หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (2)...โค้งขอบฟ้า

กระทู้คำถาม
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (2)...โค้งขอบฟ้า
           
            “นี่ถ้าเป็นตาสีตาสาบ้านเรา เอาเงินมาแจกแป๊บเดียวเรื่องก็เงียบไปเอง บ้านเราพยายามปิดกั้นเรื่องความรู้ เพราะถ้าคนรู้มากคิดเป็นก็
ครอบงำยาก” หมอไฉไลเอ่ย หมอคงจากบ้านมานาน ตาสีตาสาเดี๋ยวนี้ก็รวมตัวกันเป็นชุมชนเข้มแข็งหรือสหกรณ์ ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่นั่นแหละ
นักการเมืองขี้ฉ้อยังเต็มเมือง หมอแล้วเห็นเงียบ ๆ อย่างนี้ ก็พริกขี้หนูสวนเราดี ๆ นี่เองนะ...สาวน้อยคิด   
            คำพูดของหมอทำให้ดวงเนตรหวนนึกถึงกลุ่มเพื่อนที่จบปริญญาตรีมาด้วยกันและแยกย้ายกันไปตามทางของใครของมัน เกือบทุกคนหัวหัวรุน
แรงพอตัวด้วยวัยที่ยังคะนอง
 
            ทุ่งข้าวสีทองที่เห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลจากสนามบินนาริตะ สายตาที่ทอดมองออกไปไกลกับความคิดที่วิ่งไปมาดุจแสงเลเซอร์
            หมอไฉไลเห็นดวงเนตรเพลินอยู่กับทุ่งข้าว  เธอเดินถอยมานั่งที่เก้าอี้หาหนังสือเล่มโปรด ดวงเนตรหันกลับมามองคุณหมอไฉไลซึ่งกำลังอ่านหนังสือเล่มเล็กเพลินอยู่ หมายตาที่ซึ่งหมอนั่งไว้เพื่อจะได้ไม่หลง
            ก้าวเดินช้า ๆ มองไปรอบตัว มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอใช้คำว่าพลัดที่นาคาที่อยู่เป็นครั้งแรก ฝีเท้าที่ก้าวเดิน  คิดถึงยามเยาว์วัย...ช่วงที่
ดวงเนตรย่างเข้าวัยรุ่นเธอก็หาเหตุไปเรียนที่เชียงใหม่ จนจบมัธยมปลายและเข้ามหาวิทยาลัย นั้นเป็นก้าวแรกที่ห่างบ้าน มันไม่เหมือนกันกับการข้ามไป
อยู่อีกปลายฟ้าหนึ่งเช่นขณะนี้
            ชีวิตวนเวียนอยู่ที่เชียงใหม่หกปี จนจบปริญญาตรี หลังเรียนจบดวงเนตรเลือกไปทำงานที่กรุงเทพอยู่สองปี แล้วก็ติดปีกอำลาเมืองไทย มันเป็น
การจากบ้านไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง เธอเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง แต่พอมาเจออะไรมากมายขณะเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก ความมั่นใจดูหายไป
หมด สาวน้อยก้าวเดินพลางดูร้านค้าปลอดภาษีหรือดิวตี้ฟรีอยู่ เห็นป้ายโฆษณาน้ำหอมขนาดใหญ่ พอก้าวเข้าใกล้เกือบทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น ชาตินิยมจริง ๆ ระเบียบวินัยเป็นเยี่ยม ขนาดตัวสนามบินยังตกแต่งแบบประเพณีนิยม  และบ่งชี้ถึงความเป็นตัวตนของชาติอย่างชัดเจน เลยจาก
คำโฆษณามาหน่อยเป็นหนุ่มสุดฮอตพระเอกหนังของดวงเนตรนั้นเอง ทำท่าเก๊กหล่อ จนเธอเกือบกรี๊ดและเก็บอาการไม่อยู่
            “คนอะไรหล่อไม่ติดเบรกเลย  รู้งี้มาเรียนต่อที่นี่ดีกว่า...ใกล้ด้วย” เสียงพึมพำกับตัวเอง 
 

            เครื่องขึ้นจากนาริตะปลายทางที่ชิคาโก คราวนี้บินข้ามแปซิฟิกประมาณสิบหกชั่วโมง ดวงเนตรหลับตาลงขณะเครื่องทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง  
            คิดถึงภาพสุดท้ายที่เตี่ย-แม่กอดเธอไว้แน่น  เธอผละจากอ้อมอกอันอบอุ่น โผเข้ากอดน้องทุกคนก่อนสั่งด้วยความเคยชินสำเนียงเจ๊ใหญ่
            “ทำตัวดี ๆ และดูแลตัวเองด้วยนะ”
           
             เหตุผลที่ดวงเนตรเลือกมาเรียนต่อที่นี่เพราะเตี่ยถาม หลังจากเห็นเธอทำงานในกรุงเทพอย่างสนุกสนาน ที่ถามคงกลัวลูกสาวลืมว่าเคยพูดกับ
เตี่ยเรื่องเรียนต่อ เพราะเตี่ยจะบอกพวกเราเสมอว่าเตี่ยไม่มีทรัพย์มากมายไว้ให้ แต่ถ้าใครอยากเรียนหนังสือเท่าไรเท่ากันเตี่ยจะส่งให้เรียนถึงที่สุด
ญาติทางเตี่ยชอบพูดกรอกหูว่า “ให้มันเรียนอะไรมากมาย เป็นผู้หญิง เดี๋ยวก็แต่งออกไปใช้แซ่อื่น” “เอาล่ะ ๆ ลื้อไม่เกี่ยว อั๊วรักลูกทุกคนทั้งหญิงและชาย”
            เตี่ยเป็นคนพูดน้อยเมื่อเอ่ยปากแล้วเป็นอันจบ เหตุผลแรกคือเหตุผลของเตี่ยกับเหตุผลของดวงเนตรที่ปรารถนาจะโผบินดั่งนกนางนวลขึ้นสู่
ฟากฟ้า การโหยหาอิสรภาพ และความเป็นตัวตนของตัวเอง ดวงเนตรไม่ได้ถูกขัง แต่ภาระที่หนักมาแต่น้อยจนโตทุกก้าวเป็นไปอย่างระมัดระวังเพราะ
ทุกสายตาของน้อง ๆ เฝ้ามองอยู่ มันเป็นจิตสำนึกที่เตี่ยปลูกฝังไว้ให้ตั้งแต่เล็ก ด้วยความรู้สึกและหน้าที่จากวัยเด็กจึงก้าวข้ามเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ บางส่วน
ของชีวิตที่ขาดหายไป ทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรกลวง ๆ ในท้อง มันไม่เคยเติมเต็มได้เลย
            ทุกครั้งที่เตี่ยเข้ามาจ่ายบัญชีที่กรุงเทพ เตี่ยจะโทรนัดเธอมาพบหลังเลิกงาน ถามไถ่ด้วยความรัก
และเป็นห่วง ดวงเนตรรู้สึกได้เป็นอย่างดี  เตี่ยเป็นคนพูดสั้นเข้าประเด็นและจบ สายตาภาคภูมิใจของเตี่ยเป็นกำลังใจที่สำคัญของเธอเสมอมา สำหรับแม่...แม้จะไม่มีบทบาทมากนัก เพราะแม่จะเป็นคนเฉยเอามาก ๆ แต่ช่วงที่ดวงเนตรเข้าสู่วัยรุ่น และความรับผิดชอบอันมากมาย ทั้งการเรียนในมหาวิทยา
ลัยและภาระดูแลน้อง ตักแม่คือที่นอนหนุนและร้องไห้บ่อยครั้ง แม่เป็นคนใจแข็งไม่เคยเห็นแม้แต่น้ำตา เวลาอัดอั้นตันใจดวงเนตรจะร้องไห้สะอึกสะอื้น
กับแม่ เธอไม่กล้าร้องไห้ให้เตี่ยเห็นเพราะทั้งคู่เป็นสำเนาฉบับเดียวกัน เพียงดวงเนตรน้ำตาซึม เตี่ยจะเข้ามาโอบแล้วทั้งสองคนก็จะร้องไห้พร้อมกัน
‘ฉันต้องทนกับความห่างไกลและความคิดถึงไปอีกนานไหมนะ’ คำถามอยู่ในใจของเธอ
            
            ดวงเนตรหลับตาลงปลดปล่อยความคิด และความสับสนออกจากหัวสมองแล้วหลับ กว่าหนึ่งชั่วโมงของการเดินทางอีกครั้ง เแอร์โฮสเตสเริ่มเสิร์ฟอาหาร  ครั้งที่เท่าไรเธอไม่ได้ใส่ใจ...รู้แต่ว่ากินอิ่มแล้วก็หลับต่อ ดวงเนตรคิดว่ากว่าจะถึงปลายทางก้นคงขยายเท่าฝาโอ่งแน่ คุณหมอไฉไลหันมาบ่น
            “อิจฉาจัง กินอิ่มก็หลับเลย ท่าจะเลี้ยงง่ายนะจ๊ะ” คำบ่นไม่รู้หมอแอบสอดคำประชดแถมมาด้วยรึเปล่า
            “ไอ้เราพอเริ่มมีอายุนั่งไกล ๆ แบบนี้ ขยับท่าไหนก็ไม่สบาย”  หมอไฉไลบ่นต่อ ตามมาด้วยเสียงถอนใจ
            “หนูก็ระบมไปทั้งตัวเหมือนกัน เพียงแต่ยาแก้เมาเครื่อง มันทำให้ง่วงตลอดค่ะ”ดวงเนตรปรือตาขึ้นพูด
            “เอ! ขอยาให้หมอซักเม็ดก็ดีจะได้หลับบ้างดีกว่า” ดวงเนตรส่งยาเม็ดเล็กสีเหลืองให้ ได้กินสักครู่หลับไปจริง ๆ แล้วทั้งคู่ก็นอนซบกันไปตลอดทาง จนถึงสนามบินชิคาโกโอแฮร์
 

            ความใหญ่โตของสนามบิน ติดอันดับหนึ่งในสิบของความยิ่งใหญ่ (ในเวลานั้น)  ก่อนออกเดินทางดวงเนตรค้นหาข้อมูลไว้มากมาย การหาข้อมูล
ยามนั้นแสนยากเย็น ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ให้ค้นคว้า ยามเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือความสับสนมึนไปหมด กับต่างที่ต่างถิ่นที่ใหญ่โต ต่าง
ภาษาที่ยากจะเข้าใจ การเที่ยวเดินหาช่องสายพานกระเป๋า ความกลัวทำให้ดวงเนตรรีบมองหาพี่ตัวเล็ก แต่ช้าไปหน่อยเธอหายไปจากสายตาเสียแล้ว
            “แหม ตอนนอนพิงไหล่ยังนึกว่าคงจะรอกันบ้าง หมอเล่นทิ้งดวงเนตรซะงั้น ไม่เป็นไรเราก็ศิษย์มีครู ไม่ต้องกลัว” ปลอบใจตัวเองและเดินไปถามที่เคาน์เตอร์ แล้วก็เป็นไปอย่างที่ดวงเนตรกลัวเพราะไม่มีฝ่ายใดฟังกันรู้เรื่องเลย เธอถอยหลังกลับมาทรุดตัวลง น้ำตาเริ่มล้นทำนบ
            “เดี๋ยว ๆ อย่าร้องไห้ พูดกันไม่รู้เรื่องล่ะสิ หมอมาใหม่ ๆ ก็อย่างนี้แหละ ดีว่าหมอปราโมทย์มารับแล้วกระเป๋าล่ะ” ดวงเนตรใจชื้นและดีใจที่เจอหมอไฉไล
            “ยังไม่ได้เลยค่ะ กำลังถามทางเขาก็พูดแต่ “what?”
            “เขาฟังสำเนียงกระเหรี่ยงอย่างเราไม่ออกนะสิ”
            ‘อ้าว! นี้เราได้สัญชาติใหม่ตั้งแต่เมื่อไรนะ’ คิดแล้วเดินจ้ำตามหมอติด ๆ
            “แหมตามซะติดเป็นตังเมเลยนะ  มานี่...มือเย็นเฉียบเลยตกใจละสิ” หมอจับมือดวงเนตร พอมาถึงรางรับกระเป๋า รางคงหมุนอยู่เพราะกระเป๋าติด
โบว์สีเขียวส้มยังอยู่ทั้งสองใบ
            “นั้นไงกระเป๋าหนู” ดวงเนตรเอ่ยอย่างดีใจ พอได้จังหวะก็คว้ากระเป๋าใบโตปลิวมาวางบนรถเข็น อีกใบตามมาในจังหวะไล่ ๆ กัน
            “นี่ไปหัดยกน้ำหนักที่ไหนมาฮึ! ”
            “มันเคยชินค่ะหมอ” พูดจบสาวน้อยก็ยิ้มหน้าบานใส่หมอ
            “เก่งให้ตลอดนะ เมื่อครู่ไม่รู้ใครทำท่าจะร้องไห้อยู่แล้ว” หมอตอกกลับ ดวงเนตรไม่ลืมยกมือไหว้ขอบคุณในความช่วยเหลือ 
            “เดี๋ยวก่อนขอพี่ดูตั๋วของหนูก่อน จะต้องไปต่อเข้าเซนต์หลุยส์ใช่ไหมจ๊ะ แล้วต่อสุดท้ายไปลงที่คาร์บอนเดล อิลลินอย  มาพี่จะไปถามที่เคาน์เตอร์ให้” เสียงคุณหมอพูดชัดเจนและคล่องด้วย นี่แหละที่หมอว่าอยู่ที่อินเดียนามาสิบห้าปีแล้ว ครู่หนึ่งหมอเดินมาหาดวงเนตร
            “หนูสายการบินในตั๋วเลิกกิจการไปเมื่อเดือนที่แล้วนะ ใครซื้อตั๋วให้จ๊ะ”  
            “เพื่อนสนิทกันน่ะค่ะ”
            “ดวงเนตร...หนูไม่รอบคอบเลย ที่นี้จะเอายังไงดี?” หน้าหญิงสาวเจื่อน ดูแล้วเหมือนคนหลงมาในแดนสนทยา ไม่รู้เหนือ-ใต้และไม่มีคำ
ตอบใด ๆ หลุดออกมาเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่