หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (5)...ชีวิตที่เปลี่ยนไป
ความคิดเกี่ยวกับเรื่องข้างต้น สะดุดเป็นช่วง ๆ ทุกครั้งที่เครื่องบินปะทะกับลมแรง เครื่องบินเล็กบินไม่สูงเท่าเครื่องใหญ่ แต่ลมแรงมาก
และเครื่องจะแกว่งตัวเป็นระยะตลอด ดวงเนตรอัญเชิญพระทุกองค์ที่รู้จักมาขึ้นเครื่องพร้อมกันหมด ประมาณสามสิบนาทีเครื่องก็ลงจอดที่ลานสนาม
หญ้าโดยปลอดภัย ดวงเนตรกลืนน้ำลายพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก เจอรี่เห็นอาการเหล่านั้นแล้วหัวเราะเบา ๆ ดวงเนตรค้อนให้วงใหญ่แบบ
ไม่เกรงใจ
เครื่องลงจอดบนสนามหญ้ากว้างเกือบสองเท่าของสนามฟุตบอล ไม่มีตัวสนามบิน มองเห็นเพียงอาคารสำนักงานตั้งอยู่ไกลออกไปติดกับ
ขอบถนน คุณลุงเจอรี่ของดวงเนตรถือกระเป๋าอยู่เหมือนรอใคร ดวงเนตรตรงไปเอากระเป๋าใบใหญ่สองใบของเธอ วางมันไว้แล้วเดินไปหาดอกเตอร์
เจอรี่ถามว่ามีรถแท็กซี่เข้าไปที่มหาวิทยาลัยไหม เขาส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่รถของมหาวิทยาลัยที่มารับเขา เจอรี่พูดช้าและชัดว่าจะให้คนขับไปส่ง
เธอที่แผนกนักศึกษานานาชาติก่อน เธอกล่าวขอบคุณ
“คงลืมอาการค้อนที่ส่งให้เจอรี่ไปแล้ว แปลกเพราะผู้หญิงที่นี้เขาไม่ทำกัน” เจอรี่คิด
รถขับผ่านเนินเขาและทุ่งหญ้าเขียวขจี ท้องฟ้าเป็นสีสวยสดใสสว่าง ดวงเนตรเริ่มมองเห็นอาคารต่าง ๆ เดาว่าน่าจะเข้าเขตมหาวิทยาลัยแล้ว
รถเลี้ยวซ้ายเข้าสู่อาคารไม้สองชั้นซึ่งดัดแปลงมาจากบ้านเก่า ทำเป็นแผนกนักศึกษานานาชาติ (International Department) ดวงเนตรรออยู่รถเมื่อ
รถจอดหน้าแผนก
ดอกเตอร์เจอรี่เข้าไปได้ครู่เดียวก็เดินออกมาพร้อมหญิงผิวดำ เธอใส่ชุดลายดอกเขียวแดง ร่างสูงไล่ ๆ กับเขา ผมดำหยิกฟู เดินมาพร้อมยิ้ม
เห็นฟันขาวก่อนที่จะเอ่ย
”สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซูซาน”
“พูดไทยได้หรือคะ” ดวงเนตรแทบกระโดดด้วยความดีใจขณะตั้งคำถาม ซูซานตอบ
“ได้นิดหน่อยค่ะ” เธอหันไปกล่าวขอบคุณดอกเตอร์เจอรี่ ดวงเนตรก็หันไปกล่าวคำขอบคุณ และกล่าวอำลา พร้อมรอยยิ้มสดใสซาบซึ้งในความ
ช่วยเหลือที่ได้รับ สบตาเพียงครู่ก็น้ำตารื่น เจอรี่มองเห็นสายตานั้นอย่างเข้าใจ เขารีบกล่าวคำลาแล้วเดินจากไป
กลิ่นอายและวัฒนธรรมใหม่ในอเมริกา ประเทศแห่งเสรีภาพ การพยายามอยู่ให้รอดไปถึงฝั่งฝันเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องเผชิญกับมันอย่าง
อดทน คำนี้เป็นคำที่เตี่ยใช้พูดกับดวงเนตรเสมอ ทุกครั้งที่เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก สองข้อของเตี่ยคือหนึ่งอดทน และ สองก้าว
เดินโดยไม่หยุดพัก โดยไม่มองไกลไปถึงปลายทาง แล้วลูกจะประสบความสำเร็จเอง เตี่ยเล่าความลำบากให้ดวงเนตรและน้อง ๆ ฟังเสมอ สมัยเตี่ย
ลำบากมาก นั่นคือคำที่ดวงเนตรมีไว้ให้เตี่ยใช้คนเดียว การบอกเล่าของเตี่ยเหมือนค้อนที่กระหน่ำตีเหล็กกล้าที่เผาไฟจนร้อนขึ้นมาเป็นดาบที่คมกริบ
แม้ดวงเนตรไม่ฉลาดเท่าน้อง ๆ แต่ความอดทนมากมายของเธอไม่เป็นรองใคร ความคิดหยุดลงเมื่อได้กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่ซูซานยกมาให้ เธอกล่าวขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะ” ดวงเนตรเดาว่าคงมีคนไทยสอนแน่ ๆ ดวงเนตรดีใจที่ซูซานพูดภาษาไทยมันช่วยให้ฝั่งฟ้าที่กว้างไกลแคบลง ซูซานแจ้งให้เธอ
รู้ว่ากำลังมีหัวหน้านักเรียนไทยมารับไปส่งที่หอพัก รอยยิ้มของเธอให้ความรู้สึกที่ดีกับนักเรียนที่มาใหม่ทุกคน
ขณะรออยู่ดวงเนตรจ้องมองภาพสีน้ำที่แขวนอยู่กับผนังข้างโต๊ะทำงานของซูซาน ผู้วาดใช้สีนุ่มกลมกลืนได้อารมณ์มากมาย ภาพปุยหิมะที่
ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงสู่พื้นเป็นหย่อม สีขาวตัดกับสีเขียวของแนวสน(evergreen) ปลายของต้นสนแกว่งตัวตามแรงลมหนาว เห็นบ้านหลังเล็กทาสีน้ำตาลอ่อน
ควันไฟออกมาจากปล่องไฟ บ้านหลังเล็กตั้งใกล้เนินเขา ตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ดวงเนตรมองดูแล้วรู้สึกเหงาเหลือเกิน ทั้งยังหนาวเหน็บจับหัวใจ
ทำให้น้ำตาไหลเปรอะหน้าสวยของหญิงสาว เธอรีบปาดออกอย่างรวดเร็ว แต่ไม่พ้นการมองเห็นของซูซานซึ่งเข้ามาโอบไหล่ดวงเนตรไว้หลวม ๆ ถึง
ซูซานจะเคยเห็นลักษณะแบบนี้บ่อย แต่ทุกครั้งก็ใจเหี่ยวไปกับนักศึกษาใหม่ทุกคน รูปภาพนี้หลายคนในออฟฟิศพูดบ่อย ๆ ว่ายิ่งดูยิ่งเหงาโดยเฉพาะนักศึกษาใหม่ มันเหงาแบบสุดขั้ว
ซูซานพูดให้ดวงเนตรฟัง
”ต้องอดทน สู้เดินทางมาไกลขนาดนี้ต้องทำให้ได้ดังใจฝัน ผ่านไปสักสองเดือนก็ดีเองนะ” พูดจบประตูออฟฟิศก็เปิดออก
หนุ่มไทยรูปร่างสูง ผิวเข้ม หน้าตาเรียบ ๆ เข้ามาเชกแฮนด์และทักทายซูซานด้วยรอยยิ้ม พลางหันมาทางดวงเนตร เธอรีบยกมือสวัสดีและ
แนะนำตัวเอง พี่ที่มารับชื่อชูพล เขาให้ดวงเนตรเรียก
“เรียกพี่พลก็ได้ครับ” แล้วเขาก็กล่าวลา ซูซาน ดวงเนตรอำลาพร้อมไหว้อย่างสวย พี่พลช่วยยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นไว้ท้ายรถเรียบร้อยแล้ว
รถขับผ่านเข้ามาในตัวมหาวิทยาลัย ภายในแคมปัสมีตึกหลายตึกตั้งเป็นหย่อม ๆ จากใจกลางออกมาเป็นหอพักชายและหญิงซึ่งแยกกันและแล้ว
พี่พลก็มาจอดอยู่หน้าตึกซึ่งดูจากภายนอกค่อนข้างเก่า แต่ภายในแต่งไว้น่าอยู่ มันเป็นหอพักเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น
พี่พลพามาลงทะเบียนและจ่ายค่ามัดจำ พอได้กุญแจ เขาก็ช่วยเอากระเป๋ามาส่งถึงหน้าห้อง ในช่วงที่เดินมาพี่พลอธิบายหลายอย่างซึ่งดวงเนตร
ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล กับช่วงต่างของเวลา ทำให้ดวงเนตรต้องเจอกับปัญหาเจ็ทแล็ก ขาดวงเนตรเหมือน
ลอย ๆ ขณะที่พี่พลไขกุญแจให้ ดวงเนตรยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจากไป...พี่พลพูดว่าจะแวะมาใหม่ เธอลากกระเป๋าเข้ามาแล้วล็อกห้อง ดื่มน้ำ
ล้มตัวลงนอนแล้วหลับสนิท นั้นคือความจำที่นึกได้หลังจากการหลับยาวสามวันเพราะอาการเจ็ทแล็ก
กาแฟช่วยให้ดวงเนตรรู้สึกดีขึ้น เธอเดินออกมาจากห้องซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของหอพัก มาหยุดที่สนามด้านหน้า ก้มมองหญ้าที่เขียวขจีก่อนนั่งลง
ในท่าชันเข่า มือรวมขาสองข้างไว้ชิดอก ท่านั่งแบบนี้บอกถึงความเหงาของสาวน้อยที่เคว้งคว้างดั่งใบไม้ร่วง ดวงเนตรส่งสายตามองออกไปไกลลิบ
เห็นต้นไม้น้อยใหญ่มากมายขึ้นรอบ ๆ มหาวิทยาลัย ติดกับที่เธอนั่งมีกอดอกแดฟโฟดิลกอใหญ่ ส่งกลิ่นหอมอ่อน
“สวยเหลือเกิน หน้าตาเหมือนกล้วยไม้พันธุ์แคทลียา”
ดวงเนตรคิดว่ามันน่าจะปลูกจากหัวหรือเหง้า พอหิมะละลายลง อากาศอุ่นขึ้นดอกไม้เหล่านี้ก็คงแทงยอดอ่อนขึ้นมา ออกดอกเรียงรายอย่าง
สวยงาม กลีบดอกของมันขาวนวล กลางดอกเป็นเหมือนรูปกรวยสีเหลืองอ่อน ธรรมชาติช่างสร้างความงดงามให้กับโลกใบนี้ได้อย่างลงตัว แต่พวกเรา
กลับทำร้ายธรรมชาติอย่างเลือดเย็น
แว่วเสียงฝีเท้าเดินตรงมาหาเธอ ดวงเนตรเอียงตัวไปมองดู ผู้หญิงร่างสูงอวบ ผมสลวยเป็นลอนใหญ่สีทองประกายแดงปล่อยยาว หน้าตาฝรั่ง
ครั้งแรกที่มองเข้าใจเอาเองว่าเป็นอเมริกันคงเป็นเจ้าหน้าที่หอพัก ดวงเนตรยิ้มให้ก่อน เธอยิ้มตอบและยกมือทักทาย
“Hello!” ผู้มาใหม่ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ดวงเนตรและยื่นมือมาเชกแฮนด์ ต่างคนต่างถามชื่อและที่มาที่ไป ซินดี้เป็นนักศึกษาใหม่มาจากโคลัม
เบีย
“รู้ไหมหอพักสี่ชั้นมีพวกเราอยู่กันแค่สามคน...นั่นไงอีกคนมาแล้ว” คนใหม่ผิวสีเข้มกว่าซินดี้ ตาโตหน้าคม ผมเธอปล่อยยาวถึงกลางหลัง
“Hello! I am Judy, and you?”
“I am Duangnet.” การทักทายเรียบง่ายสำหรับเด็กต่างชาติที่เพิ่งมาถึง แนะนำตัวกันเรียบร้อยสำเนียงตามสัญชาติของแต่ละคน จูดี้เป็นชาวเม็กซิโก จูดี้พูดขึ้น
“เราไปกินแฮมเบอร์เกอร์กันเถอะ”
“ที่ไหนล่ะ” ดวงเนตรถาม เธอชี้มือไปไกลแต่พอมองเห็นว่าอีกฝั่งด้านนอกมหาวิทยาลัยมีร้านค้าตั้งอยู่เป็นแนว ทั้งหมดเดินไปคุยไปทั้งพยายาม
ใช้ศัพท์และภาษามือช่วย...เล่นเอาเหนื่อย
แมคโดนัลด์คืออาหารอีกมื้อ ซินดี้มองนาฬิกา “โอ้! พระเจ้า นี่มันเกือบสองทุ่มแล้วนะ”
“ถึงว่าฉันรู้สึกหิวจัง” จูดี้พูดต่อ ขณะที่สามสาวมาถึงในร้านคนไม่มากนัก เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน และใกล้เวลาปิดร้าน...สามทุ่ม ทั้งสามสาว
ก้มมองนาฬิกามันเกือบจะสองทุ่มครึ่งแล้ว สั่งอาหารไปสิบนาที แฮมเบอร์เกอร์ก็วางรอในถาด
“ลงมือกันเถอะ” เสียงจูดี้เอ่ยชวน ดวงเนตรหยิบเบอร์เกอร์ขึ้นมาช้า ๆ เพราะไม่เคยกินแถมมันก็ใหญ่มาก ตอนเดินไปเอาซอสและกระดาษเช็ด
ปากซึ่งวางไว้กลางร้าน มองจนทั่วก็ไม่มีด ช้อน – ส้อม
“แล้วจะกินอย่างไรนี้” ดวงเนตรเอ่ยขึ้น
“เอาเถอะฉันจะกินให้ดู” ซินดี้พูด และต่อท้ายอีกว่า
“ประเทศเธอไม่กินพวกนี้เหรอ? ” ไม่รอคำตอบเธอแกะห่อแล้วม้วนกระดาษไว้ตรงส่วนล่างของเบอร์เกอร์ ซินดี้อ้าปากกว้างแล้วกินดูน่าอร่อย
ดวงเนตรทำตาม ค่อนข้างแย่ในคำแรก ครู่เดียวก็เข้าท่าขึ้น ทั้งสามสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกันเพราะมันเปรอะมุมปากดวงเนตร จูดี้ส่งกระดาษเช็ดปากให้
“ปากเธอเปื้อนมายองเนสหมดแล้ว”
“อิ่มจัง” ซินดี้เอ่ยขึ้น ทุกคนตบท้ายด้วยน้ำอัดลม
“เล่าให้เราสองคนฟังได้แล้วว่าบ้านเธอกินอะไร?”
“ข้าว, ผัดผัก, แกง หลายอย่างเลยล่ะทุกมื้อ” ดวงเนตรตอบ ทั้งสองทำท่านึกตาม สุดท้ายก็ส่ายหน้า แต่แล้วซินดี้ก็ถึงบางอ้อก่อน
“จำได้แล้ว ลุงฉันเคยพาครอบครัวเราไปกินอาหารไทย มันเผ็ดแต่อร่อยมากเลย” จูดี้ยังงง!กับคำตอบของซินดี้ เธอเลยต้องขยายความว่า
อาหารไทยดังติดอันดับน้อง ๆ อาหารจีนเลยและแพงด้วย
สามสาวเดินกลับมาที่หอพักอากาศข้างนอกเริ่มเย็น ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วเพื่อนทั้งสองมาส่ง ถึงห้อง
“ราตรีสวัสดิ์แล้วเจอกันนะ” ดวงเนตรยิ้มและพยักหน้า
เธอไปล้างหน้าแปรงฟัน ไม่ลืมที่จะหยิบกระติกน้ำซึ่งใส่ได้ทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อน น้ำดื่มที่นี่ไม่ต้องซื้อกิน ถ้าอยากดื่มน้ำเย็นก็หมุนก๊อกไปทาง
ซ้าย ถ้าจะเอาน้ำร้อนก็หมุนขวา ของที่อยู่ในตู้หยอดเหรียญส่วนใหญ่เป็นน้ำผลไม้ ระบบประปาที่นี่ดีมาก เขามีการนำน้ำไปตรวจเช็กเป็นระยะ เพื่อให้
ความมั่นใจกับผู้บริโภค
ดวงเนตรเปลี่ยนใส่ชุดนอนเนื้อหนาเพราะดึกหน่อยอากาศจะเย็น เธอคลี่โปสเตอร์ที่เอามาจากเมืองไทย มันเป็นรูปต้นเมเปิลหลายต้นสลับกับ
แนวสน ต้นเมเปิลในรูปมีหลากสี ล่างสุดของโปสเตอร์เขียนว่า fall...ฤดูใบไม้ร่วง หลังเปลี่ยนสี มันจะร่วงจนหมดเลย เหลือเพียงกิ่งแห้ง ๆ ตลอดฤดูกาล
แต่อากาศที่ค่อย ๆ เปลี่ยนมีผลกับสีของใบไม้ ใบไม้จะเปลี่ยนสีคละกันดูสวยงาม มีทั้งสีเหลืองอ่อน น้ำตาล น้ำตาลเข้ม สีแดงสด และสีแดงเข้ม
แล้วต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะทิ้งใบร่วงลงสู่พื้นดิน
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (5)...ชีวิตที่เปลี่ยนไป
ความคิดเกี่ยวกับเรื่องข้างต้น สะดุดเป็นช่วง ๆ ทุกครั้งที่เครื่องบินปะทะกับลมแรง เครื่องบินเล็กบินไม่สูงเท่าเครื่องใหญ่ แต่ลมแรงมาก
และเครื่องจะแกว่งตัวเป็นระยะตลอด ดวงเนตรอัญเชิญพระทุกองค์ที่รู้จักมาขึ้นเครื่องพร้อมกันหมด ประมาณสามสิบนาทีเครื่องก็ลงจอดที่ลานสนาม
หญ้าโดยปลอดภัย ดวงเนตรกลืนน้ำลายพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก เจอรี่เห็นอาการเหล่านั้นแล้วหัวเราะเบา ๆ ดวงเนตรค้อนให้วงใหญ่แบบ
ไม่เกรงใจ
เครื่องลงจอดบนสนามหญ้ากว้างเกือบสองเท่าของสนามฟุตบอล ไม่มีตัวสนามบิน มองเห็นเพียงอาคารสำนักงานตั้งอยู่ไกลออกไปติดกับ
ขอบถนน คุณลุงเจอรี่ของดวงเนตรถือกระเป๋าอยู่เหมือนรอใคร ดวงเนตรตรงไปเอากระเป๋าใบใหญ่สองใบของเธอ วางมันไว้แล้วเดินไปหาดอกเตอร์
เจอรี่ถามว่ามีรถแท็กซี่เข้าไปที่มหาวิทยาลัยไหม เขาส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่รถของมหาวิทยาลัยที่มารับเขา เจอรี่พูดช้าและชัดว่าจะให้คนขับไปส่ง
เธอที่แผนกนักศึกษานานาชาติก่อน เธอกล่าวขอบคุณ “คงลืมอาการค้อนที่ส่งให้เจอรี่ไปแล้ว แปลกเพราะผู้หญิงที่นี้เขาไม่ทำกัน” เจอรี่คิด
รถขับผ่านเนินเขาและทุ่งหญ้าเขียวขจี ท้องฟ้าเป็นสีสวยสดใสสว่าง ดวงเนตรเริ่มมองเห็นอาคารต่าง ๆ เดาว่าน่าจะเข้าเขตมหาวิทยาลัยแล้ว
รถเลี้ยวซ้ายเข้าสู่อาคารไม้สองชั้นซึ่งดัดแปลงมาจากบ้านเก่า ทำเป็นแผนกนักศึกษานานาชาติ (International Department) ดวงเนตรรออยู่รถเมื่อ
รถจอดหน้าแผนก
ดอกเตอร์เจอรี่เข้าไปได้ครู่เดียวก็เดินออกมาพร้อมหญิงผิวดำ เธอใส่ชุดลายดอกเขียวแดง ร่างสูงไล่ ๆ กับเขา ผมดำหยิกฟู เดินมาพร้อมยิ้ม
เห็นฟันขาวก่อนที่จะเอ่ย
”สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซูซาน”
“พูดไทยได้หรือคะ” ดวงเนตรแทบกระโดดด้วยความดีใจขณะตั้งคำถาม ซูซานตอบ
“ได้นิดหน่อยค่ะ” เธอหันไปกล่าวขอบคุณดอกเตอร์เจอรี่ ดวงเนตรก็หันไปกล่าวคำขอบคุณ และกล่าวอำลา พร้อมรอยยิ้มสดใสซาบซึ้งในความ
ช่วยเหลือที่ได้รับ สบตาเพียงครู่ก็น้ำตารื่น เจอรี่มองเห็นสายตานั้นอย่างเข้าใจ เขารีบกล่าวคำลาแล้วเดินจากไป
กลิ่นอายและวัฒนธรรมใหม่ในอเมริกา ประเทศแห่งเสรีภาพ การพยายามอยู่ให้รอดไปถึงฝั่งฝันเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องเผชิญกับมันอย่าง
อดทน คำนี้เป็นคำที่เตี่ยใช้พูดกับดวงเนตรเสมอ ทุกครั้งที่เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก สองข้อของเตี่ยคือหนึ่งอดทน และ สองก้าว
เดินโดยไม่หยุดพัก โดยไม่มองไกลไปถึงปลายทาง แล้วลูกจะประสบความสำเร็จเอง เตี่ยเล่าความลำบากให้ดวงเนตรและน้อง ๆ ฟังเสมอ สมัยเตี่ย
ลำบากมาก นั่นคือคำที่ดวงเนตรมีไว้ให้เตี่ยใช้คนเดียว การบอกเล่าของเตี่ยเหมือนค้อนที่กระหน่ำตีเหล็กกล้าที่เผาไฟจนร้อนขึ้นมาเป็นดาบที่คมกริบ
แม้ดวงเนตรไม่ฉลาดเท่าน้อง ๆ แต่ความอดทนมากมายของเธอไม่เป็นรองใคร ความคิดหยุดลงเมื่อได้กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่ซูซานยกมาให้ เธอกล่าวขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะ” ดวงเนตรเดาว่าคงมีคนไทยสอนแน่ ๆ ดวงเนตรดีใจที่ซูซานพูดภาษาไทยมันช่วยให้ฝั่งฟ้าที่กว้างไกลแคบลง ซูซานแจ้งให้เธอ
รู้ว่ากำลังมีหัวหน้านักเรียนไทยมารับไปส่งที่หอพัก รอยยิ้มของเธอให้ความรู้สึกที่ดีกับนักเรียนที่มาใหม่ทุกคน
ขณะรออยู่ดวงเนตรจ้องมองภาพสีน้ำที่แขวนอยู่กับผนังข้างโต๊ะทำงานของซูซาน ผู้วาดใช้สีนุ่มกลมกลืนได้อารมณ์มากมาย ภาพปุยหิมะที่
ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงสู่พื้นเป็นหย่อม สีขาวตัดกับสีเขียวของแนวสน(evergreen) ปลายของต้นสนแกว่งตัวตามแรงลมหนาว เห็นบ้านหลังเล็กทาสีน้ำตาลอ่อน
ควันไฟออกมาจากปล่องไฟ บ้านหลังเล็กตั้งใกล้เนินเขา ตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ดวงเนตรมองดูแล้วรู้สึกเหงาเหลือเกิน ทั้งยังหนาวเหน็บจับหัวใจ
ทำให้น้ำตาไหลเปรอะหน้าสวยของหญิงสาว เธอรีบปาดออกอย่างรวดเร็ว แต่ไม่พ้นการมองเห็นของซูซานซึ่งเข้ามาโอบไหล่ดวงเนตรไว้หลวม ๆ ถึง
ซูซานจะเคยเห็นลักษณะแบบนี้บ่อย แต่ทุกครั้งก็ใจเหี่ยวไปกับนักศึกษาใหม่ทุกคน รูปภาพนี้หลายคนในออฟฟิศพูดบ่อย ๆ ว่ายิ่งดูยิ่งเหงาโดยเฉพาะนักศึกษาใหม่ มันเหงาแบบสุดขั้ว
ซูซานพูดให้ดวงเนตรฟัง
”ต้องอดทน สู้เดินทางมาไกลขนาดนี้ต้องทำให้ได้ดังใจฝัน ผ่านไปสักสองเดือนก็ดีเองนะ” พูดจบประตูออฟฟิศก็เปิดออก
หนุ่มไทยรูปร่างสูง ผิวเข้ม หน้าตาเรียบ ๆ เข้ามาเชกแฮนด์และทักทายซูซานด้วยรอยยิ้ม พลางหันมาทางดวงเนตร เธอรีบยกมือสวัสดีและ
แนะนำตัวเอง พี่ที่มารับชื่อชูพล เขาให้ดวงเนตรเรียก
“เรียกพี่พลก็ได้ครับ” แล้วเขาก็กล่าวลา ซูซาน ดวงเนตรอำลาพร้อมไหว้อย่างสวย พี่พลช่วยยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นไว้ท้ายรถเรียบร้อยแล้ว
รถขับผ่านเข้ามาในตัวมหาวิทยาลัย ภายในแคมปัสมีตึกหลายตึกตั้งเป็นหย่อม ๆ จากใจกลางออกมาเป็นหอพักชายและหญิงซึ่งแยกกันและแล้ว
พี่พลก็มาจอดอยู่หน้าตึกซึ่งดูจากภายนอกค่อนข้างเก่า แต่ภายในแต่งไว้น่าอยู่ มันเป็นหอพักเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น
พี่พลพามาลงทะเบียนและจ่ายค่ามัดจำ พอได้กุญแจ เขาก็ช่วยเอากระเป๋ามาส่งถึงหน้าห้อง ในช่วงที่เดินมาพี่พลอธิบายหลายอย่างซึ่งดวงเนตร
ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล กับช่วงต่างของเวลา ทำให้ดวงเนตรต้องเจอกับปัญหาเจ็ทแล็ก ขาดวงเนตรเหมือน
ลอย ๆ ขณะที่พี่พลไขกุญแจให้ ดวงเนตรยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจากไป...พี่พลพูดว่าจะแวะมาใหม่ เธอลากกระเป๋าเข้ามาแล้วล็อกห้อง ดื่มน้ำ
ล้มตัวลงนอนแล้วหลับสนิท นั้นคือความจำที่นึกได้หลังจากการหลับยาวสามวันเพราะอาการเจ็ทแล็ก
กาแฟช่วยให้ดวงเนตรรู้สึกดีขึ้น เธอเดินออกมาจากห้องซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของหอพัก มาหยุดที่สนามด้านหน้า ก้มมองหญ้าที่เขียวขจีก่อนนั่งลง
ในท่าชันเข่า มือรวมขาสองข้างไว้ชิดอก ท่านั่งแบบนี้บอกถึงความเหงาของสาวน้อยที่เคว้งคว้างดั่งใบไม้ร่วง ดวงเนตรส่งสายตามองออกไปไกลลิบ
เห็นต้นไม้น้อยใหญ่มากมายขึ้นรอบ ๆ มหาวิทยาลัย ติดกับที่เธอนั่งมีกอดอกแดฟโฟดิลกอใหญ่ ส่งกลิ่นหอมอ่อน
“สวยเหลือเกิน หน้าตาเหมือนกล้วยไม้พันธุ์แคทลียา”
ดวงเนตรคิดว่ามันน่าจะปลูกจากหัวหรือเหง้า พอหิมะละลายลง อากาศอุ่นขึ้นดอกไม้เหล่านี้ก็คงแทงยอดอ่อนขึ้นมา ออกดอกเรียงรายอย่าง
สวยงาม กลีบดอกของมันขาวนวล กลางดอกเป็นเหมือนรูปกรวยสีเหลืองอ่อน ธรรมชาติช่างสร้างความงดงามให้กับโลกใบนี้ได้อย่างลงตัว แต่พวกเรา
กลับทำร้ายธรรมชาติอย่างเลือดเย็น
แว่วเสียงฝีเท้าเดินตรงมาหาเธอ ดวงเนตรเอียงตัวไปมองดู ผู้หญิงร่างสูงอวบ ผมสลวยเป็นลอนใหญ่สีทองประกายแดงปล่อยยาว หน้าตาฝรั่ง
ครั้งแรกที่มองเข้าใจเอาเองว่าเป็นอเมริกันคงเป็นเจ้าหน้าที่หอพัก ดวงเนตรยิ้มให้ก่อน เธอยิ้มตอบและยกมือทักทาย
“Hello!” ผู้มาใหม่ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ดวงเนตรและยื่นมือมาเชกแฮนด์ ต่างคนต่างถามชื่อและที่มาที่ไป ซินดี้เป็นนักศึกษาใหม่มาจากโคลัม
เบีย
“รู้ไหมหอพักสี่ชั้นมีพวกเราอยู่กันแค่สามคน...นั่นไงอีกคนมาแล้ว” คนใหม่ผิวสีเข้มกว่าซินดี้ ตาโตหน้าคม ผมเธอปล่อยยาวถึงกลางหลัง
“Hello! I am Judy, and you?”
“I am Duangnet.” การทักทายเรียบง่ายสำหรับเด็กต่างชาติที่เพิ่งมาถึง แนะนำตัวกันเรียบร้อยสำเนียงตามสัญชาติของแต่ละคน จูดี้เป็นชาวเม็กซิโก จูดี้พูดขึ้น
“เราไปกินแฮมเบอร์เกอร์กันเถอะ”
“ที่ไหนล่ะ” ดวงเนตรถาม เธอชี้มือไปไกลแต่พอมองเห็นว่าอีกฝั่งด้านนอกมหาวิทยาลัยมีร้านค้าตั้งอยู่เป็นแนว ทั้งหมดเดินไปคุยไปทั้งพยายาม
ใช้ศัพท์และภาษามือช่วย...เล่นเอาเหนื่อย
แมคโดนัลด์คืออาหารอีกมื้อ ซินดี้มองนาฬิกา “โอ้! พระเจ้า นี่มันเกือบสองทุ่มแล้วนะ”
“ถึงว่าฉันรู้สึกหิวจัง” จูดี้พูดต่อ ขณะที่สามสาวมาถึงในร้านคนไม่มากนัก เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน และใกล้เวลาปิดร้าน...สามทุ่ม ทั้งสามสาว
ก้มมองนาฬิกามันเกือบจะสองทุ่มครึ่งแล้ว สั่งอาหารไปสิบนาที แฮมเบอร์เกอร์ก็วางรอในถาด
“ลงมือกันเถอะ” เสียงจูดี้เอ่ยชวน ดวงเนตรหยิบเบอร์เกอร์ขึ้นมาช้า ๆ เพราะไม่เคยกินแถมมันก็ใหญ่มาก ตอนเดินไปเอาซอสและกระดาษเช็ด
ปากซึ่งวางไว้กลางร้าน มองจนทั่วก็ไม่มีด ช้อน – ส้อม
“แล้วจะกินอย่างไรนี้” ดวงเนตรเอ่ยขึ้น
“เอาเถอะฉันจะกินให้ดู” ซินดี้พูด และต่อท้ายอีกว่า
“ประเทศเธอไม่กินพวกนี้เหรอ? ” ไม่รอคำตอบเธอแกะห่อแล้วม้วนกระดาษไว้ตรงส่วนล่างของเบอร์เกอร์ ซินดี้อ้าปากกว้างแล้วกินดูน่าอร่อย
ดวงเนตรทำตาม ค่อนข้างแย่ในคำแรก ครู่เดียวก็เข้าท่าขึ้น ทั้งสามสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกันเพราะมันเปรอะมุมปากดวงเนตร จูดี้ส่งกระดาษเช็ดปากให้
“ปากเธอเปื้อนมายองเนสหมดแล้ว”
“อิ่มจัง” ซินดี้เอ่ยขึ้น ทุกคนตบท้ายด้วยน้ำอัดลม
“เล่าให้เราสองคนฟังได้แล้วว่าบ้านเธอกินอะไร?”
“ข้าว, ผัดผัก, แกง หลายอย่างเลยล่ะทุกมื้อ” ดวงเนตรตอบ ทั้งสองทำท่านึกตาม สุดท้ายก็ส่ายหน้า แต่แล้วซินดี้ก็ถึงบางอ้อก่อน
“จำได้แล้ว ลุงฉันเคยพาครอบครัวเราไปกินอาหารไทย มันเผ็ดแต่อร่อยมากเลย” จูดี้ยังงง!กับคำตอบของซินดี้ เธอเลยต้องขยายความว่า
อาหารไทยดังติดอันดับน้อง ๆ อาหารจีนเลยและแพงด้วย
สามสาวเดินกลับมาที่หอพักอากาศข้างนอกเริ่มเย็น ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วเพื่อนทั้งสองมาส่ง ถึงห้อง
“ราตรีสวัสดิ์แล้วเจอกันนะ” ดวงเนตรยิ้มและพยักหน้า
เธอไปล้างหน้าแปรงฟัน ไม่ลืมที่จะหยิบกระติกน้ำซึ่งใส่ได้ทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อน น้ำดื่มที่นี่ไม่ต้องซื้อกิน ถ้าอยากดื่มน้ำเย็นก็หมุนก๊อกไปทาง
ซ้าย ถ้าจะเอาน้ำร้อนก็หมุนขวา ของที่อยู่ในตู้หยอดเหรียญส่วนใหญ่เป็นน้ำผลไม้ ระบบประปาที่นี่ดีมาก เขามีการนำน้ำไปตรวจเช็กเป็นระยะ เพื่อให้
ความมั่นใจกับผู้บริโภค
ดวงเนตรเปลี่ยนใส่ชุดนอนเนื้อหนาเพราะดึกหน่อยอากาศจะเย็น เธอคลี่โปสเตอร์ที่เอามาจากเมืองไทย มันเป็นรูปต้นเมเปิลหลายต้นสลับกับ
แนวสน ต้นเมเปิลในรูปมีหลากสี ล่างสุดของโปสเตอร์เขียนว่า fall...ฤดูใบไม้ร่วง หลังเปลี่ยนสี มันจะร่วงจนหมดเลย เหลือเพียงกิ่งแห้ง ๆ ตลอดฤดูกาล
แต่อากาศที่ค่อย ๆ เปลี่ยนมีผลกับสีของใบไม้ ใบไม้จะเปลี่ยนสีคละกันดูสวยงาม มีทั้งสีเหลืองอ่อน น้ำตาล น้ำตาลเข้ม สีแดงสด และสีแดงเข้ม
แล้วต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะทิ้งใบร่วงลงสู่พื้นดิน