สวัสดีครับ ขอเกริ่นบอกก่อนเลยน่ะครับว่า ผมเป็นคนที่กลัวการทำฟันมาก กลัวขั้นสุดถึงขั้นยอปวเพราะกลัวการผ่าฟันคุดหรือถอนฟันมาก
เริ่มเลยน่ะครับ ผมเป็นคนที่มีฟันคุดอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เถอนออดกจตอนยังไม่เป็นแพนิคแล้วมานานไม่นานมานมากเพราะคุดมากในใจรู้อยู่แล้วล่ะว่าน่าจะมาจากฟันคุดเพราะส่องแล้วเห็นมันพุเยอะมาก จำได้ว่าปวดตั้งแต่วันที่ 12/05/68 กินยาแก้ปวดตลอด 6 ชั่อาทิตย์พก็ยังไม่หาย เลยเปลี่ยนมากินไอบูโพเฟ่น ก็ยังไม่หายขนาดไอบูโพ่เฟ่นที่เค้าว่าแก้ปวดมากก็ยังไม่หาย จนทำงานไม่ได้ลางานกระจาย ลาจนพักร้อนแถบหมด กลางคืไม่นอนเพราะนอนไหลีบีบปวดฟันมากจนวันที่ 23/05/68 ปวดไม่ไหวจนไปหาหมอฟันคลีนิคแถวบ้านหมอบอกว่ามีนพุจนถึงโพรงประสาทฟันแล้วยังไงก็ต้องเอาออกไม่งั้นปล่อยไว้มันจะอันตรายในใจตอนแรกพอจะเอาพอได้ยินเสียงเครื่องมือห้องอื่นเท่านั้นล่ะสติกระจุย หัวใจเต้นรัว มือสั่นเท่าสั่นใจสั่น หมอวัดความดันพุ่งไป170/90 พักเป็นสิบนาทีก็ไม่หาย พอเลยบอกว่าถ้าสูงขนาดนี้หมอทำให้ไม่ได้น่ะเพราะยาชาจะยิ่งทำให้ความดันสูงไปด้วย จนสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ จนวันที่ 26/05/68คุณแม่พาไปที่ คณะทันตกรรมของมหิดล ตรงอนุเสาวรีย์ชัย พอไปถึงก็ทำบัตรผู้ป่วย แล้วเค้าจะให้เราเลือกด้วยน่ะว่าจะรับบริการแบบไหน แบบกาคเรียนการสอน(มีทั้งนักศึกษาปกติและนักศึกษาหลังรับปริญญา) หรือระบบบริการทั่วไปซึ่งราคาก็เกือบเท่าข้างนอก เราเลยเลือกแบบการเรียนการสอน แต่วันแรกที่ไปถึงไม่ทันระบบการเรียนการสอนเลยต้องตรวจรักษาแบบคลีนิคนอกเวลาไปถึงหมอจะเช็คสภาพฟัน แล้วปัญหา จากนั้นส่งไปX-ray (ค่าX-ray 500 บาท) แล้คุณหมอก็ส่งไปแผนกศลัยกรรมช่องปาก พอหมอตรวจดูหมอบอกเลยว่ายังไงก็ต้องเอาออกเพราะมันพุมาก ตอนแรกหมอจะทำตอนนั้นเลยนี้เลยบอกหมอว่าขอผ่าแบบวางยาสลบได้ไหมครับ เพราะผมเป็นแพนิค หมอไปปรึกษากันสักครู่นึงแล้วบอกว่บอกงั้นนคนต้องนัดมาไหมนะ ต้องมาในเวลาเท่านั้น ผมเลยบอกว่าได้ยังไงตอนแรกคิดไว้แล้วว่ายังไงคิวน่าจะนานแน่นอน สักพักพยาบาลเรียกไป รับบัตรนัดก็คือให้มาปรึกษาคุณหมอพรุ่งนี้นั่นหมายถึงว่าวันที่ 27/05/68 ซึ่งผมดีใจมากเพราะคิดว่าคิวน่าจะยาว วันที่27/05/68 หมอนัดช่วงประมาณ 9 โมงพอไปถึงบอกกับหมออย่างแรกเลยขอวางยาสลบได้ไหมครับตอนแรกหมอก็บอกผ่ากับถอนง่าย มากเลยนะเอาออกก่อนก็ได้ นี่เลยยืนยันว่ายังไง ก็ไม่ไหวพอได้ยินเสียงเครื่องมือแล้วไม่ไหวเลยขอวางยาสลบได้ไหมสักพักคุณหมอเลยที่เป็นอาจารย์ประจำ ก็ไม่ไหวพอได้ยินเสียงเครื่องมือแล้วไม่ไหวเลยขอวางยาสลบคุณหมอเลยที่เป็นอาจารย์ประจำมามาคุยแล้วก็ชี้แจง คุณหมอเลย เข้ามาซักประวัติถามว่ามีโรคประจำตัว เข้ามาซักประวัติถามว่ามีโรคประจำตัวมั้ยเราเลยบอกว่ามีความดันกับไขมัน คุณหมอเลยเข้ามาพูดคุยชี้แจงทางเลือกมี 3 แบบ
1.วางยาสลบ (ซึ่ง เรามีข้อเสี่ยง คือความดัน/น้ำหนักตัวที่เยอะเราหนัก 102) ซึ่ง ไม่ได้แจ้งว่ามัน มีภาวะแทรกซ้อนหลังจากตื่น
2.วางยาเบลอ (เค้าเรียกว่ายาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ) อันนี้แทบไม่มีภาวะแทรกซ้อนเลย บอกว่าอันนี้เราจะ ไม่ได้สลบนะยังรู้สึกตัวแต่จะเบลอๆสะลึมสะลือ อาจจะเหตุการณ์ช่วงเวลานั้นไมาได้
3.แก๊สหัวเราะ เราจะจำและรู้สึกตัวทุกอย่างแต่แค่ผ่อนคลายมากขึ้น
เราเลยปรึกษากับแม่ เลยตกลงเลือกวิธีที่2 กลัววางยาสลบเหมือนกัน555 หมอเลยต้องส่งไปชั้น10 เพื่อไปจองห้องผ่าตัดเพราะการผ่าแบบวางยาหรือยาเบลอต้องทำการผ่าตัดในห้องที่เซ็ตไว้โดถึงถึงพอขึ้นไปถึง หมอจะให้เราเลือกวันซึ่งเร็วสุดที่เราได้คือวันที่9/06/68 สำหรับรับเราถือว่าเร็วมากเพราะเป็นโรงพยาบาลรัฐแล้วคนรักษาเยอะมาก หมอจะตรวจร่างกายวัดความดัน/ช่างน้ำหนัก/ส่วนสูง/แล้วตรวจโครงสร้างของศรีษะ ให้อ้าปากส่องรูจมูก เพื่อมีเหตุฉุกเฉินที่เราหรือคนที่ได้รับยาสงบประสาทอาจจะหลับลึกเกินไป (หมอบอกแจ้งไว้ก่อนแต่ยังไม่เคยมีเคสแบบนี้) แล้วสักพักพยาบาลเดินมาแจ้งค่าใช้จ่ายที่ประเมินไว้ ถอนฟันคุด1ซี่ ผ่าฟันคุด2ซี่ + ยาสงบประสาท 8,000-10,000 บาท
ซึ่งถ้าระบบการเรียนการสอนราคาก็เจ็บอยู่ แต่ก็ยอมเพราะความสบายใจ แล้วพยาบาลก็แจ้งว่าก่อนการผ่าตัดต้องงดน้ำงดอาหาร8 ชั่วโมงเหมือนกับคนวางยาสลบเลย แล้วห้ามเป็นไข้เป็นหวัดแม้แต่นิดเดียวถ้าเป็นคือต้องเลื่อนเลยไม่สามารถผ่าได้ ซึ่งวันที่ 6/06/68 จำได้เลยไม่ค่อยสบายเลยลองตรวจโควิดสรุปติดโควิด ผ่าไม่ได้ต้องเลื่อนผ่าแล้วยังปวดฟันอยู่ด้วยร้องไห้เลยตอนนั้น คิดว่าคิวยาวแน่ๆ แล้วปวดฟันแบบทรมานมาก สักพักเจ้าหน้าที่โทคมาบอกได้คิววันที่ 24/06/68 เราดีใจมากเพราะมันก็ไม่นานเท่าไหร่ 2อาทิตย์กว่าๆ หายโควิดพอดี เราหายจากโควิดประมาณ วันที่ 11/06/68 ซึ่งพยาบาลบอกผ่าได้เภราะหายครบ 2 อาทืตย์พอดี
ที่นี่เรามาตื่นเต้นวันที่24/06/68 กัน หมอจะนัด8โมงเพื่อมาเตรียมตัว และต้องมีคนมาด้วยเท่านั้น เพราะยาจะยังออกฤทธิ์ในร่างกายไปอีก 24ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่เริ่มให้ยา
8.30 หมอจะมาทายาชาที่หลังมือ เพราะการให้ยาสงบประสาทเป็นการให้ยาทางหลอดเลือดดำผ่านทางน้ำเกลือนั้นหมายถึงว่าจะต้องมีการใส่สายน้ำไว่ตลอดจนการผ่าตัด
9.00 เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดผ่าตัดสีเขียว ตื่นเต้นมาไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ถอดเครื่องประดับออกทุกชิ้นแล้วฝากญาติหรือคนที่มาด้วย
9.10 เช้าห้องผ่าตัด พยาบาลจะมาเจาะสายน้ำเกลือแต่งยังไม่ได้เริ่มให้ยาน่ะ พยาบาลแจ้งว่าจะเริ่มให้ยาประมาณ 5-10 นาทีก่อนจะเริ่มผ่าตัด ตอนนั้นใจสั่นแขนสั่นมาก และพยาบาลจะมาติดเครื่องกระแสหัวใจตรงหน้าอก และใส่สายอ๊อกซิเจนทางจมูก (เครื่องทุกอย่างจะติดตลอดกาคผ่าตัด เพราะยาพวกนี้ต้องมึวิสัญญีแพทย์ควบคุมการให้ยาหรือติดตามเหมือนยาสลบ)
9.30 หมอและอาจารย์ควบคุมการผ่าตัดมาถึงและมาอธิบายว่าเอาซี่ไหนออกบ้างและประเมินว่าจะใช้เวลากี่ชั่วโมงซึ่งเคสเราคุณหมอประเมินไว้1ชั่วโมง ถอน1 ผ่า2 ทั้งหมด 3ซี่
และแล้วเวลาก็มาถึง คุณหมอวิสัญญีเริ่มให้ยา ตอนแรกปกติ สักประมาณ 5นาทีเริ่มง่วงรู้สึกอยากหลับ เบลอๆ พยาบาลถามอะไรเริ่มตอบไม่รู้เรื่อง ทุกคำถามพยาบาลและคุณหมอจะถามซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจ แล้วผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ จำได้หมอสะกิด ว่าคนไข้ชาหรือยังครับ หมอลองกดดู นี้เลยบอกไม่รู้สึกหมอถามไม่รู้สึกชาหรอครับนี้เลยบอกไปว่าไม่รู้สึกอะไรเลยตอนนี้5555 ที่จำได้น่ะ แล้วก็เบลอๆไปเลยจนรู้สึกว่าพยาบาลสะกิด บอกว่า ฝั่งซ้าย2ซี่เสร็จแล่วน่ะค่ะต่อไปฝั่งขวา1ซี่น่ะ (อันนี้บอกก่อนน่ะครับเราจะมีที่อ้าปากใส่ไว้ในปากเราเหมือนเราไม่ต้องอ้าเองอ่ะครับ) พยาบาลจะคอยถามตลอดเพื่อป้องกันการหลับลึกเกินไป จนรู้ตัวอีกทีคุณหมอเรียกแล้วบอกให้กัดผ้าก๊อซไว้นั้นหมายคงามว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว แต่เรายังไม่เบลออยู่น่ะสักพักเค้าจะย้ายเตียงเราไปนอนดูอาการ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้เราหายเบลอและดูว่าไม่มีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น และระหว่างนี้จะให้ญาติไปชำระเงินให้
พอเราตื่นดีแล้วหมอจะถามว่าปวดแผลไหมแล้วดูว่าเลือดหยุดไหลหรือยังถ้าหยุดแล้วก็ไม่ต้องกัดผ้าก็อซแล้วแต่ยังก็กัดต่อแล้วให้ไปเอาออกที่บ้าน แล้วตอนหลับก็จะให้น้ำแข็งประคบเย็นมาด้วย เรากลับบ้านออกจากโรงพยาบาลตอนเที่ยงนิดนิด พี่พยาบาลบอกว่าเราออกจากห้องผ่าตัดประมาณ 10.10 หมายความว่า 3 ซี่ให้เวลาทำ 40 นาที แต่ดูอาการจนถึงเกือบเที่ยงเพราะเราเผลอหลับไป555
แล้วก็ลงมารับยา แล้วก็กลับบ้าน พอกลับมาถึงบ้านหลับเป็นตายเลย แต่หมอมือเบามากหมดฤทธิ์ยาชาแล้วไม่ค่อยปวดเท่าไหร่เลย รู้สึกโล่งมากที่ผ่านมาได้
แล้วหมอก็นัดเกือบ 3 อาทิตย์ (14/07/68) เพื่อดูแผลและถ้าไหมยังมีเหลืออยู่ก็ตัดไหมด้วย แต่ทางหมอแจ้งว่าหมอเย็บเป็นไหมละลายมาให้ อาจจะเหลืออยู่เหลือไม่เหลือก็ได้
และสรุปค่าใช้จ่ายที่โดนไปทั้งหมดคือ 6,500 - ประกันสังคม 900 บาท เหลือ 5,600 บาท ถูกกว่าที่คิดไว้อีก
และก็จบการเล่าให้ฟังแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ
เล่าประสบการณ์ผ่าฟันคุด 3 ซี่แบบวางยาเบลอหรือยาสงบประสาท
เริ่มเลยน่ะครับ ผมเป็นคนที่มีฟันคุดอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เถอนออดกจตอนยังไม่เป็นแพนิคแล้วมานานไม่นานมานมากเพราะคุดมากในใจรู้อยู่แล้วล่ะว่าน่าจะมาจากฟันคุดเพราะส่องแล้วเห็นมันพุเยอะมาก จำได้ว่าปวดตั้งแต่วันที่ 12/05/68 กินยาแก้ปวดตลอด 6 ชั่อาทิตย์พก็ยังไม่หาย เลยเปลี่ยนมากินไอบูโพเฟ่น ก็ยังไม่หายขนาดไอบูโพ่เฟ่นที่เค้าว่าแก้ปวดมากก็ยังไม่หาย จนทำงานไม่ได้ลางานกระจาย ลาจนพักร้อนแถบหมด กลางคืไม่นอนเพราะนอนไหลีบีบปวดฟันมากจนวันที่ 23/05/68 ปวดไม่ไหวจนไปหาหมอฟันคลีนิคแถวบ้านหมอบอกว่ามีนพุจนถึงโพรงประสาทฟันแล้วยังไงก็ต้องเอาออกไม่งั้นปล่อยไว้มันจะอันตรายในใจตอนแรกพอจะเอาพอได้ยินเสียงเครื่องมือห้องอื่นเท่านั้นล่ะสติกระจุย หัวใจเต้นรัว มือสั่นเท่าสั่นใจสั่น หมอวัดความดันพุ่งไป170/90 พักเป็นสิบนาทีก็ไม่หาย พอเลยบอกว่าถ้าสูงขนาดนี้หมอทำให้ไม่ได้น่ะเพราะยาชาจะยิ่งทำให้ความดันสูงไปด้วย จนสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ จนวันที่ 26/05/68คุณแม่พาไปที่ คณะทันตกรรมของมหิดล ตรงอนุเสาวรีย์ชัย พอไปถึงก็ทำบัตรผู้ป่วย แล้วเค้าจะให้เราเลือกด้วยน่ะว่าจะรับบริการแบบไหน แบบกาคเรียนการสอน(มีทั้งนักศึกษาปกติและนักศึกษาหลังรับปริญญา) หรือระบบบริการทั่วไปซึ่งราคาก็เกือบเท่าข้างนอก เราเลยเลือกแบบการเรียนการสอน แต่วันแรกที่ไปถึงไม่ทันระบบการเรียนการสอนเลยต้องตรวจรักษาแบบคลีนิคนอกเวลาไปถึงหมอจะเช็คสภาพฟัน แล้วปัญหา จากนั้นส่งไปX-ray (ค่าX-ray 500 บาท) แล้คุณหมอก็ส่งไปแผนกศลัยกรรมช่องปาก พอหมอตรวจดูหมอบอกเลยว่ายังไงก็ต้องเอาออกเพราะมันพุมาก ตอนแรกหมอจะทำตอนนั้นเลยนี้เลยบอกหมอว่าขอผ่าแบบวางยาสลบได้ไหมครับ เพราะผมเป็นแพนิค หมอไปปรึกษากันสักครู่นึงแล้วบอกว่บอกงั้นนคนต้องนัดมาไหมนะ ต้องมาในเวลาเท่านั้น ผมเลยบอกว่าได้ยังไงตอนแรกคิดไว้แล้วว่ายังไงคิวน่าจะนานแน่นอน สักพักพยาบาลเรียกไป รับบัตรนัดก็คือให้มาปรึกษาคุณหมอพรุ่งนี้นั่นหมายถึงว่าวันที่ 27/05/68 ซึ่งผมดีใจมากเพราะคิดว่าคิวน่าจะยาว วันที่27/05/68 หมอนัดช่วงประมาณ 9 โมงพอไปถึงบอกกับหมออย่างแรกเลยขอวางยาสลบได้ไหมครับตอนแรกหมอก็บอกผ่ากับถอนง่าย มากเลยนะเอาออกก่อนก็ได้ นี่เลยยืนยันว่ายังไง ก็ไม่ไหวพอได้ยินเสียงเครื่องมือแล้วไม่ไหวเลยขอวางยาสลบได้ไหมสักพักคุณหมอเลยที่เป็นอาจารย์ประจำ ก็ไม่ไหวพอได้ยินเสียงเครื่องมือแล้วไม่ไหวเลยขอวางยาสลบคุณหมอเลยที่เป็นอาจารย์ประจำมามาคุยแล้วก็ชี้แจง คุณหมอเลย เข้ามาซักประวัติถามว่ามีโรคประจำตัว เข้ามาซักประวัติถามว่ามีโรคประจำตัวมั้ยเราเลยบอกว่ามีความดันกับไขมัน คุณหมอเลยเข้ามาพูดคุยชี้แจงทางเลือกมี 3 แบบ
1.วางยาสลบ (ซึ่ง เรามีข้อเสี่ยง คือความดัน/น้ำหนักตัวที่เยอะเราหนัก 102) ซึ่ง ไม่ได้แจ้งว่ามัน มีภาวะแทรกซ้อนหลังจากตื่น
2.วางยาเบลอ (เค้าเรียกว่ายาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ) อันนี้แทบไม่มีภาวะแทรกซ้อนเลย บอกว่าอันนี้เราจะ ไม่ได้สลบนะยังรู้สึกตัวแต่จะเบลอๆสะลึมสะลือ อาจจะเหตุการณ์ช่วงเวลานั้นไมาได้
3.แก๊สหัวเราะ เราจะจำและรู้สึกตัวทุกอย่างแต่แค่ผ่อนคลายมากขึ้น
เราเลยปรึกษากับแม่ เลยตกลงเลือกวิธีที่2 กลัววางยาสลบเหมือนกัน555 หมอเลยต้องส่งไปชั้น10 เพื่อไปจองห้องผ่าตัดเพราะการผ่าแบบวางยาหรือยาเบลอต้องทำการผ่าตัดในห้องที่เซ็ตไว้โดถึงถึงพอขึ้นไปถึง หมอจะให้เราเลือกวันซึ่งเร็วสุดที่เราได้คือวันที่9/06/68 สำหรับรับเราถือว่าเร็วมากเพราะเป็นโรงพยาบาลรัฐแล้วคนรักษาเยอะมาก หมอจะตรวจร่างกายวัดความดัน/ช่างน้ำหนัก/ส่วนสูง/แล้วตรวจโครงสร้างของศรีษะ ให้อ้าปากส่องรูจมูก เพื่อมีเหตุฉุกเฉินที่เราหรือคนที่ได้รับยาสงบประสาทอาจจะหลับลึกเกินไป (หมอบอกแจ้งไว้ก่อนแต่ยังไม่เคยมีเคสแบบนี้) แล้วสักพักพยาบาลเดินมาแจ้งค่าใช้จ่ายที่ประเมินไว้ ถอนฟันคุด1ซี่ ผ่าฟันคุด2ซี่ + ยาสงบประสาท 8,000-10,000 บาท
ซึ่งถ้าระบบการเรียนการสอนราคาก็เจ็บอยู่ แต่ก็ยอมเพราะความสบายใจ แล้วพยาบาลก็แจ้งว่าก่อนการผ่าตัดต้องงดน้ำงดอาหาร8 ชั่วโมงเหมือนกับคนวางยาสลบเลย แล้วห้ามเป็นไข้เป็นหวัดแม้แต่นิดเดียวถ้าเป็นคือต้องเลื่อนเลยไม่สามารถผ่าได้ ซึ่งวันที่ 6/06/68 จำได้เลยไม่ค่อยสบายเลยลองตรวจโควิดสรุปติดโควิด ผ่าไม่ได้ต้องเลื่อนผ่าแล้วยังปวดฟันอยู่ด้วยร้องไห้เลยตอนนั้น คิดว่าคิวยาวแน่ๆ แล้วปวดฟันแบบทรมานมาก สักพักเจ้าหน้าที่โทคมาบอกได้คิววันที่ 24/06/68 เราดีใจมากเพราะมันก็ไม่นานเท่าไหร่ 2อาทิตย์กว่าๆ หายโควิดพอดี เราหายจากโควิดประมาณ วันที่ 11/06/68 ซึ่งพยาบาลบอกผ่าได้เภราะหายครบ 2 อาทืตย์พอดี
ที่นี่เรามาตื่นเต้นวันที่24/06/68 กัน หมอจะนัด8โมงเพื่อมาเตรียมตัว และต้องมีคนมาด้วยเท่านั้น เพราะยาจะยังออกฤทธิ์ในร่างกายไปอีก 24ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่เริ่มให้ยา
8.30 หมอจะมาทายาชาที่หลังมือ เพราะการให้ยาสงบประสาทเป็นการให้ยาทางหลอดเลือดดำผ่านทางน้ำเกลือนั้นหมายถึงว่าจะต้องมีการใส่สายน้ำไว่ตลอดจนการผ่าตัด
9.00 เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดผ่าตัดสีเขียว ตื่นเต้นมาไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ถอดเครื่องประดับออกทุกชิ้นแล้วฝากญาติหรือคนที่มาด้วย
9.10 เช้าห้องผ่าตัด พยาบาลจะมาเจาะสายน้ำเกลือแต่งยังไม่ได้เริ่มให้ยาน่ะ พยาบาลแจ้งว่าจะเริ่มให้ยาประมาณ 5-10 นาทีก่อนจะเริ่มผ่าตัด ตอนนั้นใจสั่นแขนสั่นมาก และพยาบาลจะมาติดเครื่องกระแสหัวใจตรงหน้าอก และใส่สายอ๊อกซิเจนทางจมูก (เครื่องทุกอย่างจะติดตลอดกาคผ่าตัด เพราะยาพวกนี้ต้องมึวิสัญญีแพทย์ควบคุมการให้ยาหรือติดตามเหมือนยาสลบ)
9.30 หมอและอาจารย์ควบคุมการผ่าตัดมาถึงและมาอธิบายว่าเอาซี่ไหนออกบ้างและประเมินว่าจะใช้เวลากี่ชั่วโมงซึ่งเคสเราคุณหมอประเมินไว้1ชั่วโมง ถอน1 ผ่า2 ทั้งหมด 3ซี่
และแล้วเวลาก็มาถึง คุณหมอวิสัญญีเริ่มให้ยา ตอนแรกปกติ สักประมาณ 5นาทีเริ่มง่วงรู้สึกอยากหลับ เบลอๆ พยาบาลถามอะไรเริ่มตอบไม่รู้เรื่อง ทุกคำถามพยาบาลและคุณหมอจะถามซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจ แล้วผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ จำได้หมอสะกิด ว่าคนไข้ชาหรือยังครับ หมอลองกดดู นี้เลยบอกไม่รู้สึกหมอถามไม่รู้สึกชาหรอครับนี้เลยบอกไปว่าไม่รู้สึกอะไรเลยตอนนี้5555 ที่จำได้น่ะ แล้วก็เบลอๆไปเลยจนรู้สึกว่าพยาบาลสะกิด บอกว่า ฝั่งซ้าย2ซี่เสร็จแล่วน่ะค่ะต่อไปฝั่งขวา1ซี่น่ะ (อันนี้บอกก่อนน่ะครับเราจะมีที่อ้าปากใส่ไว้ในปากเราเหมือนเราไม่ต้องอ้าเองอ่ะครับ) พยาบาลจะคอยถามตลอดเพื่อป้องกันการหลับลึกเกินไป จนรู้ตัวอีกทีคุณหมอเรียกแล้วบอกให้กัดผ้าก๊อซไว้นั้นหมายคงามว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว แต่เรายังไม่เบลออยู่น่ะสักพักเค้าจะย้ายเตียงเราไปนอนดูอาการ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้เราหายเบลอและดูว่าไม่มีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น และระหว่างนี้จะให้ญาติไปชำระเงินให้
พอเราตื่นดีแล้วหมอจะถามว่าปวดแผลไหมแล้วดูว่าเลือดหยุดไหลหรือยังถ้าหยุดแล้วก็ไม่ต้องกัดผ้าก็อซแล้วแต่ยังก็กัดต่อแล้วให้ไปเอาออกที่บ้าน แล้วตอนหลับก็จะให้น้ำแข็งประคบเย็นมาด้วย เรากลับบ้านออกจากโรงพยาบาลตอนเที่ยงนิดนิด พี่พยาบาลบอกว่าเราออกจากห้องผ่าตัดประมาณ 10.10 หมายความว่า 3 ซี่ให้เวลาทำ 40 นาที แต่ดูอาการจนถึงเกือบเที่ยงเพราะเราเผลอหลับไป555
แล้วก็ลงมารับยา แล้วก็กลับบ้าน พอกลับมาถึงบ้านหลับเป็นตายเลย แต่หมอมือเบามากหมดฤทธิ์ยาชาแล้วไม่ค่อยปวดเท่าไหร่เลย รู้สึกโล่งมากที่ผ่านมาได้
แล้วหมอก็นัดเกือบ 3 อาทิตย์ (14/07/68) เพื่อดูแผลและถ้าไหมยังมีเหลืออยู่ก็ตัดไหมด้วย แต่ทางหมอแจ้งว่าหมอเย็บเป็นไหมละลายมาให้ อาจจะเหลืออยู่เหลือไม่เหลือก็ได้
และสรุปค่าใช้จ่ายที่โดนไปทั้งหมดคือ 6,500 - ประกันสังคม 900 บาท เหลือ 5,600 บาท ถูกกว่าที่คิดไว้อีก
และก็จบการเล่าให้ฟังแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ