ชำแหละองครักษ์ทีมชาติ: อวยไม่ลืมหูลืม แล้วคิดว่ารักทีม… จริงหรือหลอกตัวเอง?"

พอดีผมอยู่ในกลุ่มวอลเลย์บอลกลุ่มหนึ่งที่แตกไลน์มาจากกลุ่มฟุตบอล  มีบทความนี้มาแชร์ ซึ่งเหมาะกับเหตุการณ์ตอนนี้มากๆ

ในโลกของกีฬาระดับทีมชาติ การให้กำลังใจคือสิ่งสำคัญ
แต่เมื่อใดที่คำปลอบใจกลายเป็นเกราะกำบังคำวิจารณ์ เมื่อนั้นเอง
“ความรัก” ที่เคยบริสุทธิ์จะกลายเป็น “กับดัก” ที่ขังทีมไม่ให้โต
และนั่นคือบทบาทของ “องครักษ์สายอวย”
กลุ่มแฟนคลับที่พร้อมจะโต้กลับทุกเสียงวิจารณ์ด้วยคำพูดจำเจว่า
“ถ้าเก่งก็ไปเป็นโค้ชเองสิ”
“วิจารณ์ทำไม ทีมชาติทำดีที่สุดแล้ว”
“แพ้ก็แค่เกมกีฬา อย่าไปกดดันเด็ก”
“ภูมิใจในความเป็นไทยสิ!”
คำถามคือ…
การเชียร์แบบไม่ยอมรับความจริง = การเชียร์ที่ดีจริงเหรอ?
หรือจริง ๆ แล้ว… มันคือความกลัวที่ปลอมตัวมาเป็นความรัก?

 “องครักษ์สายอวย” มาจากไหน?
พวกเขามักจะเป็นกลุ่มแฟนที่ผูกพันกับนักกีฬาแบบ Emotional Bond
ดูทีมชาติแบบ “รักนักกีฬา” ไม่ใช่ “ดูคุณภาพการแข่งขัน”
จึงมีแนวโน้มจะปกป้องมากเกินไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสนาม
เล่นพลาด = แค่พลาดนิดเดียว
แพ้ขาด = ยังภูมิใจในหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
ไม่เปลี่ยนแท็คติกเลย = โค้ชคงมีเหตุผลในใจ
นักกีฬาฟอร์มตก 3 ปีติด = ยังเก่งอยู่ในใจเสมอ
ทั้งหมดนี้คืออาการของ “Cognitive Dissonance” หรือ ภาวะตีกันในใจ
เมื่อความจริงตรงหน้าขัดกับความรู้สึกภายใน
ก็จะเลือก “ปกป้องความรู้สึก” มากกว่ายอมรับความจริง


จิตวิทยาเบื้องหลังการอวยเกินเหตุ
หลอกตัวเองเพื่อความสบายใจ
ถ้ายอมรับว่าทีมชาติเล่นแย่ ต้องปรับแผน แปลว่าทั้งความภูมิใจและภาพจำสวยหรูมันพังลง
ทางเลือกง่ายสุดคือ "ปฏิเสธความจริง แล้วพูดซ้ำ ๆ ว่า ‘ดีที่สุดแล้ว’"
กลัวความเปลี่ยนแปลง
การขยับเปลี่ยนรุ่น การยกเครื่องระบบ = เสี่ยงต่อความไม่แน่นอน
คนจำนวนมากจึงเลือกยึดติดกับโครงสร้างเดิม คนเดิม แผนเดิม โดยไม่รู้ตัว
ยึดติดกับอดีต
หลายคนยังยึดความสำเร็จในอดีตมาเป็นไม้กันหมา
เช่น “7 เซียนเคยชนะจีนได้”, “เราเคยขึ้นอันดับ 8 โลก”
ทั้งที่ผลงานปัจจุบันสวนทางทุกอย่าง

ดาบสองคมของคำว่า “ให้กำลังใจ”
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้ทีมชาติไทยถูกเหยียดหยามหรือด่าทอ
แต่ถ้าคำว่า “ให้กำลังใจ” ถูกใช้เพื่อ กลบเสียงสะท้อนของความจริง
มันจะกลายเป็นดาบที่ย้อนทำร้ายทีมชาติยิ่งกว่าคำวิจารณ์เสียอีก
คุณบอกเด็ก ๆ ว่าทำดีที่สุดแล้ว แต่ไม่ชี้ว่าจุดอ่อนคืออะไร
คุณบอกให้สู้ต่อ แต่ไม่เรียกร้องให้สมาคมปรับปรุงระบบ
คุณชมทุกแมตช์ แต่ไม่เคยถามว่า “ทำไมรูปเกมยังเหมือนเดิม?”
แบบนี้ จะต่างอะไรกับการลูบหลังให้เดินลงเหว… แล้วบอกว่า “ภูมิใจในความกล้า”


แล้วเราควรทำยังไง?
วิจารณ์อย่างมีเหตุผล = สะท้อนเพื่อเปลี่ยนแปลง
อย่ากลัวคำว่า “ดราม่า” ถ้าสิ่งที่พูดคือข้อเท็จจริงที่เห็นในสนาม
หยุดปิดปากคนเห็นต่าง
คอมเมนต์แบบ “ถ้าเก่งก็ไปเป็นโค้ช” ไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้น มีแต่ทำให้ “ความจริงหายไปจากวงสนทนา”
รักในแบบที่ทีมชาติเติบโตได้
ไม่ใช่รักแบบตีกรอบให้อยู่แต่ในคำชม


สรุปแบบเจ็บ ๆ
ความพ่ายแพ้ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
แต่การพ่ายแพ้แล้วไม่มีใครกล้าบอกว่าสาเหตุมันอยู่ตรงไหน
นั่นแหละ… คือจุดเริ่มต้นของความพังพินาศในระยะยาว
องครักษ์ทีมชาติที่อวยจนทีมเปลี่ยนอะไรไม่ได้
คือ “กำแพงทางอารมณ์” ที่ขวางการเติบโตมากกว่าคู่แข่งในสนามเสียอีก
เชียร์ได้ รักได้ แต่อย่า “โอ๋จนทีมไม่โต”
เพราะทีมที่เก่งจริง จะไม่กลัวเสียงติ
แต่จะกลัวที่สุดก็คือ… “เสียงเงียบ ๆ ที่พูดแค่ว่า ดีแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย” 

Cr.ฟุตบอลทีมชาติไทย พันธุ์แท้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่