อิสราเอลอิหร่านตกลงหยุดยิงแล้ว เป็นเพราะอะไร

ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในภูมิภาคตะวันออกกลางดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยมีการเผชิญหน้าทางอ้อมผ่านกลุ่มติดอาวุธตัวแทนและการโจมตีทางอากาศสลับกับข้อกล่าวหาการลอบสังหารบุคลากรสำคัญ แต่ล่าสุดทั้งสองฝ่ายได้ประกาศตกลงหยุดยิงกันอย่างมีเงื่อนไข สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ที่เกิดขึ้นเบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
สถานการณ์ความขัดแย้งก่อนการหยุดยิง
ในช่วงก่อนการประกาศหยุดยิง เราได้เห็นการตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง ทั้งฝ่ายอิหร่านที่ใช้กลุ่มมุสลิมชีอะฮ์ในเลบานอน เยเมน และอิรักในการยิงจรวดหรือปล่อยเรือไร้คนขับเข้าโจมตีเป้าหมายของอิสราเอล ขณะที่อิสราเอลก็สางกองกำลังอากาศเข้าโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มเหล่านั้นหลายครั้ง การปะทะนี้สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตผู้พลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน อีกทั้งยังสร้างความตึงเครียดให้กับเส้นทางขนส่งน้ำมันสากล
เหตุผลสำคัญที่นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง
ความเหนื่อยล้าทางทรัพยากรและเศรษฐกิจ
ทั้งสองฝ่ายต่างแบกรับต้นทุนทางการเงินสูงจากการโจมตีและตอบโต้เรื่อยมา ภายใต้สถานการณ์ที่ราคาพลังงานโลกผันผวน การยืดเยื้ออาจทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศทั้งสองอยู่ในภาวะย่ำแย่ยิ่งขึ้น
แรงกดดันทางการทูตระหว่างประเทศ
สหรัฐฯ และชาติยุโรปหลายประเทศแสดงท่าทีเรียกร้องให้อิสราเอลและอิหร่านระงับการสู้รบ ทั้งนี้รวมถึงการคุกคามคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่ออิหร่าน และความพยายามชักจูงให้สองฝ่ายเข้าสู่กระบวนการเจรจาโดยใช้สหประชาชาติเป็นเวทีกลาง
การปรับยุทธศาสตร์ทางทหาร
เมื่อสัมผัสได้ว่าหากผลักดันให้การสู้รบยืดเยื้อ สถานการณ์อาจบานปลายจนก่อให้เกิดการเผชิญหน้าทางบกหรือทะเลทรายระหว่างกองกำลังหลักทั้งสอง จึงมีการเลือก “หยุดยิง” เพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ ปรับกำลังและหลบเลี่ยงความเสี่ยงทางทหารขนาดใหญ่
ความคาดหวังด้านมนุษยธรรม
ภายใต้แรงกดดันจากประชาคมโลกและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งอิสราเอลและอิหร่านจำเป็นต้องลดการสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์และบรรเทาความทุกข์ทรมานของประชาชนในพื้นที่ที่เป็นสนามรบ

การตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านครั้งนี้ มิได้เกิดขึ้นโดยปาฏิหาริย์ หากแต่เป็นผลจากความคำนึงถึงต้นทุนทางเศรษฐกิจ การกดดันทางการทูตระหว่างประเทศ การปรับยุทธศาสตร์ทางทหาร และข้อพิจารณาด้านมนุษยธรรมร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางในภูมิภาคยังคงมีอยู่สูง การรักษาบทสนทนาทางการทูตและการสร้างกลไกตรวจสอบการหยุดยิงอย่างเข้มแข็งจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์กลับมาเย็นเป็นร้อนอีกครั้งในอนาคตอันใกล้

มีปัจจัยหลัก ๆ หลายข้อที่ทำให้ทั้งอิสราเอลกับอิหร่าน (รวมถึงผู้แทนหรือกลุ่มแนวร่วมของทั้งสองฝ่าย) ตกลงหยุดยิงกันชั่วคราวได้ดังนี้

1. เสี่ยงเกิดสงครามเต็มรูป
ทั้งสองฝั่งตระหนักว่าการขยายปฏิบัติการโจมตีข้ามพรมแดนอาจปะทุเป็นสงครามระหว่างรัฐเต็มรูป ซึ่งฝ่ายไหนก็มีต้นทุนมหาศาลทั้งชีวิตผู้คน-ทรัพยากร
การยิงกันลามไปถึงเลบานอน ซีเรีย หรือช่องแคบฮอร์มุซ จะยิ่งซ้ำเติมความตึงเครียดในภูมิภาค
2. การไกล่เกลี่ยเบื้องหลัง (Back-channel diplomacy)
อิหร่านใช้อิหม่ามโอมาเนียหรือสวิตเซอร์แลนด์เป็นคนกลางประสานกับอิสราเอล
อาเซอร์ไบจาน จีน หรือรัสเซีย ก็มีบทบาทให้ถอยคนละก้าวเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
3. แรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก
สหรัฐฯ ยุโรป และสหประชาชาติออกมาตักเตือนว่า “หากขยายเป็นสงคราม จะกระทบเสถียรภาพโลก-ราคาน้ำมัน”
คำขู่เรื่องการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่ออิหร่าน และการจำกัดอุปทานพลังงานจากตะวันออกกลาง สร้างแรงจูงใจให้ต้องลดระดับการเผชิญหน้า
4. ปัจจัยภายในประเทศ
อิหร่านกำลังเจอปัญหาเศรษฐกิจ-เงินเฟ้อสูง ต้องการโฟกัสเจรจานิวเคลียร์เพื่อแลกกับการคลายคว่ำบาตร
อิสราเอลก็ต้องการลดความตึงเครียดที่ชายแดนเหนือ (เลบานอน–ซีเรีย) และใต้ (ฉนวนกาซา) เพื่อรักษาเสถียรภาพภายใน
5 หวังแลกเปลี่ยน “ของกำนัล” ทางการเมือง/ข่าวกรอง
มีรายงานว่าทั้งสองฝ่ายตกลงปล่อยตัวนักโทษ-ผู้ต้องสงสัยบางคน
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย/เลบานอน เพื่อควบคุมสถานการณ์ในอนาคต


สรุปคือ การหยุดยิงครั้งนี้เป็นผลจาก “ความระมัดระวังไม่ให้กลายเป็นสงครามเต็มรูป” ตามด้วย “แรงกดดันด้านการเมือง-เศรษฐกิจ” และการใช้ “ช่องทางไกล่เกลี่ยลับ” เพื่อให้แต่ละฝ่ายมีทางออก ลดหน้าที่ท้าทายทางการเมืองภายใน และเปิดทางเจรจาในอนาคตโดยยังรักษาไว้ซึ่ง “กลไกสกัดความตึงเครียด” ต่อไปได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่