะเราทำคนเดียวไม่ไหว แต่หัวหน้าก็ไม่สนใจ อ้างว่าไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่าย และไม่เคยขึ้นเงินเดือนให้เราเลย
เราอดทนต่อไปอีกประมาณ 2 เดือน แล้วก็ตัดสินใจลาออกในที่สุด
เราลาออกมาสักพักใหญ่แล้วคิดว่าควรแชร์ประสบการณืนี้ให้หลายคนทราบ เพราะบางครั้งเราก็โดนเอาเปรียบด้วยคำว่า ช่วยๆกัน ช่วยจนกลายเป็นหน้าที่ ซึ่งถามเราก็ช่วยได้นะ แต่นี่มันมากเกินไป คุณไม่อยากเสียเงินจ้างพนักงานใหม่และคิดว่าที่มีอยู่เเค่นี้มันก็ทำงานได้ และเรื่องบางเรื่องมันไช่หน้าที่ที่เราจะมารับผิดชอบแทนเขาด้วย
เพื่อนๆละ คิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง??
แชร์ประสบการณ์ทำงาน จากความอดทน สู่การลาออก (ยาวมาก)
เราทำงานที่นี่เกือบ 2 ปี เงินเดือนไม่ถึงหมื่น แต่ที่เลือกทำเพราะบริษัทอยู่ใกล้บ้าน ขับรถไม่ถึง 5 นาที
ก่อนที่เราจะเข้ามา บริษัทมีพนักงานธุรการ 2 คน ซึ่งต้องออกไปดูหน้างานด้วย เช็คงานลูกน้อง ตรวจของใช้ในแต่ละวัน และดูแลเรื่องจิปาถะทั้งหมด รวมถึงมีโฟร์แมน 1 คน และวิศวกร 1 คน
ตอนเริ่มงาน เราตกลงกันไว้ว่าเราจะดูแลสินค้า ตรวจสต๊อก และจัดเตรียมวัสดุให้แต่ละหน้างาน แต่พอทำงานจริง กลับต้องรับผิดชอบทั้งสต๊อก เบิกของ ตรวจของจากผู้ค้า ออกไปดูหน้างาน และดูแลค่าใช้จ่ายของแต่ละหน้างานด้วย ซึ่งเป็นงานที่เดิมทีพี่ธุรการอีกคนดูแล
หลังจากทำงานได้ประมาณ 3-4 เดือน พี่ธุรการคนแรกก็ลาออก เพราะหัวหน้าหรือเจ้าของบริษัท บอกว่าเขามาสายเกินตกลงไว้ (แม้ก่อนหน้านั้นจะอนุโลมให้เข้า 08:30 น.) และหัวหน้าก็ผลักงานทั้งหมดมาให้เราทำ ส่วนพี่ธุรการอีกคนก็ดูแลแค่เงินเดือนแรงงานต่างด้าว เอกสารราชการบางส่วน และขับรถรับส่งคนงานบ้าง แต่สุดท้ายงานส่วนใหญ่ก็ไหลมาที่เรา เพราะหัวหน้ามักสั่งงานผ่านเราคนเดียว แม้งานนั้นจะไม่ใช่หน้าที่เราโดยตรง เราก็ต้องทำเพราะไม่กล้าปฏิเสธ
หน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบต่อมามีมากมาย เช่น:
- ดูแลสต๊อกสินค้า
- จัดเตรียมวัสดุแต่ละหน้างาน
- ตรวจของที่ช่างเบิก
- จัดซื้อของ
- ดูแลค่าใช้จ่ายของแต่ละหน้างาน
- ตรวจการทำงานของคนขับรถแมคโครและรถหกล้อ
- ดูแลเอกสารแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย (มีเอเจนซี่ดำเนินการในบางขั้นตอน)
- รับส่งเอกสารกับหน่วยงานราชการ (เพราะบริษัทรับงานจากรัฐ)
- ดูแลค่าน้ำ-ค่าไฟของหน้างานและบริษัท
- ดูแลค่าอินเทอร์เน็ตบริษัท
งานส่วนใหญ่นี้เราเป็นคนรับผิดชอบ มีบางครั้งที่งานมาพร้อมกันหลายๆงาน พี่อีกคนก็จะมาช่วยบาง แต่ส่วนใหญก็ไม่ค่อยอยู่ช่วยเพราะหัวหน้าให้ไปดูหน้างาน และขับรถไปซื้อของไปส่งแต่ละหน้างาน
ตอนแรกตกลงว่าเข้างานเวลา 08:00 น. แต่พอทำจริง กลับถูกบอกให้มา 07:30 น. เพราะคนงานมาเบิกของช่วงนั้น แต่ยังเลิกงาน 17:00 น. เหมือนเดิม ไม่มีค่าล่วงเวลา
หัวหน้ายังให้เราดูแลเงินสดรายวัน โดยจะโอนมาให้ตามยอดที่ต้องใช้ เช่น ค่าของ ค่าน้ำดื่มลูกน้อง ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอินเทอร์เน็ต ฯลฯ บางครั้งเราต้องควักเงินตัวเองจ่ายไปก่อน บางยอดเป็นพันบาท กว่าจะเบิกคืนได้ก็ลำบาก
ช่วงปีสุดท้ายก่อนจะลาออก งานเริ่มน้อยลง รายรับของบริษัทลดลง แต่ค่าใช้จ่ายยังเท่าเดิม หัวหน้าเลยพยายามลดค่าใช้จ่ายโดยการให้พนักงานปิดแอร์ ใช้พัดลมแทน อ้างว่าเพราะเราเปิดแอร์ทั้งวัน ค่าไฟเลยสูง หรือลดค่าแรงลูกน้อง โดยให้เบิกเงินได้แค่ 10 วัน จากเดิมที่เคยเบิกทุก 15 วัน และทบยอดไปเรื่อยๆ บอกว่าเงินไม่พอจ่าย
เงินเดือนก็เริ่มจ่ายช้า จากเดิมที่ควรจะได้สิ้นเดือน กลายเป็นล่าช้าไป 3-5 วันเกือบทุกเดือน ซึ่งเราก็มีภาระค่าใช้จ่าย ไม่ใช่แค่บริษัทที่มีปัญหา
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของเรา แต่ต้องแบกรับไว้ เช่น:
หัวหน้าค้างค่างวดรถที่ใช้สำหรับทำงานหลายเดือน บริษัทไฟแนนซ์โทรตามแต่หัวหน้าไม่รับสายหรือหลีกเลี่ยงการพูดคุย จนเจ้าหน้าที่ต้องตามมาถึงหน้าบริษัท และให้เราเป็นคนออกมารับหน้าแทน ทั้งที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย รถแต่ละคันก็ไม่ได้ซื้อในชื่อบริษัท แต่เป็นชื่อบุคคล เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาแล้ว 2–3 ครั้ง ทำให้เรารู้สึกอึดอัดและกดดันอย่างมาก
ยังมีปัญหาจิปาถะที่เราต้องตามจัดการเอง เช่น ค่าน้ำมันรถของพนักงาน คนขับรถแมคโคร และคนขับรถหกล้อ ที่ปั๊มน้ำมันรอให้เราไปชำระทุกวัน ค่าไฟของแคมป์คนงานหรือของบริษัทที่จ่ายล่าช้าจนถูกตัดหม้อแปลงไฟฟ้า เราก็ต้องรีบขับรถออกไปชำระ และประสานงานให้ติดตั้งหม้อแปลงกลับคืน
พนักงานออฟฟิศทยอยลาออกกันหมด เหลือเราเพียงคนเดียวที่ต้องทำทุกอย่างในบริษัท ทั้งที่ได้เงินเดือนไม่ถึงหมื่นตลอด 2 ปี เราอยู่ต่อเพราะไม่อยากทิ้งคนงานและลูกน้อง แต่เคยคุยกับหัวหน้าแล้วว่าอยากให้จ้างคนเพิ่ม เพราะเราทำคนเดียวไม่ไหว แต่หัวหน้าก็ไม่สนใจ อ้างว่าไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่าย และไม่เคยขึ้นเงินเดือนให้เราเลย
เราอดทนต่อไปอีกประมาณ 2 เดือน แล้วก็ตัดสินใจลาออกในที่สุด
เราลาออกมาสักพักใหญ่แล้วคิดว่าควรแชร์ประสบการณืนี้ให้หลายคนทราบ เพราะบางครั้งเราก็โดนเอาเปรียบด้วยคำว่า ช่วยๆกัน ช่วยจนกลายเป็นหน้าที่ ซึ่งถามเราก็ช่วยได้นะ แต่นี่มันมากเกินไป คุณไม่อยากเสียเงินจ้างพนักงานใหม่และคิดว่าที่มีอยู่เเค่นี้มันก็ทำงานได้ และเรื่องบางเรื่องมันไช่หน้าที่ที่เราจะมารับผิดชอบแทนเขาด้วย
เพื่อนๆละ คิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง??