หากดูภูมิหลัง ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ คือ โปรเดอร์เซ่อร์ นักร้อง นักแต่งเพลง
เคยทำแบรนด์แฟชั่น และร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำมาก่อน
แต่เขา ไม่ใช่ดีไซเน่อร์โดยตรง แต่เหตุใด หลุยส์ วิตตอง จึงกล้าให้ตำแหน่งสำคัญ
ที่กำหนดทิศทางของแบรนด์ ซึ่งฉีกตำรา HR บ้านเรา พอสมควร ที่มักจะหาคนที่
ปริญญาตรงสาย ประสพการณ์ตรงสาย ยิ่งประสพการณ์มากในสายนั้นยิ่งดี
1.
เป็นคนที่เก่งด้านแนวคิด หรือการสร้างคอนเซ็บ
ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ ไม่ใช่ผู้ผลิต แต่เป็นผู้กำหนดคอนเซ็บให้ไอเดีย
ดังนั้น เขาไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญด้านการผลิต แต่ต้องสามารถให้แนวคิดที่ดีไซเน่อร์
และช่างตัดเย็บ สามารถทำให้เป็นจริงได้
เขาไม่มีวุฒิปริญญาด้านการออกแบบใดใด
2.
สามารถมองผลิตภัณฑ์จากมุมของผู้ใช้ เขาคือ ผู้สวมใส่ ต่างจากเหล่าดีไซเน่อร์
ที่เป็นผู้สร้าง แต่ไม่ใช่ผู้ใช้ เขาย่อมจะตีแผ่ demand จริงๆ ของผู้ใช้ออกมาได้
3.
มีเครือข่ายสังคมเป็นทรัพย์ในมือ การที่เขาเคยประสพความสำเร็จในฐานะนักร้อง
และโปรดิวเซ่อร์มาก่อน ได้รับรางวัลแกรมมี่มากมาย เขามีคอนเน็คชั่นในวงการบันเทิง
ที่สามารถติดต่อศิลปินที่ใช่มานำเสนอสินค้า
4.
เคยประสพความสำเร็จในการทำธุรกิจมาก่อน ซึ่งเดิมคือ สาขาดนตรี
มีแนวโน้มที่เขาจะสามารถทำให้ศิลปะ กลายสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากมีส่วนร่วม และยินดีจ่ายให้กับสิ่งนั้น
5.
เป็นคนมีอุดมการณ์ ฟาร์เรลล์ มีเมสเสจ ด้าน living for a purpose ชัดเจน ด้านความเท่าเทียมของเชื้อชาติ
ความหลากหลายทางเพศ รวมถึงมีแม่ที่สนใจทำกิจกรรมรักสิ่งแวดล้อม/ธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้หล่อหลอม ให้ LV ส่งผ่านคุณค่าที่มากกว่า
เป็นแค่เสื้อผ้า แต่เป็นสื่อทางศิลปะที่สื่อสารคอนเซ็บอันเลอค่า ออกมาได้ด้วย
6.
เขาไม่ใช่คนขาว ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ คือ อัฟริกันอเมริกัน
ผู้ใช้แฟชั่นแบรนด์เนม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก ชื่นชอบในศิลปะและมีเงิน กลุ่มที่สอง ซื้อเพราะต้องการสื่อสารฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ
เสื้อผ้า บ่งบอกชนชั้น ความสนใจ รายได้ แม้ว่าเราไม่อาจตัดสินทุกคนได้จากเสื้อผ้าก็ตาม
แต่เสื้อผ้าเครื่องประดับ ทำหน้าที่เหมือน หน้าปกหนังสือ ที่เราทำนายเนื้อหาได้ก่อนเปิดอ่าน
มีวรรณกรรมชื่อดังอย่าง Flowers for Mrs Harris
บอกเล่าเรื่องพวกนี้ เช่น แม่บ้าน ที่ฝันว่า สักวันจะได้ใส่ชุดดิออร์
เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ เจ้าของบริษัท เล่าว่า Christian Dior คือน้ำหอมที่แม่ของเขาชอบ
แบรนด์เนม คือ ความใฝ่ฝัน เมื่อหาเงินได้ ก็จับจ่าย เพื่อซื้อหาสิ่งที่ชื่นชอบ
สิ่งที่มีคุณภาพ ราคาสูง และวางตำแหน่งแบรนด์ไว้สูงกว่าสินค้าทั่วไป ที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้
การได้ครอบครองแบรนด์เนม คือ สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จที่ได้จากการต่อสู้
เพื่อเปลี่ยนชนชั้น วิถีชีวิต การเข้าสังคม โดยใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นพาหนะไปสู่แวดวงใหม่
สวมใส่เพื่อบอกสถานะ ตำแหน่ง ความสำเร็จ ความโดดเด่นทางสังคม และความเหนือระดับกว่าคนทั่วไป
ในวัฒนธรรมคนขาว หรือ ชาวยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แบรนด์เนมที่ได้รับความสนใจ คือ กลุ่ม มินิมอล
รักโลก กลุ่มที่สนใจคุณภาพ แฟชั่นหรูแบบเงียบ ๆ (Quiet Luxury) และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ตนต่างจากคนอื่น
ในวัฒนธรรมเอเชีย และอัฟริกัน เสื้อผ้าแบรนด์เนม คือ การสื่อสารด้านฐานะ ความสำเร็จ อำนาจ
ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น ตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจน และการได้รับรู้ประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้
ให้ได้อิสระจากการกดขี่ หรือ ชีวิตต้องเผชิญกับความด้อยโอกาส เช่น อยู่ในชั้นชั้นล่าง หรือ อยู่ในสังคมชนบท
โอกาสทางการศึกษาและช่องทางทำกินจะน้อยกว่า สังคมเมือง หรือ สังคมชนชั้นสูง เป็นต้น
7. เขาคือ Gen X ด้วยวัยเพียง 50 ต้นๆ สามารถคาดหวังได้ถึงประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านการเรียนรู้ทั้งโลกดิจิทัล
และเข้าใจเทรนด์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นวัยที่
ไม่ได้อ่อนประสพการณ์จนบริหารงานไม่ได้ และไม่อาวุโส จนขาดความยืดหยุ่นทางความคิด และขาดความคล่องตัว
ในการตอบสนองต่อสถานการณ์
การก้าวขึ้นเป็นผู้นำงานสร้างสรรค์ ของ ฟาร์เรลล์ จึงฉีกกรอบเดิมที่มักมองหาคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
แต่ตรงกับการวางอนาคตของแบรนด์ ในแง่ที่เขามีแนวโน้มที่จะนำเมสเสจใหม่ๆมาขึ้นหิ้ง หรือ สร้างการรับรู้ผ่านแบรนด์หรู
เขารู้วิธีการจัดกิจกรรมขยายฐานผู้ภักดีต่อแบรนด์ด้วยไอเดียที่กระตุ้นความสนใจกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก
ผสมผสานดีเอนเอทางดนตรีเข้ากับแฟชั่น เขาคือสะพานเชื่อมกลไกการสร้างสรรค์ของแบรนด์กับสังคมได้อย่างแน่นแฟ้น
LV ตั้ง ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ เป็น ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์: บทวิเคราะห์มุมมองกลยุทธ์ที่ซ่อนอยู่
เคยทำแบรนด์แฟชั่น และร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำมาก่อน
แต่เขา ไม่ใช่ดีไซเน่อร์โดยตรง แต่เหตุใด หลุยส์ วิตตอง จึงกล้าให้ตำแหน่งสำคัญ
ที่กำหนดทิศทางของแบรนด์ ซึ่งฉีกตำรา HR บ้านเรา พอสมควร ที่มักจะหาคนที่
ปริญญาตรงสาย ประสพการณ์ตรงสาย ยิ่งประสพการณ์มากในสายนั้นยิ่งดี
1. เป็นคนที่เก่งด้านแนวคิด หรือการสร้างคอนเซ็บ
ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ ไม่ใช่ผู้ผลิต แต่เป็นผู้กำหนดคอนเซ็บให้ไอเดีย
ดังนั้น เขาไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญด้านการผลิต แต่ต้องสามารถให้แนวคิดที่ดีไซเน่อร์
และช่างตัดเย็บ สามารถทำให้เป็นจริงได้
เขาไม่มีวุฒิปริญญาด้านการออกแบบใดใด
2. สามารถมองผลิตภัณฑ์จากมุมของผู้ใช้ เขาคือ ผู้สวมใส่ ต่างจากเหล่าดีไซเน่อร์
ที่เป็นผู้สร้าง แต่ไม่ใช่ผู้ใช้ เขาย่อมจะตีแผ่ demand จริงๆ ของผู้ใช้ออกมาได้
3. มีเครือข่ายสังคมเป็นทรัพย์ในมือ การที่เขาเคยประสพความสำเร็จในฐานะนักร้อง
และโปรดิวเซ่อร์มาก่อน ได้รับรางวัลแกรมมี่มากมาย เขามีคอนเน็คชั่นในวงการบันเทิง
ที่สามารถติดต่อศิลปินที่ใช่มานำเสนอสินค้า
4. เคยประสพความสำเร็จในการทำธุรกิจมาก่อน ซึ่งเดิมคือ สาขาดนตรี
มีแนวโน้มที่เขาจะสามารถทำให้ศิลปะ กลายสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากมีส่วนร่วม และยินดีจ่ายให้กับสิ่งนั้น
5. เป็นคนมีอุดมการณ์ ฟาร์เรลล์ มีเมสเสจ ด้าน living for a purpose ชัดเจน ด้านความเท่าเทียมของเชื้อชาติ
ความหลากหลายทางเพศ รวมถึงมีแม่ที่สนใจทำกิจกรรมรักสิ่งแวดล้อม/ธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้หล่อหลอม ให้ LV ส่งผ่านคุณค่าที่มากกว่า
เป็นแค่เสื้อผ้า แต่เป็นสื่อทางศิลปะที่สื่อสารคอนเซ็บอันเลอค่า ออกมาได้ด้วย
6. เขาไม่ใช่คนขาว ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ คือ อัฟริกันอเมริกัน
ผู้ใช้แฟชั่นแบรนด์เนม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก ชื่นชอบในศิลปะและมีเงิน กลุ่มที่สอง ซื้อเพราะต้องการสื่อสารฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ
เสื้อผ้า บ่งบอกชนชั้น ความสนใจ รายได้ แม้ว่าเราไม่อาจตัดสินทุกคนได้จากเสื้อผ้าก็ตาม
แต่เสื้อผ้าเครื่องประดับ ทำหน้าที่เหมือน หน้าปกหนังสือ ที่เราทำนายเนื้อหาได้ก่อนเปิดอ่าน
มีวรรณกรรมชื่อดังอย่าง Flowers for Mrs Harris
บอกเล่าเรื่องพวกนี้ เช่น แม่บ้าน ที่ฝันว่า สักวันจะได้ใส่ชุดดิออร์
เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ เจ้าของบริษัท เล่าว่า Christian Dior คือน้ำหอมที่แม่ของเขาชอบ
แบรนด์เนม คือ ความใฝ่ฝัน เมื่อหาเงินได้ ก็จับจ่าย เพื่อซื้อหาสิ่งที่ชื่นชอบ
สิ่งที่มีคุณภาพ ราคาสูง และวางตำแหน่งแบรนด์ไว้สูงกว่าสินค้าทั่วไป ที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้
การได้ครอบครองแบรนด์เนม คือ สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จที่ได้จากการต่อสู้
เพื่อเปลี่ยนชนชั้น วิถีชีวิต การเข้าสังคม โดยใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นพาหนะไปสู่แวดวงใหม่
สวมใส่เพื่อบอกสถานะ ตำแหน่ง ความสำเร็จ ความโดดเด่นทางสังคม และความเหนือระดับกว่าคนทั่วไป
ในวัฒนธรรมคนขาว หรือ ชาวยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แบรนด์เนมที่ได้รับความสนใจ คือ กลุ่ม มินิมอล
รักโลก กลุ่มที่สนใจคุณภาพ แฟชั่นหรูแบบเงียบ ๆ (Quiet Luxury) และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ตนต่างจากคนอื่น
ในวัฒนธรรมเอเชีย และอัฟริกัน เสื้อผ้าแบรนด์เนม คือ การสื่อสารด้านฐานะ ความสำเร็จ อำนาจ
ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น ตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจน และการได้รับรู้ประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้
ให้ได้อิสระจากการกดขี่ หรือ ชีวิตต้องเผชิญกับความด้อยโอกาส เช่น อยู่ในชั้นชั้นล่าง หรือ อยู่ในสังคมชนบท
โอกาสทางการศึกษาและช่องทางทำกินจะน้อยกว่า สังคมเมือง หรือ สังคมชนชั้นสูง เป็นต้น
7. เขาคือ Gen X ด้วยวัยเพียง 50 ต้นๆ สามารถคาดหวังได้ถึงประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านการเรียนรู้ทั้งโลกดิจิทัล
และเข้าใจเทรนด์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นวัยที่
ไม่ได้อ่อนประสพการณ์จนบริหารงานไม่ได้ และไม่อาวุโส จนขาดความยืดหยุ่นทางความคิด และขาดความคล่องตัว
ในการตอบสนองต่อสถานการณ์
การก้าวขึ้นเป็นผู้นำงานสร้างสรรค์ ของ ฟาร์เรลล์ จึงฉีกกรอบเดิมที่มักมองหาคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
แต่ตรงกับการวางอนาคตของแบรนด์ ในแง่ที่เขามีแนวโน้มที่จะนำเมสเสจใหม่ๆมาขึ้นหิ้ง หรือ สร้างการรับรู้ผ่านแบรนด์หรู
เขารู้วิธีการจัดกิจกรรมขยายฐานผู้ภักดีต่อแบรนด์ด้วยไอเดียที่กระตุ้นความสนใจกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก
ผสมผสานดีเอนเอทางดนตรีเข้ากับแฟชั่น เขาคือสะพานเชื่อมกลไกการสร้างสรรค์ของแบรนด์กับสังคมได้อย่างแน่นแฟ้น