ขอโพสต์กรณีนี้เป็น Case Study เพื่อเตือนภัยสำหรับผู้ที่มีพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่อยู่บ้านเพียงลำพังค่ะ เรื่องเกิดขึ้นกับคุณพ่อของเรา อายุ 80 กว่าปีแล้ว อาศัยอยู่คนเดียว และใช้งานสมาร์ทโฟนพื้นฐานอยู่แล้ว โดยมีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตมือถือที่เพียงพอต่อการใช้งาน อยู่มาวันหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่ทรูโทรศัพท์มาติดต่อเสนอ ติดตั้งอินเทอร์เน็ตบ้าน และคุณพ่อก็เซ็นเอกสาร (น่าจะเป็นสัญญา) บนมือถือ ซึ่งท่านก็ไม่เข้าใจรายละเอียดเนื้อหาหรอก (ผู้สูงอายุมีข้อจำกัดในการรับข้อมูลข่าวสาร)
ต่อมา 2 เดือน มีบิลเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนเข้ามา ครอบครัวจึงเพิ่งทราบเรื่องและรีบติดต่อขอยกเลิกบริการ แต่กลับได้รับคำตอบว่า
“ไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะติดสัญญา 2 ปี หากจะยกเลิก ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ประมาณ 5,800 กว่าบาท” Call Center ทรู ติดต่อยากมาก แต่ลองโอนสายไปสมัครเน็ตบ้านกลับรับสายทันที
ข้อสังเกตและความกังวล
เรามองว่าพฤติกรรมการขายลักษณะนี้ ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้สูงอายุ ที่
- ไม่มีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีหรือเงื่อนไขสัญญา
- ไม่มีญาติหรือผู้ดูแลอยู่ด้วยในขณะเสนอขาย
- ไม่ทราบถึงค่าใช้จ่ายหรือภาระผูกพันระยะยาว
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขาย แต่คือ จริยธรรมในการให้บริการกับกลุ่มเปราะบาง
ทรูควรมีมาตรฐานหรือแนวทางรับผิดชอบทางจริยธรรม เช่น
- ห้ามเซ็นสัญญาในกรณีผู้สูงอายุอยู่คนเดียว
- ต้องมีการยืนยันจากญาติ/ผู้ดูแล
- ให้สิทธิ์คืนอุปกรณ์โดยไม่มีค่าปรับในกรณีใช้งานไม่จริง หรือกรณีหลอกขายให้กับผู้สูงอายุ
ช่องทางที่ติดต่อในกรณีเกิดเหตุการณ์แบบนี้
1. True Call Center: 1242 หรือ 1240
2. อีเมลร้องเรียน: customercare@truemoney.com
3. ร้องเรียนผ่าน กสทช. (โทรฟรี 1200):
- เจ้าหน้าที่จะให้ทำหนังสือร้องเรียน ระยะเวลาดำเนินการโดยประมาณ 7 วัน เจ้าหน้าที่ดีมากมีการ Follow up ทั้งทางอีเมลและติดต่อทางโทรศัพท์
เคสเรายกเลิกโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เราโทรหา Call Center โวยวายและยืนยันว่าต้องไม่มีค่าใช้จ่ายในเคสนี้ พร้อมทั้งร้องเรียนไปทางกสทช. **
ขอให้โพสต์นี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับหลายครอบครัว และหวังว่าทางทรูจะทบทวนแนวทางการนำเสนอขายและคุ้มครองผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้นค่ะ 🙏
#เตือนภัยผู้สูงอายุ #ทรูมูฟ #อินเทอร์เน็ตบ้าน #ทรู #ผู้บริโภคต้องรู้ #สิทธิผู้บริโภค #ทรูต้องรับผิดชอบ
ผู้สูงอายุอยู่บ้านคนเดียว โดนทรูหลอกติดเน็ตบ้าน โดยไม่เข้าใจภาระสัญญาและค่าใช้จ่ายระยะยาว
ต่อมา 2 เดือน มีบิลเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนเข้ามา ครอบครัวจึงเพิ่งทราบเรื่องและรีบติดต่อขอยกเลิกบริการ แต่กลับได้รับคำตอบว่า
“ไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะติดสัญญา 2 ปี หากจะยกเลิก ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ประมาณ 5,800 กว่าบาท” Call Center ทรู ติดต่อยากมาก แต่ลองโอนสายไปสมัครเน็ตบ้านกลับรับสายทันที
ข้อสังเกตและความกังวล
เรามองว่าพฤติกรรมการขายลักษณะนี้ ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้สูงอายุ ที่
- ไม่มีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีหรือเงื่อนไขสัญญา
- ไม่มีญาติหรือผู้ดูแลอยู่ด้วยในขณะเสนอขาย
- ไม่ทราบถึงค่าใช้จ่ายหรือภาระผูกพันระยะยาว
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขาย แต่คือ จริยธรรมในการให้บริการกับกลุ่มเปราะบาง
ทรูควรมีมาตรฐานหรือแนวทางรับผิดชอบทางจริยธรรม เช่น
- ห้ามเซ็นสัญญาในกรณีผู้สูงอายุอยู่คนเดียว
- ต้องมีการยืนยันจากญาติ/ผู้ดูแล
- ให้สิทธิ์คืนอุปกรณ์โดยไม่มีค่าปรับในกรณีใช้งานไม่จริง หรือกรณีหลอกขายให้กับผู้สูงอายุ
ช่องทางที่ติดต่อในกรณีเกิดเหตุการณ์แบบนี้
1. True Call Center: 1242 หรือ 1240
2. อีเมลร้องเรียน: customercare@truemoney.com
3. ร้องเรียนผ่าน กสทช. (โทรฟรี 1200):
- เจ้าหน้าที่จะให้ทำหนังสือร้องเรียน ระยะเวลาดำเนินการโดยประมาณ 7 วัน เจ้าหน้าที่ดีมากมีการ Follow up ทั้งทางอีเมลและติดต่อทางโทรศัพท์
เคสเรายกเลิกโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เราโทรหา Call Center โวยวายและยืนยันว่าต้องไม่มีค่าใช้จ่ายในเคสนี้ พร้อมทั้งร้องเรียนไปทางกสทช. **
ขอให้โพสต์นี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับหลายครอบครัว และหวังว่าทางทรูจะทบทวนแนวทางการนำเสนอขายและคุ้มครองผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้นค่ะ 🙏
#เตือนภัยผู้สูงอายุ #ทรูมูฟ #อินเทอร์เน็ตบ้าน #ทรู #ผู้บริโภคต้องรู้ #สิทธิผู้บริโภค #ทรูต้องรับผิดชอบ