ชีวิตการทำงานของข้าพเจ้า เริ่มต้นอย่างเรียบง่ายและไม่มีความคาดหวังใด ๆ มากไปกว่าการได้มีงานทำในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นคนงานธรรมดา ๆ ดูแลงานธุรการเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวที่ซับซ้อน หรือเผชิญชะตากรรมอันบีบคั้นใจเช่นที่เกิดขึ้นในภายหลัง
วันหนึ่ง หัวหน้าฝ่ายจากอีกกองหนึ่งได้มาชักชวนข้าพเจ้าให้ไปช่วยงานในฝ่ายของเขา ข้าพเจ้าตอบตกลงด้วยความเกรงใจ โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนถึงสิ่งที่จะตามมา งานในฝ่ายใหม่นี้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากที่เคยนั่งทำงานเอกสารเงียบ ๆ ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ประสานงานที่ต้องพบปะผู้คนตลอดเวลา ความเครียดสะสมเริ่มก่อตัว บางครั้งก็ทำให้ข้าพเจ้ามีอารมณ์ฉุนเฉียวเกินควร แม้จะพยายามปรับตัวอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า งานนี้มีแรงกดดันมากเกินกว่าที่คิดไว้แต่แรก
จุดพลิกผันสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้าคือการที่นายกเทศมนตรีท่านหนึ่งได้เข้ามาติดต่อและเสนอให้ข้าพเจ้าเป็นตัวกลางในการ “รับเงิน” จากผู้ประกอบการที่ต้องการอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งในช่วงนั้นโครงการพัฒนาในพื้นที่มีจำนวนมาก ทำให้เงินที่หมุนเวียนผ่านมือข้าพเจ้าก็มีไม่น้อย ข้าพเจ้าทำหน้าที่นี้อย่างซื่อสัตย์ ส่งเงินทุกบาททุกสตางค์ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่เคยคิดหักหัวคิวหรือเอาเข้ากระเป๋าเลยแม้แต่นิดเดียว
หนึ่งปีผ่านไป งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเพราะยังมีหัวหน้าคนเดิมที่คอยดูแลและปกป้องข้าพเจ้าอยู่ แต่แล้ววันหนึ่ง หัวหน้าผู้นั้นได้สอบเลื่อนตำแหน่งและย้ายไปยังพื้นที่ใหม่ ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นเหมือนทหารไร้แม่ทัพ ไม่มีคนคอยประคองหลัง ความมั่นใจที่เคยมีเริ่มลดน้อยถอยลง ปัญหาที่เคยแก้ได้ ก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
สถานการณ์ยิ่งแย่ลง เมื่อเกิดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีขึ้นอีกครั้ง และแม้จะเป็นนายกคนเดิมที่กลับมานั่งเก้าอี้ แต่กลับมาพร้อมหัวหน้าคนใหม่ที่ไม่ได้มีทัศนคติสอดคล้องกับข้าพเจ้าเลย ความขัดแย้งเริ่มบานปลาย จากที่เคยร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของท่านนายกฯ ข้าพเจ้ากลับกลายเป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นปัญหา ไม่ว่าจะพยายามอธิบายอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถเรียกศรัทธาจากผู้มีอำนาจได้อีก
ท้ายที่สุด ปลัด ผู้อำนวยการ และหัวหน้าคนใหม่ ได้สมคบกันกดดันให้ข้าพเจ้าต้องลาออก ทั้งที่ไม่ได้มีความผิดใด ๆ เพียงเพราะว่า ข้าพเจ้าได้กลายเป็น “ขุนพล” ที่หมดประโยชน์ไปแล้วในสายตาของพวกเขา ข้าพเจ้าถูกบีบบังคับให้ออกไปจากที่ทำงาน โดยไม่มีแม้โอกาสได้กล่าวคำอำลา
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจคำสำนวนไทยโบราณที่ว่า
“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ได้อย่างลึกซึ้ง
ในยามที่องค์กรต้องการ ข้าพเจ้าคือคนสำคัญ เป็นมือเป็นเท้า เป็นคนที่แบกรับภาระหน้าที่ที่ไม่มีใครกล้ารับ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เมื่อผลประโยชน์หมดลง ข้าพเจ้าก็กลายเป็นเพียงเศษธุลีที่ไร้ค่า เป็นขุนพลที่ถูกปลดทิ้ง เมื่อไม่มีศึกให้รบ
วันนี้แม้จะต้องจากองค์กรแห่งนั้นมาอย่างขมขื่น แต่ข้าพเจ้ากลับได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญที่สุดของชีวิต ว่าในโลกของการงานนั้น ความดี ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดีเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอหากไม่มี “คนคุมหลัง” และเมื่อถึงคราวถูกหักหลัง แม้แต่คนที่เราปกป้องก็อาจเงียบเฉย
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจที่เคยซื่อสัตย์หรือทุ่มเท
แต่เสียใจที่เคย “ไว้ใจ” คนบางคนเกินไป…
บทความจากประสบการณ์จริง “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”
วันหนึ่ง หัวหน้าฝ่ายจากอีกกองหนึ่งได้มาชักชวนข้าพเจ้าให้ไปช่วยงานในฝ่ายของเขา ข้าพเจ้าตอบตกลงด้วยความเกรงใจ โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนถึงสิ่งที่จะตามมา งานในฝ่ายใหม่นี้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากที่เคยนั่งทำงานเอกสารเงียบ ๆ ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ประสานงานที่ต้องพบปะผู้คนตลอดเวลา ความเครียดสะสมเริ่มก่อตัว บางครั้งก็ทำให้ข้าพเจ้ามีอารมณ์ฉุนเฉียวเกินควร แม้จะพยายามปรับตัวอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า งานนี้มีแรงกดดันมากเกินกว่าที่คิดไว้แต่แรก
จุดพลิกผันสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้าคือการที่นายกเทศมนตรีท่านหนึ่งได้เข้ามาติดต่อและเสนอให้ข้าพเจ้าเป็นตัวกลางในการ “รับเงิน” จากผู้ประกอบการที่ต้องการอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งในช่วงนั้นโครงการพัฒนาในพื้นที่มีจำนวนมาก ทำให้เงินที่หมุนเวียนผ่านมือข้าพเจ้าก็มีไม่น้อย ข้าพเจ้าทำหน้าที่นี้อย่างซื่อสัตย์ ส่งเงินทุกบาททุกสตางค์ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่เคยคิดหักหัวคิวหรือเอาเข้ากระเป๋าเลยแม้แต่นิดเดียว
หนึ่งปีผ่านไป งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเพราะยังมีหัวหน้าคนเดิมที่คอยดูแลและปกป้องข้าพเจ้าอยู่ แต่แล้ววันหนึ่ง หัวหน้าผู้นั้นได้สอบเลื่อนตำแหน่งและย้ายไปยังพื้นที่ใหม่ ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นเหมือนทหารไร้แม่ทัพ ไม่มีคนคอยประคองหลัง ความมั่นใจที่เคยมีเริ่มลดน้อยถอยลง ปัญหาที่เคยแก้ได้ ก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
สถานการณ์ยิ่งแย่ลง เมื่อเกิดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีขึ้นอีกครั้ง และแม้จะเป็นนายกคนเดิมที่กลับมานั่งเก้าอี้ แต่กลับมาพร้อมหัวหน้าคนใหม่ที่ไม่ได้มีทัศนคติสอดคล้องกับข้าพเจ้าเลย ความขัดแย้งเริ่มบานปลาย จากที่เคยร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของท่านนายกฯ ข้าพเจ้ากลับกลายเป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นปัญหา ไม่ว่าจะพยายามอธิบายอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถเรียกศรัทธาจากผู้มีอำนาจได้อีก
ท้ายที่สุด ปลัด ผู้อำนวยการ และหัวหน้าคนใหม่ ได้สมคบกันกดดันให้ข้าพเจ้าต้องลาออก ทั้งที่ไม่ได้มีความผิดใด ๆ เพียงเพราะว่า ข้าพเจ้าได้กลายเป็น “ขุนพล” ที่หมดประโยชน์ไปแล้วในสายตาของพวกเขา ข้าพเจ้าถูกบีบบังคับให้ออกไปจากที่ทำงาน โดยไม่มีแม้โอกาสได้กล่าวคำอำลา
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจคำสำนวนไทยโบราณที่ว่า
“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ได้อย่างลึกซึ้ง
ในยามที่องค์กรต้องการ ข้าพเจ้าคือคนสำคัญ เป็นมือเป็นเท้า เป็นคนที่แบกรับภาระหน้าที่ที่ไม่มีใครกล้ารับ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เมื่อผลประโยชน์หมดลง ข้าพเจ้าก็กลายเป็นเพียงเศษธุลีที่ไร้ค่า เป็นขุนพลที่ถูกปลดทิ้ง เมื่อไม่มีศึกให้รบ
วันนี้แม้จะต้องจากองค์กรแห่งนั้นมาอย่างขมขื่น แต่ข้าพเจ้ากลับได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญที่สุดของชีวิต ว่าในโลกของการงานนั้น ความดี ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดีเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอหากไม่มี “คนคุมหลัง” และเมื่อถึงคราวถูกหักหลัง แม้แต่คนที่เราปกป้องก็อาจเงียบเฉย
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจที่เคยซื่อสัตย์หรือทุ่มเท
แต่เสียใจที่เคย “ไว้ใจ” คนบางคนเกินไป…