(บทความจากผู้ที่ไม่ต้องการระบุตัวตน ฝากเขียนออกสื่อ)
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด จบ ปวส. แล้วขึ้นมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ที่มหาวิทยาลัยซึ่งเคยเป็นวิทยาลัยอาชีวะชื่อดัง ที่ยังมีปัญหาความรุนแรงอยู่มาก
ผมเคยเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงนั้น
แต่ผมไม่ได้ภูมิใจ หรืออยากเป็นแบบนั้นเลย
ผมแค่ต้องการรอด ต้องการเรียนให้จบ เพื่อชีวิตที่ดีกว่านี้
ชีวิตวัยรุ่นแบบนี้ มักจะมาคู่กับทะเลาะวิวาท
ไม่มีใครอยากมีเรื่อง แต่บางครั้งมันเลือกไม่ได้
แค่อยู่ผิดที่ผิดเวลา หรือแค่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ยังต้องคอยระวังคมมีด และกระสุนปืน
ทุกวันนี้ ความรุนแรงไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบอีกต่อไป
แต่มันถูกพัฒนา เป็นระบบและมีมานานเป็นสิบปีแล้ว มีการตั้งทีม มีการหมายหัว มีมือปืน มีคนสั่งงาน มันไม่ใช่แค่เรื่องเด็กตีกัน แต่มันคือระบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ผู้มีอำนาจพยายามแก้ปัญหา
แต่สิ่งที่ทำกลับไม่ตรงจุด
พวกเขาสร้างกิจกรรม สร้างเวทีมาแทนที่
โดยไม่เคยถามเลยว่ารากเหง้าของปัญหาคืออะไร
ผมมาจากบ้านที่ไม่สมบูรณ์
ครอบครัวผมไม่ได้อบอุ่นอย่างที่หลายคนคิด
พ่อเป็นข้าราชการเกษียณ มีบำนาญ
แม่เคยทำธุรกิจ แต่วันนี้เจ๊งหมด
พวกเขาทำเกษตร และใช้เงินเก่า กับบำนาญส่งผมเรียน ทุกวันนี้แทบไม่มีรายได้เข้าบ้าน
เด็กหลายคนตรงนี้คนโตมากับความจน
โตมากับบ้านที่ไม่ปลอดภัย
บางคนโตมากับการถูกทำร้ายร่างกาย
ด้วยคนที่ควรจะรักและปกป้องพวกเขามากที่สุด
ไม่มีใครอยากเติบโตมาแบบนี้
ไม่มีใครอยากเป็น “ขยะสังคม”
แต่บางครั้งโลกไม่ได้ให้ทางเลือก
และเราไม่เคยมีเสียงที่จะบอกใครให้ฟัง
ผมไม่ใช่คนเลว
ผมแค่เด็กคนหนึ่งที่กำลังพยายามจะก้าวผ่านความเจ็บปวด
และหวังว่าสักวันจะได้เรียนจบอย่างสงบ
และมีชีวิตที่ดีกว่านี้
ถ้าคุณไม่เคยอยู่ในโลกของผม
คุณจะไม่มีวันเข้าใจ
“บางครั้งผมก็สงสัย…”
บางครั้งผมนั่งเงียบ ๆ แล้วก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า…
มันมีใครได้ประโยชน์จากความรุนแรงเหล่านี้หรือเปล่า?
จากการที่เราทะเลาะกัน ยิงกัน ตีกัน
ใครบางคนได้ยอดข่าว ได้กระแส
ใครบางคนได้งบประมาณ ได้จัดโครงการ
ใครบางคนได้สร้างภาพว่า “กำลังแก้ไข”
ทั้งที่ความจริง…ต้นตอมันยังอยู่เหมือนเดิม
ผมไม่ได้กล่าวหาใคร
ผมแค่สงสัย — เพราะเราก็อยากให้มันจบเหมือนกัน
แต่ทำไมมันถึงไม่เคยจบสักที?
ผมแค่อยากเรียนให้จบ — เรื่องจริงของเด็กอาชีวะที่ไม่มีใครเล่า
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด จบ ปวส. แล้วขึ้นมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ที่มหาวิทยาลัยซึ่งเคยเป็นวิทยาลัยอาชีวะชื่อดัง ที่ยังมีปัญหาความรุนแรงอยู่มาก
ผมเคยเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงนั้น
แต่ผมไม่ได้ภูมิใจ หรืออยากเป็นแบบนั้นเลย
ผมแค่ต้องการรอด ต้องการเรียนให้จบ เพื่อชีวิตที่ดีกว่านี้
ชีวิตวัยรุ่นแบบนี้ มักจะมาคู่กับทะเลาะวิวาท
ไม่มีใครอยากมีเรื่อง แต่บางครั้งมันเลือกไม่ได้
แค่อยู่ผิดที่ผิดเวลา หรือแค่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ยังต้องคอยระวังคมมีด และกระสุนปืน
ทุกวันนี้ ความรุนแรงไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบอีกต่อไป
แต่มันถูกพัฒนา เป็นระบบและมีมานานเป็นสิบปีแล้ว มีการตั้งทีม มีการหมายหัว มีมือปืน มีคนสั่งงาน มันไม่ใช่แค่เรื่องเด็กตีกัน แต่มันคือระบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ผู้มีอำนาจพยายามแก้ปัญหา
แต่สิ่งที่ทำกลับไม่ตรงจุด
พวกเขาสร้างกิจกรรม สร้างเวทีมาแทนที่
โดยไม่เคยถามเลยว่ารากเหง้าของปัญหาคืออะไร
ผมมาจากบ้านที่ไม่สมบูรณ์
ครอบครัวผมไม่ได้อบอุ่นอย่างที่หลายคนคิด
พ่อเป็นข้าราชการเกษียณ มีบำนาญ
แม่เคยทำธุรกิจ แต่วันนี้เจ๊งหมด
พวกเขาทำเกษตร และใช้เงินเก่า กับบำนาญส่งผมเรียน ทุกวันนี้แทบไม่มีรายได้เข้าบ้าน
เด็กหลายคนตรงนี้คนโตมากับความจน
โตมากับบ้านที่ไม่ปลอดภัย
บางคนโตมากับการถูกทำร้ายร่างกาย
ด้วยคนที่ควรจะรักและปกป้องพวกเขามากที่สุด
ไม่มีใครอยากเติบโตมาแบบนี้
ไม่มีใครอยากเป็น “ขยะสังคม”
แต่บางครั้งโลกไม่ได้ให้ทางเลือก
และเราไม่เคยมีเสียงที่จะบอกใครให้ฟัง
ผมไม่ใช่คนเลว
ผมแค่เด็กคนหนึ่งที่กำลังพยายามจะก้าวผ่านความเจ็บปวด
และหวังว่าสักวันจะได้เรียนจบอย่างสงบ
และมีชีวิตที่ดีกว่านี้
ถ้าคุณไม่เคยอยู่ในโลกของผม
คุณจะไม่มีวันเข้าใจ
“บางครั้งผมก็สงสัย…”
บางครั้งผมนั่งเงียบ ๆ แล้วก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า…
มันมีใครได้ประโยชน์จากความรุนแรงเหล่านี้หรือเปล่า?
จากการที่เราทะเลาะกัน ยิงกัน ตีกัน
ใครบางคนได้ยอดข่าว ได้กระแส
ใครบางคนได้งบประมาณ ได้จัดโครงการ
ใครบางคนได้สร้างภาพว่า “กำลังแก้ไข”
ทั้งที่ความจริง…ต้นตอมันยังอยู่เหมือนเดิม
ผมไม่ได้กล่าวหาใคร
ผมแค่สงสัย — เพราะเราก็อยากให้มันจบเหมือนกัน
แต่ทำไมมันถึงไม่เคยจบสักที?