หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (6)...เพื่อน

กระทู้คำถาม
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (6)...เพื่อน
 
            วันรุ่งขึ้น...ซินดี้และจูดี้มาเคาะประตูห้องแต่เช้า ดวงเนตรเพิ่งตื่น เธอเอามือเสยผมลวก ๆ
            “ใครน่ะ?”
            "ฉันเอง...ซินดี้”  ดวงเนตรสวมชุดคลุมทับ ปลดล็อกประตู แล้วสองสาวก็โผล่หน้าเข้ามาทักทายตามธรรมเนียมอเมริกัน ดวงเนตรยิ้มทักทั้งคู่
            “มาแต่เช้าเลย”
            “ใช่ เรามีญาติมารับไปเที่ยวเซนต์หลุยส์...ไปไหม?  นี่ไง เขาชื่อเอริค”
            “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ดวงเนตรเอ่ย เขาทักทายดวงเนตรเช่นกันพร้อมยื่นมือมาเชกแฮนด์
            “เธอชื่อดวงเนตร เป็นคนไทย เพิ่งมาอยู่ที่นี่เหมือนเรา” จูดี้รายงานสด เอริคยิ้มตาเป็นประกาย
            “ผมมาเรียนต่อปริญญาเอกวิศวะ” เอริคน่าจะอายุประมาณสามสิบ รูปร่างสูงกว่าทั้งสองสาว ผมทองสีผมอ่อนกว่าของซินดี้ ไหล่กว้างตาโตสวย
สีเทาประกายเขียว เคราขลิบไว้เป็นระเบียบ ‘หล่อมาก ๆ เลยล่ะ แต่ตอนยิ้มแล้วมองเห็นไส้หมด เจ้าชู้น่าดูล่ะสิ’ เธอนึก
             เอริคดูสนใจสาวน้อยชาวเอเซียคนนี้ ขนาดเพิ่งตื่น เธอยังหน้านวลใส ไม่มีฝ้าหรือกระ ริมฝีปากบางได้รูป แถมยิ้มสวยสดใสอีกต่างหาก ถ้าเป็น
ญาติเขา...หมายถึงซินดี้ เจอกันเช้า ๆ ต้องสะดุ้งทุกที เพราะหน้าที่แต่งไว้จนงามตลอดวัน มาเห็นตอนเช้าตรู่คือหน้ามีกระเต็มไปหมด คิ้วโก่งก็หายไป
ริมฝีปากซีดออกคล้ำเพราะเธอสูบบุหรี่ด้วย
            “อ้าว! มองกันอยู่นั้นแหละจะไปหรือเปล่า” ซินดี้แซว
            “ขอโทษด้วย ฉันไปไม่ได้เพราะจะมีคนมาเยี่ยมเขาเป็นหัวหน้านักเรียนไทยที่นี่”
            “ไม่เป็นไรไว้ครั้งหน้าก็ได้ ใช่ไหมเอริค” ซินดี้หันไปทางเอริคเหมือนรู้ใจ เขาพยักหน้า แล้วทุกคนก็กล่าวลา

            ดวงเนตรปิดประตูพลางนึกถึงสุดหล่อ แต่ไม่ใช่สเปก คงหวังเอาดวงเนตรขึ้นเขียงแน่
           
            ลุงประภพสอนบ่อยมากก่อนที่จะมาเรียนต่อ “ทางโน้นมันไม่เหมือนบ้านเรา อย่าเอาแบบมันไม่ดี พวกเขาเจอกันถูกใจก็ไปนอนกันเลย ...
one night stand  ออกจากห้องนอนก็ชีวิตใครชีวิตมัน อย่าทำตัวแบบนั้นนะลูก” ลุงกำชับ ดวงเนตรยังจำได้ “คร้าบผม...สาธุ ๆ ” “ไอ้นี้มันวอนนะ!”
“ไม่ใช่หนูชื่อดวงเนตรไม่ใช่วอน” ดวงเนตรอ้อล้อต่อกับลุง ดวงเนตรรีบหยุดความคิด เพราะรู้ว่าถ้าปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกลอะไรจะเกิดขึ้น
เธอรีบหยิบเครื่องใช้ ผ้าขนหนู แล้วเข้าห้องอาบน้ำ เดินมาเจอแม่บ้านพอดี  ดวงเนตรยิ้มและกล่าวทักทาย อาบน้ำแล้วรู้สึกสดชื่นมาก เปลี่ยนแต่เสื้อ
ยืดคอกลมเสื้อสีฟ้า ส่วนกางเกงเป็นตัวเดิม เพราะยังไม่มีคนไทยที่ไหนโผล่มาทักทายดวงเนตรสักคน ทั้ง ๆ ที่International Department บอกว่า
ที่นี่มีนักศึกษาไทยตั้ง70 กว่าคน ที่ไหนมีเครื่องซักผ้าก็ไม่รู้อีกต่างหาก
            อาหารเช้าอีกหลายวันยังคงเป็นกาแฟร้อนกับกล้วยตาก ตามด้วยน้ำดื่มจนหมดกระติกจะได้อิ่มท้อง ดวงเนตรค้นดูในกระเป๋าแล้วคิดถึงแม่
แม่ช่างละเอียดแม้แต่เข็มกับด้ายแม่ก็ใส่มาให้ ดวงเนตรดูขนาดกระเป๋าแล้วถอนใจ แม่เตรียมมาให้ทุกอย่างจริง ๆ เท่าที่จะยัดลงกระเป๋าใบใหญ่ได้
จำได้ว่าพอแม่เผลอเธอก็หยิบออก พอแม่หันมาเจอก็จับใส่เข้าไปใหม่ ทำแบบนี้อยู่จนเธอยอมแพ้ในความเป็นห่วงและหวังดีที่สุดของแม่ ดวงเนตรรู้สึก
หดหู่ กาแฟซองยังพอเหลือ แต่กล้วยตากนี่ต้องเจียดกินจะกินได้กี่วันนะ?
            ดวงเนตรมองเสบียงที่เหลืออยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับหัวเราะคนเดียว
            “เรานี้มันโง่เนอะ เงินเตี่ยให้มาก็มีอยู่ หิวก็ไปกินเบอร์เกอร์สิ” นี้แหละคนเราอารมณ์เหมือนฟ้าฝน เปลี่ยนเร็วตามสิ่งแวดล้อม  ดวงเนตรก็รวม
อยู่ในกลุ่มด้วย ความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ผู้คน วัฒนธรรม เป็นเหตุที่ส่งผลให้อารมณ์ดวงเนตรเองอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน
            
            วันนี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใสเหมือนเคย ดูอากาศครึ้มมีเมฆอยู่เต็มไปหมด ครู่ใหญ่ฝนก็ตก เธอนั่งชันเข่าเอามือกอดขาทั้งสองข้างอยู่บนเตียง หลังพิง
ผนังห้อง ทั้งหอพักเงียบสงัด ป่านนี้ซินดี้และจูดี้คงถึงเซนต์หลุยส์แล้ว ทั้งหอพักเหลือแต่ดวงเนตรคนเดียว ฝนตกไม่หยุด อากาศดูน่าหดหู่ มันช่าง
เหงาและเคว้งคว้างเหลือเกิน เธอพยายามสกัดกั้นอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้น แต่แล้วก็ปล่อยให้น้ำตาไหลริน เสียงสะอื้นไห้เบา ๆ หัวใจเหน็บหนาว ปลิดปลิว
ดั่งใบไม้ร่วง เกือบชั่วโมงกับความคิดวกวน...ว่าทำไมเธอจึงเลือกมาอยู่ไกลบ้านถึงขนาดนี้ และเพื่ออะไร? เพื่อเติมเต็มความฝันของตัวเองงั้นหรือ
หากลงมือขุดดินให้ไปทะลุอีกขั้วโลกหนึ่งมันก็คือบ้านเรา
            
            ดวงเนตรเหม่อมองออกไปไกลฝนหยุดตกแล้ว ลายรุ้งขึ้นพาดแนวขอบฟ้า ไม่รู้ว่านานเท่าไรจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะที่กระจกปลายเตียง
เสียงเคาะกระจกค่อนข้างดังช่วยดึงความคิดที่สับสนของเธอคืนมา ผู้หญิงไทยกว่าสิบคนยืนแถวหน้ากระดานอยู่ที่กระจก พี่คนที่ยื่นหน้ามาจนชิดกระจก
เพื่อมองหาว่ามีใครอยู่บ้างตัวไม่สูงนัก ผิวขาวละเอียด จมูกเป็นสัน ตัดผมสั้น หน้ากลมมน คงมีสัญชาติเดียวกับหญิงสาว และท่าทางเธอจะเป็นผู้นำ
กลุ่มที่มาหาเนตรในวันนี้ เธอส่งสัญญาณมือว่าจะไปหาที่ห้อง
            ดวงเนตรเปิดประตูรอ
            “โธ่ ๆ พลนะพล มันใช้สมองส่วนไหนคิดนะถึงมาปล่อยเด็กใหม่ที่หอพักนี้ ดูสิร้องไห้จนตาบวม โธ่เอ๋ย! แม่คุณ” น้าวิวพูด
            “นี่! แกก็เกินไปแกพูดอย่างกับคนแก่เลย”  พี่คนผิวเข้มตาคมสูงกว่าทุกคนในกลุ่มเบรก พี่ที่ชื่อวิวเข้ามาโอบดวงเนตร แล้วจับมือทั้งสองของเธอ
ไว้  มือเล็ก ๆ ทำให้ดวงเนตรรู้สึกหลายอย่างยากที่จะอธิบาย มันเหมือนคนที่หลงอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิด แล้วจู่ ๆ ก็มีมือที่อบอุ่นมาดึงไปที่ปลายอุโมงค์
จนสุดท้ายก็พาเธอมายังปลายอุโมงค์ที่มีแสงสว่างอีกครั้ง
            “น้องชื่ออะไรจ๊ะ” ทุกคนต้องตะแคงหูฟัง...เพราะตอนที่ดวงเนตรร้องไห้มันทำให้เสียงเธอแหบหายไปในลำคอ 
            “ดวงเนตรค่ะ.. เรียกเนตรก็ได้ค่ะ”
            “พี่ชื่อวิวจ้ะ ส่วนใหญ่เขาชอบเรียกพี่ว่าน้าวิว” คนยืนติดกันพูดบ้าง
            “พี่ชื่อน้อยค่ะ น้องเนตรไม่ต้องร้องไห้แล้วนะคะ เดี๋ยวพวกเราจะทำเรื่องย้าย และช่วยกันขนของน้องเนตรไปอยู่ที่ใหม่ค่ะ หอใหม่มีคนเอเชียกับนักศึกษาไทยอยู่เยอะแยะไปหมดเลย...ไม่เหงาแล้ว” พี่น้อยตัวเท่า ๆ น้าวิวร่ายยาว พี่น้อยสวมแว่นหนา ผมสั้นแต่หยักศก แม้ไม่ใช่คนสวยแต่น่ารัก
พูดจาลงท้ายด้วยค่ะทุกครั้ง ตอนหลังมาดวงเนตรรู้ว่าพี่น้อยเป็นอาจารย์ มาเรียนปริญญาเอกต่อ

            ขบวนย้ายข้าวของมีพี่และเพื่อน ๆ ช่วยกันหอบหิ้ว เคลื่อนออกเป็นขบวนยาว เดินไปคุยกันไปมีแต่ เสียงพี่ ๆ เพื่อน ๆ พูดไทยกันให้ลั่นถนน
น้าวิวเดินประกบมากับดวงเนตร เธอเอ่ยกับน้าวิวว่า
            “งง! ไปหมดและจำชื่อพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ไม่ค่อยได้”
            “อย่าเพิ่งไปสนใจชื่อเลยเพราะคนไทยที่นี่มีแต่คนที่ชื่อนิด ๆ น้อย ๆ หน่อย ๆ..กับไอ้ตี๋หน้าหยกชื่อหนอย รวมแล้วยี่สิบคนได้ และคนกลุ่มนี้
เขาจะมีชื่อย่อห้อยท้ายไว้กันความสับสนไง” บรรยากาศอันหดหู่จางหายไป  ท้องฟ้าสว่างใสเหมือนกับฟ้าหลังฝน...ชีวิตใหม่ของดวงเนตร
น้าวิวยังคงจูงมือดวงเนตรอยู่  ดวงเนตรรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่เดินตามผู้ปกครอง น้าวิวแต่งตัวทะมัดทะแมง เดินเร็วพูดเร็ว อายุคงประมาณ35 ปี
ความคิดของดวงเนตรคนอายุวัยนี้กำลังเบ่งบานสวยงาม พร้อมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ แม้จะตัวนิดเดียว แต่หน้าตาแจ่มใสผิวผ่อง จมูกโด่ง หน้ากลมมน
มองพิศมองเพลิน
            น้าวิวเดินไปสอนไปคงกะว่าถึงหอพักใหม่ก็จบหลักสูตรการดูแลตัวเองในต่างแดนพอดี
            “ไม่ต้องกังวล ถ้าถึงหอพักใหม่ หากหาห้องยังไม่ได้ก็นอนห้องน้าวิวไปก่อน หอพักใหม่ชื่อโดมิโน...มีแค่สองชั้น แบ่งเป็นสองปีก ซ้ายเป็น
ของนักศึกษาชาย ขวาเป็นของนักศึกษาหญิง มันเป็นตึกสองชั้นแต่กว้างมาก ตอนนี้เท่าที่รู้โดนจองหมดแล้ว วันมะรืนน้าวิว พี่ศิริ สุดา และพี่โต้งจะไป
เที่ยวเท็กซัสประมาณห้าวัน เนตรก็อยู่ห้องน้าวิวไปก่อนไม่ต้องเกรงไจ”  
            “ขอบพระคุณมาก ๆ เลยค่ะ”
            “ไม่เป็นไร...เราคนไทยต้องช่วยเหลือกันไว้”
            “ส่วนห้องพักถาวรจะให้พี่น้อยติดต่อกับผู้จัดการหอให้ พี่น้อยเขาสนิทกันดี เคยเรียนห้องเดียวกันด้วย”
            “พี่น้อยไม่ได้ไปเที่ยวด้วยหรือคะ” ดวงเนตรถาม
            “ไปไม่ได้เพราะเริ่มทำวิทยานิพนธ์แล้ว คงยุ่ง”
            “เดือนหน้าเปิดซัมเมอร์แล้วจะยิ่งคึกคัก หอพักใหม่นี้เรียกว่าหออินเตอร์ก็ได้นะเพราะมีครบทั่วภูมิภาคเอเชียเลย...ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี
มาเลย์ฯ สิงคโปร์ แขก แถมมีฝรั่งแซมอยู่ด้วยหลายคน พี่น้อยเขาดูแลเด็กใหม่เก่ง คุยก็เก่ง รับรองเนตรหายเหงาแน่” น้าวิวสรุปและหันมามองดวงเนตร
ตรง ๆ ทำท่าเหมือนเครื่องสแกน ปนแววพิศวง พลางคิด ดวงเนตรเป็นน้องหมวยที่น่ารัก รูปร่างสูงโปร่ง ผิวละเอียด จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ดวงตายาวรีสีน้ำตาลเข้ม ผมเส้นเล็กยาวระบ่าเป็นลอนอ่อน ๆ นี้ถ้ามาไม่ถึง จะไปหลงอยู่ที่ไหนนะ  หากน้าวิวรู้ตั้งแต่การเดินทางเที่ยวบินแรกจนมาพบดอกเตอร์เจอรี่
ซึ่งเป็นไปอย่างขลุกขลัก เธอคงจะเหนื่อยใจแทนดวงเนตรแน่
             น้าวิวสำรวจสำมะโนประชากรอีกรอบ รอบนี้ ถามแซ่ และนามสกุล  พอรู้ว่าน้องหนูแซ่เดียวกับแกความเอ็นดูก็เพิ่มตาม เพราะเป็นวงวานว่าน
เครือเดียวกันซะนี้ โลกมันแคบจริง ๆ เธอมองดวงเนตรสายตาแดงมีน้ำคลอตาอยู่เพียงแว๊บเดียวแล้วจางหายหาย...

            บทเรียนที่หนึ่งก็เริ่มขึ้น
            “ตั้งใจฟังน้าวิวให้ดีนะ ถ้าเรียนจบแล้วกลับไปพูดอังกฤษสำเนียงไทย แบบนี้ไม่ต้องมาให้ไกลถึงนี่ แค่เรียนที่เอแบคฯ กรุงเทพก็พอ ถ้าเนตร
ต้องการพูดอังกฤษให้ดี ข้อแรกจะให้เจนศึกพาไปซื้อทีวี ทุกครั้งที่ว่างจากเรียนให้นั่งดูทีวี ฟังเข้าใจหรือไม่ ให้ฟังไปเรื่อย ๆ เอาสมุดเล่มเล็กกับ
ปากกาเตรียมให้พร้อม ไว้จดสำนวนที่เขาใช้ทุกวัน แล้วนำเอาไปใช้ แรก ๆ ต้องพูดให้ชัดเจน และไม่ต้องกลัวว่าฝรั่งไม่เข้าใจ พูดซ้ำ ๆ จนชิน
ข้อสำคัญคือถ้าต้องเน้นเสียงตรงไหนก็อย่าลืมเวลาพูด เคล็ดไม่ลับเพราะบอกไปหลายคนแล้ว”  น้าวิวจบแบบขำ ๆ
            ดวงเนตรอดขำท่าทางจริงจังของเธอเลยโดนดุ “ยังมาทำหน้าเป็นแล้วหัวเราะอีก ตั้งใจฟัง”
            “ตั้งแล้วค่ะ” ดวงเนตรตอบอมยิ้มน้อยๆ
            “สุดท้ายของข้อแรกคือต้องดัดเสียงตามแบบฝรั่ง หรือพูดแบบดัดจริตน่ะ ขึ้นเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ แบบเดียวกับที่เขาพูด ข้อสองคบหาชาวต่างชาติ
เยอะ ๆ ไม่ต้องห่วงความคิดของคนไทย เพราะเรารักกันอยู่แล้ว และเข้าใจกันดี ข้อต่อไปคือไม่ต้องสุงสิงกับคนไทยมากนัก เอาแค่มาตามตารางสัง
สรรค์ ซึ่งจัดนาน ๆ ครั้งก็พอ  คำสอนของน้าวิวก็จบลงหน้าหอพักโดมิโน
            หอพักมีสองชั้น สองปีกตามที่บอกคร่าว ๆ พื้นที่หอพักกว้างขวาง จำนวนห้องพักรวมแปดสิบห้อง มีสะพานข้ามจากถนนเข้าสู่หอพัก ที่ต้องมี
สะพานเพราะจากถนนถึงสะพานเป็นช่วงต่อเข้าตัวหอพักที่ค่อย ๆ ลาดต่ำลงเป็นสนามฟุตบอลล ชั้นนี้ทำเป็นห้องใต้ดินสำหรับหลบพายุทอร์นาโดด้วย
ที่นี่จะมีการซ้อมอพยพปีละสองครั้ง หากใครลงห้องใต้ดินไม่ทัน  ให้หลบอยู่ใต้เตียงห่างจากทุกส่วนที่เป็นกระจก
 
             
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่