พระสมเด็จ พิมพ์ 9 ชั้น วัดดักคะนน
พระสมเด็จวัดดักคะนน เป็นพระเครื่องในตระกูลพระสมเด็จที่หาได้ยากและเป็นที่ปรารถนาครอบครองของนักสะสมพระเครื่อง ชาวบ้านขนานนามว่า มีพระสมเด็จ “อยู่-ศุข” จะอยู่รอดปลอดภัย แคล้วคลาด เมตตามหานิยม... (หลังจากหลวงปู่อยู่จัดสร้างพระสมเด็จแล้ว ได้นำพระสมเด็จที่จัดสร้างใส่เรือพายมาจนถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ถวายให้หลวงปู่ศุข ปลุกเสกเป็นกรณีพิเศษ)
ประวัติ : วัดดักคะนน
อุโบสถเก่า (สมัยอู่ทอง)
วัดดักคะนน ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านดักคะนน หมู่ที่ 3 ตำบลธรรมามูล อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท (บนเนื้อที่ 85 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวา เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย) การสร้างวัด เดิมนั้นเป็นวัดที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา เรียกว่า "วัดชีตักคะนน" คำว่า"คะนน" หมายถึง หม้อน้ำที่ใช้ตักน้ำใส่ตุ่ม เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า ข้าวยากหมากแพง มีการต้อนเชลยศึก ผู้คนทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อหลบหนีภัยสงคราม และอพยพไปหาที่ทำกินแหล่งใหม่ ทำให้วัดนี้ได้กลายเป็นสภาพวัดร้าง ประมาณปี พ.ศ.2400 วัดชีดักคะนนจึงได้รับการบูรณะให้คืนสภาพเป็นวัดอีกครั้ง โดยมีหลวงปู่อยู่ เป็นผู้บุกเบิกร่วมกับชาวบ้านและได้เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก พร้อมทั้งได้เปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็น "วัดดงคะนน" จากนั้นมาจนถึงปี พ.ศ.2483 จากนั้นได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น "วัดดักคะนน" จนถึงปัจจุบัน และได้ทำการผูกพัทธสีมาในปี พ.ศ.2505 สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในอุโบสถสมัยอู่ทองและเจดีย์ (บริเวณกลางลานวัด) เป็นของเก่าอยู่คู่กับวัด
พระประธานในอุโบสถ
เจดีย์เก่าแก่ (สมัยอู่ทอง)
ประวัติ : หลวงปู่อยู่ วัดดักคะนน
หลวงปู่อยู่ (ติสสโร) เกิดปีพ.ศ. 2410 เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่คง วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม อาจารย์เดียวกับหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า เดิมครอบครัวท่านอยู่จังหวัดอ่างทอง เมื่อท่านเกิดโยมแม่ท่านได้เสียชีวิตลง โยมพ่อของท่านได้ย้ายมาปักหลัก อยู่ที่ หมู่บ้านตลุก จังหวัดชัยนาท ต่อมาโยมพ่อของท่านได้ภรรยาใหม่มีลูกทั้งหมด 7 คน หลวงปู่อยู่ท่านเป็นลูกชายคนโตที่ติดโยมพ่อมา เมื่อท่านอายุครบ 20 ปี (ปี พ.ศ.2430) ได้บวชอยู่กับ หลวงพ่ออ่ำ วัดตลุก จังหวัดชัยนาท (ปัจจุบันชื่อวัดอินทาราม) พระเกจิชื่อดัง ในยุคนั้นได้เรียนวิชามูลกัยจายน์ กับหลวงพ่ออ่ำจนจบ จากนั้นได้ไปเรียนต่อที่วัดสระเกศที่กรุงเทพฯ ถึง 8 ปี แล้วท่านจึงกลับไปอยู่กับหลวงพ่ออ่ำที่วัดตลุกอยู่หลายปี ในสมัยนั้นวัดดักคะนนไม่มีเจ้าอาวาส (พระสมุห์ชื้น) ซึ่งอยู่วัดดักคะนน เป็นผู้นิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส วัดดักคะนนแต่ท่านมาอยู่ วัดดักคะนน นั้นล้วนแต่มีอุปสรรค เพราะพระบางรูปกลั่นแกล้ง ท่านต่างๆ นาๆ แต่ท่านก็อดทนตลอดเวลาเพราะท่าถือว่าธรรมมะย่อมชนะอธรรมเสมอ
หลวงปู่อยู่ แห่งวัดดักคะนน เป็นพระผู้มีบารมีธรรมสูงส่งอีกทั้งเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์องค์หนึ่ง มีวิชาอาคมเก่งกล้า เมตตามหานิยม และคงกะพันชาตรีเป็นเลิศที่สุด นอกจากนี้ท่านยังเป็นสหายสนิทกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ทั้งสององค์ชาวบ้านที่ชัยนาท และจังหวัดใกล้เคียงต่างให้ความเคารพนับถือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลวงพ่อทั้งสองต่างเดินทางไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกัน และจากปากคำของคนเฒ่าคนแก่เล่าสืบมาว่า “หลวงปู่อยู่” ท่านเก่งถึงขนาดที่ใช้มือจับเหล็กสลักโบสถ์ที่ยังมีไฟแดงๆ อยู่แทนครีมคีบและตอกด้วยมือเปล่าๆ แทนค้อนได้ หลวงปู่อยู่ มรณะภาพ เมื่ออายุได้ 84 พรรษา (ประมาณปี พ.ศ. 2494)
ประวัติ : หลวงปู่ผล วัดดักคะนน
หลวงปู่ผล (พระครูธรรมจักร ชโยดม) วัดดักคะนน (พ.ศ. 2457 – 2538)
พระครูธรรมจักร ชโยดม มีนามเดิมว่า ผล เกิดในตระกูล โต๊ะสัมฤทธิ์ เป็นบุตรชายคนโตของ คุณพ่อเชื่อม-คุณแม่นาค โต๊ะสัมฤทธิ์ ท่านเกิดวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2457 ตรงกับวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่หมู่บ้านดักคะนน ตำบลธรรมมมูล อำเภอเมือง จ.ชัยนาท เมื่อหลวงปู่ผลอายุได้ประมาณ 10 ขวบ โยมพ่อได้พาท่านไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมต่อหลวงปู่อยู่ วัดดักคะนน หลวงปู่อยู่เห็นหน่วยก้านเข้าลักษณะคนดีมีปัญญา จึงรับตัวท่านไว้เป็นบุตรบุญธรรม ได้สอนให้อ่านหนังสือไทยจนจบ พออายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ (ราวปี พ.ศ.2477) หลวงปู่อยู่ก็เป็นเจ้าภาพอุปสมบทให้หลวงปู่ผลโดยมี พระครูธรรมจักรชโยดม (พูน ปภัทสโล) วัดธรรมามูล เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดนวม วัดขวาง เป็นพระกรรมวาจาจารย์, พระสมุห์ปลั่ง วัดดักคะนน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ฐานทัตโต" เมื่ออุปสมบทแล้วก็ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยตลอดจนวิชาอาคม, การลบผงอิทธิเจ ตลอดจนผงนะต่างๆ ตามสูตรของหลวงปู่อยู่ ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และบิดาบุญธรรมจนมีความเชี่ยวชาญ และเป็นที่รักเมตตาของหลวงปู่อยู่
=> ปี พ.ศ.2484 หลวงปู่ผล ได้รับแต่งตั้งเป็น พระปลัด ฐานาของพระปลัดทองเลื่อน วัดศรีวิชัย
=> ปี พ.ศ.2498 หลวงปู่ผล ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลธรรมามูล
=> ปี พ.ศ.2505 หลวงปู่ผล ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูธรรมจักรชโยดม
=> ปี พ.ศ.2506 หลวงปู่ผล ได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ของจังหวัดชัยนาท ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมามูล วรวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นชั้นโท ในพระราชทินนามเดิม เป็นเจ้าอาวาส วัดธรรมามูลจนถึงปี ปีพ.ศ.2528 (รวมระยะเวลา 22 ปี)
=> ปี พ.ศ.2528 หลวงปู่ผล กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดดักคะนน จวบจนมรณภาพ (หลวงปู่ผล มรณะภาพวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2538 รวมสิริอายุได้ 81 ปี 3 เดือน 11 วัน)
หลวงปู่ผล นอกจากท่านจะเป็นพระเกจิฯ ที่ขมังเวทย์องค์หนึ่งของชัยนาทแล้ว ท่านยังเป็นแพทย์แผนโบราณที่เลื่องชื่อในการรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อน (ถึงขั้นนอนใบตองก็ยังหายได้) และยารักษาอัมพาต ที่ช่วยคนหายทุกข์เวทนามามากต่อมากทีเดียว รวมทั้งวัตถุมงคลที่ท่านสร้างมีจำนวนหลายรุ่น ได้แก่ ภาพพระบูชาหลวงพ่ออยู่ รุ่นแรก (2530), ภาพพระบูชาหลวงพ่ออยู่ (พ.ศ. 2533), ภาพพระบูชาหลวงพ่อผล (รุ่นแรก พ.ศ.2530 สลักคำว่า หลวงพ่อผล ,รุ่นสอง สลักตัวอักษรระบุปี พ.ศ.2533), พระบูชาหลวงพ่อผล เสาร์ 5 (พ.ศ. 2536), พระสมเด็จสัมฤทธิ์ผล (พ.ศ. 2530), พระสมเด็จพุทธกวัก (พ.ศ.2531) และพระสมเด็จสามชั้น (สร้างช่วงปลายอายุหลวงพ่อผล) เป็นต้น
ภาพพระสมเด็จ 9 ชั้น วัดดักคะนน :
- ตอนที่ได้รับพระใหม่ๆ
ดูความเก่าของตลับนะครับ...
- ด้านข้างองค์พระฯ
ขาวๆ ไม่ใช่แป้งนะครับ... แต่เป็นขี้เกลือ!!
- ใช้กล้องซูม
สีแดงๆ ไม่ใช่คราบกรุสีแดงนะครับ... แต่เป็นยางที่รองด้านหลังพระที่ผ่านการอบเหงื่อ (ใช้งาน) จนสียางติดบนองค์พระ!!
**ขอขอบคุณเจ้าของพระเดิมที่เก็บรักษาพระองค์นี้อยู่ในสภาพดี แม้จะผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบัน!!**
**ปล.เดิมทีพระองค์นี้อยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านเรา (ประเทศมาเลเซีย) ปัจจุบันพระองค์นี้ได้กลับมาประเทศไทยแล้ว.. **
บัตรรับรองพระแท้ ออกโดย สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย
**ความหมายของพระสมเด็จฐาน 9 ชั้น สื่อถึงมรรค 8 หรือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ตามหลักพระพุทธศาสนา**
มรรค 8 หรือ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ หนทางแห่งการดับทุกข์ ประกอบด้วย:
- สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) หมายถึง ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง (อริยสัจ 4) ประกอบด้วย ทุกข์ (ความทุกข์), สมุทัย (สาเหตุของทุกข์), นิโรธ (ความดับทุกข์), และมรรค (ทางดับทุกข์)
- สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) หมายถึง ความคิดที่ประกอบด้วยกุศลธรรม เช่น การคิดออกจากกาม การไม่พยาบาท การไม่เบียดเบียน
- สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) หมายถึง การพูดที่สุภาพ ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
- สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ) หมายถึง การกระทำที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
- สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) หมายถึง การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม
- สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ) หมายถึง ความเพียรในการละความชั่ว ทำความดี
- สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) หมายถึง การมีสติอยู่เสมอ (ระลึกรู้อยู่เสมอว่า “กำลังทำอะไรอยู่”)
- สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ) หมายถึง การทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
พระสมเด็จฐาน 9 ชั้น จึงเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยเตือนใจให้ผู้ปฏิบัติธรรมน้อมนำมรรค 8 มาใช้ในการดำเนินชีวิตเพื่อมุ่งสู่การพ้นทุกข์
พระสมเด็จพิมพ์ 9 ชั้น รุ่น อยู่-ศุข วัดดักคะนน
ประวัติ : วัดดักคะนน
ประวัติ : หลวงปู่อยู่ วัดดักคะนน
ประวัติ : หลวงปู่ผล วัดดักคะนน
- ตอนที่ได้รับพระใหม่ๆ
มรรค 8 หรือ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ หนทางแห่งการดับทุกข์ ประกอบด้วย:
- สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) หมายถึง ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง (อริยสัจ 4) ประกอบด้วย ทุกข์ (ความทุกข์), สมุทัย (สาเหตุของทุกข์), นิโรธ (ความดับทุกข์), และมรรค (ทางดับทุกข์)
- สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) หมายถึง ความคิดที่ประกอบด้วยกุศลธรรม เช่น การคิดออกจากกาม การไม่พยาบาท การไม่เบียดเบียน
- สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) หมายถึง การพูดที่สุภาพ ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
- สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ) หมายถึง การกระทำที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
- สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) หมายถึง การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม
- สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ) หมายถึง ความเพียรในการละความชั่ว ทำความดี
- สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) หมายถึง การมีสติอยู่เสมอ (ระลึกรู้อยู่เสมอว่า “กำลังทำอะไรอยู่”)
- สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ) หมายถึง การทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ