ได้มีโอกาสเสวนากับน้องๆวัยมหาวิทยาลัย แล้วได้รับฟังเรื่องนี้มา
พบว่า มีคนคิดว่า "555" มีมานานมากแล้ว นานจากการใช้ภาษาไทยที่พัฒนามาเป็นยุคๆ
ส่วน"เทปผีซีดีเถื่อน" น่าจะมาในช่วง 2000s ที่ได้ยินเรือ่งวงการเพลงล่มสลาย อุตสาหกรรมเพลงไทยตายเพราะการขายเพลงละเมิดลิขสิทธิ์
ดังนั้นพอถามว่า อะไรมาก่อนกัน
น้องๆตอบว่า "555" มาก่อน ส่วน"เทปผีฯ" มาทีหลัง
มีติ่งเล็กๆคือ มีความเข้าใจว่า "555" มีมาตั้งแ่ยุคเก่าราว 2500 ด้วยเพราะ อ้างอิงจากเคยเห็นยี่ห้อบุหรี่ "ตองห้า"
อยากบอกว่า จริงๆ "เทปผีฯ" ส่วนตัวเกิดมาก่อน 2520 หรือ กลาง 1970s ก็เจอแล้ว สมัยนั้นเพลงฝรั่งที่เ)็นเทป ถือเ)็นนวัตกรรมมาก ฟังง่ายกว่าแผ่นเสียง เล็ก พกพาง่าย เครือ่งเล่นราคาไม่แพง แล้วที่เด็ดสะระตี่ที่สุดคือ ในรถยนต์เราสามารถใส่เทปฟังเพลงได้ ไม่ต้องฟังตามใจวิทยุที่เปิด
ซึ่งเทปที่ขายกันทั่วไปในสมัยนั้น "ส่วนมาก" คือ เทปไม่มีลิขสิทธิ์ หรือเทปผีนั่นแหละ
มักมากับตลับพลาสติกแบบอ่อน หรือซองพลาสติก ตัวเทปไม่มีสกรีนอะไร อาจติดสติ๊คเกอร์ลายพิมพ์ ปกพิมพ์สีแต่ไม่มีเนื้อหาด้านในแบบของแท้ หรือถ้ามีเนื้อหาด้านใน เนื้อหาด้านในจะเป็นขาวดำ
ที่สำัญ เพลงไทย ก็มีเทปผีมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ผีบางตัว ออกขายก่อนของแท้ก็มี ขายชนวันวางแผง ถือเ)็นเรือ่งปกติธรรมดามากๆ ไม่ต้องรอ และคุณภาพเสียงก็ชนกันของแท้เลย เพราะมีข่าวลือว่า สมัยนั้น บริษัทปั๊มเทปให้ค่าย คือตัวการในการทำเทปผีออกมาขาย บ้างก็ว่า หลุดจากโรงงานพวกนี้ไปปั๊มอัดขายประเทศเพื่อนบ้าน กับโรงพิมพ์ขนาดเล็ก
คุณภาพเสียงดีกว่าซีดีเถื่อนในยุคดิจิตัลด้วยซ้ำ เพราะ ซีดีเถื่อน ถ้าเพลงใหม่ๆเลยช่วงนั้นใช้การอัดจากวิทยุ ที่ได้แผ่นโปรโมทไปออกอากาศก่อน แล้วมีทำเป็นไฟล์ mp3 คุณภาพจัดว่าแย่
ส่วน"555" เริ่มใช้กันแพร่หลายจริงๆในยุคการเกิดกระดานสนทนาออนไลน์ ซึ่งก็คือ pantip นี่แหละ ในช่วงปี 2539 ประกอบกับห้องแชทออนไลน์ และตามมาติดๆด้วยโปรแกรมแชทสดตัวต่อตัวอย่าง ICQ ทำให้เกิดการสื่อสารผ่านตัวหนังสือรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
"อีโมจิ" คือการใช้ตัวอักษรประกอบกันเป็นภาพหรือสื่อความผมายแบบไม่เป็นคำ หรือใช้แทนเสียง

lol. T_T อะไรประมาณนี้
เดิมทีการพิมพ์ด้วยแป้นพิมพ์ ไม่ใช่ทักษะที่ทุกคนทำได้นะครับ จะมีคนสองกลุ่มเท่านั้นที่ต้องมีทักษะนี้ดีพอสำหรับการใช้งาน
กลุ่มแรกคือ ธุรการ
กลุ่มสองคือ พวกเนิร์ดคอม
แม้ว่าในการสอบวุฒิเทียบการศึกษานอกโรงเรียนจะบังคับให้ต้องสอบผ่านการพิมพ์ดีด แต่พูดก็พูดเถอะส่วนมากไม่ได้สอบหรอก สมัยนั้นมีใบประกาศขายกันหาซื้อได้สบายๆ
ส่วนพวกเนิร์ดคอม พวกนี้พิมพ์เร็ว พิมพ์ไว เพราะต้องใส่โค้ดต่างๆจนชิน พวกนี้มักพิมพ์ภาษาอังกฤษคล่องมาก การนั่งหน้าคอมแล้วพิมพ์รัวๆๆ กลายเป็นภาพของเซียนคอม ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง ลองย้อนดูหนัง หรืออนิเมะยุคเก่าๆ ถ้ามีฉากเกี่ยวกับเนิร์ดคอม จะต้องนั่งหน้าจอแล้วพิมพ์ได้รัวๆ
ส่วนพวกธุรการ งานเลขา ก็นั่นแหละครับ ปกติเลย ต้องหัดพิมพ์ให้ได้จำนวนคำต่อนาทีเร็วพอที่จะทำงานเอกสารได้ จากพิมพ์ดีด ก็มาเป็นแป้นพิมพ์คอม
นอกนั้นก็อาชีพพิเศษเช่นนักเขียน
ส่วนคนธรรมดานั้น เขียนไวกว่าพิมพ์เยอะ
การจะแสดงออกว่า"หัวเรา" จึงเป็นสิ่งที่ต้องกดพิมพ์บนจอ
ซึ่ง จะใช้อีโมจิ

ก็ไม่ใช่ตัวภาษาไทยอีก ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุด สะดวกที่สุดคือ มองไปทางขวา ที่แป้นตัวเลขแล้วกดเลข 5 แทนเสียง
ไม่เฉพาะในไทยครับ เลข 5 ถูกแทนเสียงในภาษาอื่นด้วย
ภาษากวางตุ้ง เลข 5 ออกเสียงคล้าย "อืม" ดังนั้น การกด 555 ของคนที่ใช้ภาษากวางตุ้ง หมายถึง "อืมๆๆ" หรือ เข้าใจแล้ว อะไรทำนองนั้น
ในภาษาอื่นก็มีตัวอักษรอื่นๆ เช่น Mmmmm ของฝรั่ง แทนเสียง "อื้มมมม" หรือ OIC ที่แทนคำว่า "โอ้ ไอซี" หรือยอดนิยม LOL ที่แทนเสียงหัวเราะลั่น
ทั้งหมดนี้ เพิ่งมาแพร่หลายจริงๆ 2540s ตอนตั้นเท่านั้นเอง
หรือราวๆ 1997-2000
จัดเป็นนวัตกรรมที่มีอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ
"555" กับ "เทปผีซีดีเถื่อน" อะไรมาก่อนกัน
พบว่า มีคนคิดว่า "555" มีมานานมากแล้ว นานจากการใช้ภาษาไทยที่พัฒนามาเป็นยุคๆ
ส่วน"เทปผีซีดีเถื่อน" น่าจะมาในช่วง 2000s ที่ได้ยินเรือ่งวงการเพลงล่มสลาย อุตสาหกรรมเพลงไทยตายเพราะการขายเพลงละเมิดลิขสิทธิ์
ดังนั้นพอถามว่า อะไรมาก่อนกัน
น้องๆตอบว่า "555" มาก่อน ส่วน"เทปผีฯ" มาทีหลัง
มีติ่งเล็กๆคือ มีความเข้าใจว่า "555" มีมาตั้งแ่ยุคเก่าราว 2500 ด้วยเพราะ อ้างอิงจากเคยเห็นยี่ห้อบุหรี่ "ตองห้า"
อยากบอกว่า จริงๆ "เทปผีฯ" ส่วนตัวเกิดมาก่อน 2520 หรือ กลาง 1970s ก็เจอแล้ว สมัยนั้นเพลงฝรั่งที่เ)็นเทป ถือเ)็นนวัตกรรมมาก ฟังง่ายกว่าแผ่นเสียง เล็ก พกพาง่าย เครือ่งเล่นราคาไม่แพง แล้วที่เด็ดสะระตี่ที่สุดคือ ในรถยนต์เราสามารถใส่เทปฟังเพลงได้ ไม่ต้องฟังตามใจวิทยุที่เปิด
ซึ่งเทปที่ขายกันทั่วไปในสมัยนั้น "ส่วนมาก" คือ เทปไม่มีลิขสิทธิ์ หรือเทปผีนั่นแหละ
มักมากับตลับพลาสติกแบบอ่อน หรือซองพลาสติก ตัวเทปไม่มีสกรีนอะไร อาจติดสติ๊คเกอร์ลายพิมพ์ ปกพิมพ์สีแต่ไม่มีเนื้อหาด้านในแบบของแท้ หรือถ้ามีเนื้อหาด้านใน เนื้อหาด้านในจะเป็นขาวดำ
ที่สำัญ เพลงไทย ก็มีเทปผีมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ผีบางตัว ออกขายก่อนของแท้ก็มี ขายชนวันวางแผง ถือเ)็นเรือ่งปกติธรรมดามากๆ ไม่ต้องรอ และคุณภาพเสียงก็ชนกันของแท้เลย เพราะมีข่าวลือว่า สมัยนั้น บริษัทปั๊มเทปให้ค่าย คือตัวการในการทำเทปผีออกมาขาย บ้างก็ว่า หลุดจากโรงงานพวกนี้ไปปั๊มอัดขายประเทศเพื่อนบ้าน กับโรงพิมพ์ขนาดเล็ก
คุณภาพเสียงดีกว่าซีดีเถื่อนในยุคดิจิตัลด้วยซ้ำ เพราะ ซีดีเถื่อน ถ้าเพลงใหม่ๆเลยช่วงนั้นใช้การอัดจากวิทยุ ที่ได้แผ่นโปรโมทไปออกอากาศก่อน แล้วมีทำเป็นไฟล์ mp3 คุณภาพจัดว่าแย่
ส่วน"555" เริ่มใช้กันแพร่หลายจริงๆในยุคการเกิดกระดานสนทนาออนไลน์ ซึ่งก็คือ pantip นี่แหละ ในช่วงปี 2539 ประกอบกับห้องแชทออนไลน์ และตามมาติดๆด้วยโปรแกรมแชทสดตัวต่อตัวอย่าง ICQ ทำให้เกิดการสื่อสารผ่านตัวหนังสือรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
"อีโมจิ" คือการใช้ตัวอักษรประกอบกันเป็นภาพหรือสื่อความผมายแบบไม่เป็นคำ หรือใช้แทนเสียง
เดิมทีการพิมพ์ด้วยแป้นพิมพ์ ไม่ใช่ทักษะที่ทุกคนทำได้นะครับ จะมีคนสองกลุ่มเท่านั้นที่ต้องมีทักษะนี้ดีพอสำหรับการใช้งาน
กลุ่มแรกคือ ธุรการ
กลุ่มสองคือ พวกเนิร์ดคอม
แม้ว่าในการสอบวุฒิเทียบการศึกษานอกโรงเรียนจะบังคับให้ต้องสอบผ่านการพิมพ์ดีด แต่พูดก็พูดเถอะส่วนมากไม่ได้สอบหรอก สมัยนั้นมีใบประกาศขายกันหาซื้อได้สบายๆ
ส่วนพวกเนิร์ดคอม พวกนี้พิมพ์เร็ว พิมพ์ไว เพราะต้องใส่โค้ดต่างๆจนชิน พวกนี้มักพิมพ์ภาษาอังกฤษคล่องมาก การนั่งหน้าคอมแล้วพิมพ์รัวๆๆ กลายเป็นภาพของเซียนคอม ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง ลองย้อนดูหนัง หรืออนิเมะยุคเก่าๆ ถ้ามีฉากเกี่ยวกับเนิร์ดคอม จะต้องนั่งหน้าจอแล้วพิมพ์ได้รัวๆ
ส่วนพวกธุรการ งานเลขา ก็นั่นแหละครับ ปกติเลย ต้องหัดพิมพ์ให้ได้จำนวนคำต่อนาทีเร็วพอที่จะทำงานเอกสารได้ จากพิมพ์ดีด ก็มาเป็นแป้นพิมพ์คอม
นอกนั้นก็อาชีพพิเศษเช่นนักเขียน
ส่วนคนธรรมดานั้น เขียนไวกว่าพิมพ์เยอะ
การจะแสดงออกว่า"หัวเรา" จึงเป็นสิ่งที่ต้องกดพิมพ์บนจอ
ซึ่ง จะใช้อีโมจิ
ไม่เฉพาะในไทยครับ เลข 5 ถูกแทนเสียงในภาษาอื่นด้วย
ภาษากวางตุ้ง เลข 5 ออกเสียงคล้าย "อืม" ดังนั้น การกด 555 ของคนที่ใช้ภาษากวางตุ้ง หมายถึง "อืมๆๆ" หรือ เข้าใจแล้ว อะไรทำนองนั้น
ในภาษาอื่นก็มีตัวอักษรอื่นๆ เช่น Mmmmm ของฝรั่ง แทนเสียง "อื้มมมม" หรือ OIC ที่แทนคำว่า "โอ้ ไอซี" หรือยอดนิยม LOL ที่แทนเสียงหัวเราะลั่น
ทั้งหมดนี้ เพิ่งมาแพร่หลายจริงๆ 2540s ตอนตั้นเท่านั้นเอง
หรือราวๆ 1997-2000
จัดเป็นนวัตกรรมที่มีอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ