เนื่องจากไปนั่งเถียงกับเพื่อนสมาชิกคนหนึ่งในกระทู้พันทิปนี่แหละ เรื่องสงครามอิสราเอล - อิหร่าน เลยมานั่งนึกอยู่ว่าในมุมมองของความเป็นจริงบางอย่าง มันคืออะไรกันแน่เลยให้ AI. ลองวิเคราะห์และประเมินดู ผลลัพท์ที่ออกมาได้เลยอยากเอามาแชร์และแลกเปลี่ยนความเห็นกันกับเพื่อนสมาชิกครับ ต้นเรื่องคือความคุ้มค่าต่อต้นทุนระหว่างปฏิบัติการ (ของอิสราเอล) โดยฝูงบิน และการโจมตีด้วยจรวดนำวิถีระยะไกล ตามนี้เลยครับ
==================================================================================================
การวิเคราะห์ยุทธการที่อิสราเอลอาจใช้โจมตีอิหร่านในบริบทสมมติปี 2025 ต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งด้านยุทธศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐศาสตร์ โดยเปรียบเทียบระหว่างการโจมตีด้วย ฝูงบิน (อากาศยานรบ) และ อาวุธจรวดระยะไกล (เช่น ขีปนาวุธหรือโดรน):
==================================================================================================
1. ต้นทุนที่ใช้ในปฏิบัติการ
- ฝูงบิน:
- ต้นทุนสูงมาก เนื่องจากต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมาก ระบบสนับสนุนทางลอจิสติกส์ (เช่น การเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ) และความเสี่ยงต่อการสูญเสียอากาศยาน (ค่าเสียหาย + การช่วยเหลือนักบิน).
- ต้องใช้เครื่องบินรุ่นทันสมัย (เช่น F-35I Adir) ที่มีระบบหลบเลี่ยงเรดาร์ แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกสกัดด้วยระบบป้องกันทางอากาศของอิหร่าน (เช่น S-300, Bavar-373).
- อาวุธจรวดระยะไกล:
- ต้นทุนต่ำกว่า เมื่อเทียบต่อเป้าหมาย แต่จรวดแม่นยำสูง (เช่น ขีปนาวุธ Delilah หรือ Jericho) อาจมีราคาสูง (ล้านดอลลาร์ต่อลูก).
- ไม่เสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และไม่ต้องใช้ระบบสนับสนุนซับซ้อน.
สรุป: อาวุธจรวดคุ้มค่ากว่าในระยะสั้น แต่หากเป้าหมายมีจำนวนมาก การใช้ฝูงบินอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า.
2. ประสิทธิภาพและความแม่นยำในการโจมตี
- ฝูงบิน:
- แม่นยำสูง โดยเฉพาะกับอาวุธนำวิถี (เช่น JDAM, ขีปนาวุธอากาศ-พื้น) ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป้าหมายกลางอากาศได้.
- เหมาะกับเป้าหมายเคลื่อนที่หรือต้องยืนยันก่อนโจมตี.
- อาวุธจรวดระยะไกล:
- แม่นยำปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับระบบนำวิถี (GPS/INS, เรดาร์).
- อาจถูกรบกวนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์วอร์เฟียร์ (EW) ของอิหร่าน.
สรุป: ฝูงบินมีความยืดหยุ่นและแม่นยำกว่า แต่จรวดอาจเพียงพอสำหรับเป้าหมายคงที่.
3. ความเสียหายต่อเป้าหมาย
- ฝูงบิน:
- สามารถโจมตีซ้ำได้หลายระลอก และใช้ระเบิดขนาดใหญ่ (เช่น GBU-28) ทำลายโครงสร้างใต้ดิน.
- ก่อความเสียหายได้มากกว่าในเชิงกายภาพและจิตวิทยา.
- อาวุธจรวดระยะไกล:
- ถูกจำกัดโดยน้ำหนักหัวรบ (มักไม่เกิน 500 กก.) และจำนวนจรวดที่ยิงได้ในคราวเดียว.
- อาจไม่เพียงพอต่อเป้าหมายแข็งแกร่ง (เช่น โรงงานนิวเคลียร์ Fordow).
สรุป: ฝูงบินเหมาะสำหรับการทำลายล้างสูง แต่จรวดอาจใช้สำหรับโจมตีแบบเร็วและหลากหลายเป้าหมาย.
4. ปัจจัยอื่น ๆ
- การตอบโต้ของอิหร่าน:
- อิหร่านอาจตอบโต้ด้วยขีปนาวุธหรือโจมตีผ่านกลุ่มพร็อกซี (เช่น Hezbollah) การใช้ฝูงบินอาจถูกมองเป็นการยั่วยุที่รุนแรงกว่า.
- ความเร็วในการปฏิบัติการ:
- จรวดระยะไกลสามารถโจมตีได้ทันที ในขณะที่ฝูงบินต้องใช้เวลาเตรียมการ.
- การควบคุมความเสียหายพลเรือน:
- ฝูงบินสามารถลดความเสียหาย collateral damage ได้ดีกว่าเนื่องจากเลือกเป้าหมายได้ละเอียดกว่า.
ข้อสรุป: แนวทางที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ
1. หากเป้าหมายมีจำนวนน้อยและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ (เช่น โรงงานนิวเคลียร์):
- ใช้ฝูงบิน เพื่อความแม่นยำและพลังทำลายล้างสูง แม้ต้นทุนจะสูง.
2. หากเป้าหมายกระจายตัวหรือต้องการโจมตีเร็ว:
- ใช้จรวดระยะไกล ร่วมกับโดรน (เช่น Shahed-136 ที่อิสราเอลอาจยึดได้) เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยง.
3. กลยุทธ์ผสม:
- เริ่มต้นด้วยจรวดเพื่อทำลายระบบป้องกันทางอากาศ (SEAD) จากนั้นส่งฝูงบินเข้าโจมตีเป้าหมายสำคัญ.
หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติ อิสราเอลมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เช่น การโจมตีซีเรียมักใช้ขีปนาวุธ ในขณะที่ปฏิบัติการต่ออิหร่าน (เช่น การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในอดีต) ใช้ฝูงบิน.
ทั้งนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับ ข่าวกรองที่แม่นยำ และ ความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยี ของอิสราเอลเหนือระบบป้องกันของอิหร่าน.
==================================================================================================
ราคาของขีปนาวุธระยะยิงไกล (~2,000 กม.) ที่อิสราเอลอาจใช้โจมตีอิหร่านขึ้นอยู่กับประเภทของจรวด เทคโนโลยีนำวิถี และกำลังทำลายหัวรบ โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักตามคลังอาวุธของอิสราเอล:
==================================================================================================
1. ขีปนาวุธพื้น-พื้นกลยุทธ์ (Ballistic Missiles)
# Jericho III (ระยะยิง 4,000–6,000 กม.)
- ราคาประมาณ: 20–50 ล้านดอลลาร์/ลูก
- เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM-level) หัวรบนิวเคลียร์ได้ แม้อิสราเอลจะไม่ยืนยันการใช้งานเชิงรุก แต่มีไว้สำหรับป้องปราม
- ต้นทุนสูงจากระบบนำวิถีขั้นสูง (อาจใช้ GPS/INS + เรดาร์) และเทคโนโลยีหลบเรดาร์
# Jericho II (ระยะยิง 1,500–3,500 กม.)
- ราคาประมาณ: 10–20 ล้านดอลลาร์/ลูก
- พัฒนาสำหรับเป้าหมายระยะกลาง ใช้หัวรบ conventional หรือพิเศษ (เช่น EMP)
2. ขีปนาวุธนำวิถี (Cruise Missiles)
# Popeye Turbo SLCM (ระยะยิง 1,500 กม.+)
- ราคาประมาณ: 3–6 ล้านดอลลาร์/ลูก
- จรวดนำวิถีระดับกลาง ยิงจากเรือดำน้ำหรือพื้นดิน ใช้ระบบภาพถ่ายดาวเทียม + TERCOM (ภูมิประเทศ比对)
- ต้นทุนต่ำกว่าขีปนาวุธ ballistic เนื่องจากไม่ต้องใช้ระบบขับดันขั้นสูง
# LORA (Precision Tactical Ballistic Missile) (ระยะยิง 400 กม.)
- หมายเหตุ: ระยะไม่ถึง 2,000 กม. แต่เป็นตัวอย่างต้นทุน
- ราคาประมาณ: 2–3 ล้านดอลลาร์/ลูก
การเปรียบเทียบกับขีปนาวุธอื่นในตลาด
- Tomahawk (สหรัฐฯ): ~2 ล้านดอลลาร์/ลูก (ระยะ 1,600 กม.)
- Shahed-136 (อิหร่าน): ~20,000–50,000 ดอลลาร์/ลูก (แต่เป็นโดรนระเบิด ระยะ 2,000 กม.)
- DF-21 (จีน): ~10 ล้านดอลลาร์/ลูก (ระยะ 2,150 กม.)
ปัจจัยที่กระทบราคา
1. ระบบนำวิถี:
- GPS/INS + เรดาร์หรือภาพถ่าย → เพิ่มราคา 30–50%
2. หัวรบ:
- หัวรบ conventional (500 กก.) vs พิเศษ (EMP, เฉียบพลัน) → +5–10 ล้านดอลลาร์
3. stealth:
- วัสดุดูดซับเรดาร์หรือวิถีโค้งบรรยากาศ → เพิ่มต้นทุน
สรุป: ราคาโดยประมาณสำหรับอิสราเอล
- จรวด ballistic (2,000 กม.): 10–30 ล้านดอลลาร์/ลูก
(Jericho II หรือพัฒนารุ่นพิเศษ)
- จรวด cruise (2,000 กม.): 5–10 ล้านดอลลาร์/ลูก
(เช่น Popeye Turbo รุ่นปรับระยะ)
หมายเหตุ:
- ราคาอาจสูงขึ้นหากเป็นปฏิบัติการลับ (เช่น สั่งผลิตพิเศษ)
- อิสราเอลอาจใช้วิธี ยิงจรวดจำนวนน้อยแต่แม่นยำ แทนการยิงระดมเพื่อลดต้นทุน
- การโจมตีด้วยโดรน (เช่น Harop) อาจถูกกว่าแต่ระยะไม่ถึง 2,000 กม.
==================================================================================================
ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างการโจมตีอิหร่านด้วย "ฝูงบิน" vs "อาวุธจรวดระยะไกล"
(สมมติฐาน: โจมตีเป้าหมาย 10 จุดในอิหร่าน โดยให้มีความเสียหายและความแม่นยำใกล้เคียงกัน)
==================================================================================================
ปัจจัยในการพิจารณา
1. ต้นทุนต่อปฏิบัติการ
1.1 ฝูงบินปฏิบัติการ 50–100 ล้านดอลลาร์ (รวมเชื้อเพลิง, อาวุธ, การสนับสนุน, ความเสี่ยงสูญเสียอากาศยาน)
1.2 ใช้จรวดโจมตี 100–300 ล้านดอลลาร์ (จรวด 10–20 ลูก/จุด ราคา 5–30 ล้านดอลลาร์/ลูก) **ฝูงบินถูกกว่า** หากไม่สูญเสียเครื่องบิน
2. ความแม่นยำ
2.1 ฝูงบินปฏิบัติการ สูงมาก (GPS/Laser-guided bombs) ปรับเป้าหมายกลางอากาศได้
2.2 ใช้จรวดโจมตี สูง (แต่ขึ้นกับระบบนำวิถี) อาจถูกรบกวนด้วย EW ของอิหร่าน **ฝูงบินแม่นยำกว่า**
3. ความเสียหายต่อเป้าหมาย
3.1 ฝูงบินปฏิบัติการ ทำลายล้างสูง (ระเบิดขนาดใหญ่ เช่น GBU-28) โจมตีซ้ำได้ง่าย
3.2 ใช้จรวดโจมตี ถูกจำกัดด้วยน้ำหนักหัวรบ (มัก ≤500 กก.) ต้องยิงหลายลูกเพื่อผลลัพธ์เทียบเท่า **ฝูงบินทำลายได้มากกว่า**
4. ความเสี่ยง
4.1 ฝูงบินปฏิบัติการ เสี่ยงต่อการสูญเสียอากาศยานและนักบิน อาจถูกสกัดด้วย S-300/Bavar-373
4.2 ใช้จรวดโจมตี ความเสี่ยงต่ำ (ไม่มีนักบิน) แต่จรวดอาจถูกสกัดด้วยระบบป้องกัน **จรวดเสี่ยงน้อยกว่า**
5. เวลาและความยืดหยุ่น
5.1 ฝูงบินปฏิบัติการ ต้องวางแผนล่วงหน้า นานหลายชม./วัน ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้
5.2 ใช้จรวดโจมตี โจมตีได้ทันที (ยิงพร้อมกันหลายจุด) ยืดหยุ่นน้อยกว่าเมื่อยิงแล้ว **จรวดเร็วกว่า**
6. ผลกระทบทางการเมือง
6.1 ฝูงบินปฏิบัติการ อาจถูกมองเป็นการโจมตีโดยตรงที่รุนแรง เสี่ยงต่อการตอบโต้แบบเต็มรูปแบบ
6.2 ใช้จรวดโจมตี สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ง่ายกว่า (เช่น อ้างว่าเป็นกลุ่มอื่น) **จรวดเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่า**
ข้อสรุป: อะไรคุ้มค่ากว่า?
1. หากเป้าหมายคือความเร็วและลดความเสี่ยงต่อนักบิน** → **เลือกจรวดระยะไกล** แม้ต้นทุนสูงกว่า
2. หากต้องการความแม่นยำสูง + ทำลายล้างมาก + ควบคุมค่าใช้จ่าย** → **เลือกฝูงบิน** (แต่ต้องยอมรับความเสี่ยง)
3. กลยุทธ์ที่สมดุล :
- ใช้จรวดระยะไกลสำหรับเป้าหมายสำคัญที่ป้องกันแน่นหนา (เช่น ฐานทัพใต้ดิน)
- ใช้ฝูงบินสำหรับเป้าหมายเคลื่อนที่หรือต้องความแม่นยำสูง (เช่น ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์)
หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติ อิสราเอลมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เช่น
- ขั้นตอน 1: ยิงจรวด/โดรนทำลายระบบป้องกันทางอากาศ (SEAD)
- ขั้นตอน 2: ส่ง F-35I โจมตีด้วยระเบิดนำวิถีเพื่อความเสียหายสูงสุด
ความคุ้มค่าทางยุทธวิธีในสงครามอิสราเอล - อิหร่าน ปี 2568
==================================================================================================
การวิเคราะห์ยุทธการที่อิสราเอลอาจใช้โจมตีอิหร่านในบริบทสมมติปี 2025 ต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งด้านยุทธศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐศาสตร์ โดยเปรียบเทียบระหว่างการโจมตีด้วย ฝูงบิน (อากาศยานรบ) และ อาวุธจรวดระยะไกล (เช่น ขีปนาวุธหรือโดรน):
==================================================================================================
1. ต้นทุนที่ใช้ในปฏิบัติการ
- ฝูงบิน:
- ต้นทุนสูงมาก เนื่องจากต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมาก ระบบสนับสนุนทางลอจิสติกส์ (เช่น การเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ) และความเสี่ยงต่อการสูญเสียอากาศยาน (ค่าเสียหาย + การช่วยเหลือนักบิน).
- ต้องใช้เครื่องบินรุ่นทันสมัย (เช่น F-35I Adir) ที่มีระบบหลบเลี่ยงเรดาร์ แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกสกัดด้วยระบบป้องกันทางอากาศของอิหร่าน (เช่น S-300, Bavar-373).
- อาวุธจรวดระยะไกล:
- ต้นทุนต่ำกว่า เมื่อเทียบต่อเป้าหมาย แต่จรวดแม่นยำสูง (เช่น ขีปนาวุธ Delilah หรือ Jericho) อาจมีราคาสูง (ล้านดอลลาร์ต่อลูก).
- ไม่เสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และไม่ต้องใช้ระบบสนับสนุนซับซ้อน.
สรุป: อาวุธจรวดคุ้มค่ากว่าในระยะสั้น แต่หากเป้าหมายมีจำนวนมาก การใช้ฝูงบินอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า.
2. ประสิทธิภาพและความแม่นยำในการโจมตี
- ฝูงบิน:
- แม่นยำสูง โดยเฉพาะกับอาวุธนำวิถี (เช่น JDAM, ขีปนาวุธอากาศ-พื้น) ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป้าหมายกลางอากาศได้.
- เหมาะกับเป้าหมายเคลื่อนที่หรือต้องยืนยันก่อนโจมตี.
- อาวุธจรวดระยะไกล:
- แม่นยำปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับระบบนำวิถี (GPS/INS, เรดาร์).
- อาจถูกรบกวนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์วอร์เฟียร์ (EW) ของอิหร่าน.
สรุป: ฝูงบินมีความยืดหยุ่นและแม่นยำกว่า แต่จรวดอาจเพียงพอสำหรับเป้าหมายคงที่.
3. ความเสียหายต่อเป้าหมาย
- ฝูงบิน:
- สามารถโจมตีซ้ำได้หลายระลอก และใช้ระเบิดขนาดใหญ่ (เช่น GBU-28) ทำลายโครงสร้างใต้ดิน.
- ก่อความเสียหายได้มากกว่าในเชิงกายภาพและจิตวิทยา.
- อาวุธจรวดระยะไกล:
- ถูกจำกัดโดยน้ำหนักหัวรบ (มักไม่เกิน 500 กก.) และจำนวนจรวดที่ยิงได้ในคราวเดียว.
- อาจไม่เพียงพอต่อเป้าหมายแข็งแกร่ง (เช่น โรงงานนิวเคลียร์ Fordow).
สรุป: ฝูงบินเหมาะสำหรับการทำลายล้างสูง แต่จรวดอาจใช้สำหรับโจมตีแบบเร็วและหลากหลายเป้าหมาย.
4. ปัจจัยอื่น ๆ
- การตอบโต้ของอิหร่าน:
- อิหร่านอาจตอบโต้ด้วยขีปนาวุธหรือโจมตีผ่านกลุ่มพร็อกซี (เช่น Hezbollah) การใช้ฝูงบินอาจถูกมองเป็นการยั่วยุที่รุนแรงกว่า.
- ความเร็วในการปฏิบัติการ:
- จรวดระยะไกลสามารถโจมตีได้ทันที ในขณะที่ฝูงบินต้องใช้เวลาเตรียมการ.
- การควบคุมความเสียหายพลเรือน:
- ฝูงบินสามารถลดความเสียหาย collateral damage ได้ดีกว่าเนื่องจากเลือกเป้าหมายได้ละเอียดกว่า.
ข้อสรุป: แนวทางที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ
1. หากเป้าหมายมีจำนวนน้อยและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ (เช่น โรงงานนิวเคลียร์):
- ใช้ฝูงบิน เพื่อความแม่นยำและพลังทำลายล้างสูง แม้ต้นทุนจะสูง.
2. หากเป้าหมายกระจายตัวหรือต้องการโจมตีเร็ว:
- ใช้จรวดระยะไกล ร่วมกับโดรน (เช่น Shahed-136 ที่อิสราเอลอาจยึดได้) เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยง.
3. กลยุทธ์ผสม:
- เริ่มต้นด้วยจรวดเพื่อทำลายระบบป้องกันทางอากาศ (SEAD) จากนั้นส่งฝูงบินเข้าโจมตีเป้าหมายสำคัญ.
หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติ อิสราเอลมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เช่น การโจมตีซีเรียมักใช้ขีปนาวุธ ในขณะที่ปฏิบัติการต่ออิหร่าน (เช่น การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในอดีต) ใช้ฝูงบิน.
ทั้งนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับ ข่าวกรองที่แม่นยำ และ ความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยี ของอิสราเอลเหนือระบบป้องกันของอิหร่าน.
==================================================================================================
ราคาของขีปนาวุธระยะยิงไกล (~2,000 กม.) ที่อิสราเอลอาจใช้โจมตีอิหร่านขึ้นอยู่กับประเภทของจรวด เทคโนโลยีนำวิถี และกำลังทำลายหัวรบ โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักตามคลังอาวุธของอิสราเอล:
==================================================================================================
1. ขีปนาวุธพื้น-พื้นกลยุทธ์ (Ballistic Missiles)
# Jericho III (ระยะยิง 4,000–6,000 กม.)
- ราคาประมาณ: 20–50 ล้านดอลลาร์/ลูก
- เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM-level) หัวรบนิวเคลียร์ได้ แม้อิสราเอลจะไม่ยืนยันการใช้งานเชิงรุก แต่มีไว้สำหรับป้องปราม
- ต้นทุนสูงจากระบบนำวิถีขั้นสูง (อาจใช้ GPS/INS + เรดาร์) และเทคโนโลยีหลบเรดาร์
# Jericho II (ระยะยิง 1,500–3,500 กม.)
- ราคาประมาณ: 10–20 ล้านดอลลาร์/ลูก
- พัฒนาสำหรับเป้าหมายระยะกลาง ใช้หัวรบ conventional หรือพิเศษ (เช่น EMP)
2. ขีปนาวุธนำวิถี (Cruise Missiles)
# Popeye Turbo SLCM (ระยะยิง 1,500 กม.+)
- ราคาประมาณ: 3–6 ล้านดอลลาร์/ลูก
- จรวดนำวิถีระดับกลาง ยิงจากเรือดำน้ำหรือพื้นดิน ใช้ระบบภาพถ่ายดาวเทียม + TERCOM (ภูมิประเทศ比对)
- ต้นทุนต่ำกว่าขีปนาวุธ ballistic เนื่องจากไม่ต้องใช้ระบบขับดันขั้นสูง
# LORA (Precision Tactical Ballistic Missile) (ระยะยิง 400 กม.)
- หมายเหตุ: ระยะไม่ถึง 2,000 กม. แต่เป็นตัวอย่างต้นทุน
- ราคาประมาณ: 2–3 ล้านดอลลาร์/ลูก
การเปรียบเทียบกับขีปนาวุธอื่นในตลาด
- Tomahawk (สหรัฐฯ): ~2 ล้านดอลลาร์/ลูก (ระยะ 1,600 กม.)
- Shahed-136 (อิหร่าน): ~20,000–50,000 ดอลลาร์/ลูก (แต่เป็นโดรนระเบิด ระยะ 2,000 กม.)
- DF-21 (จีน): ~10 ล้านดอลลาร์/ลูก (ระยะ 2,150 กม.)
ปัจจัยที่กระทบราคา
1. ระบบนำวิถี:
- GPS/INS + เรดาร์หรือภาพถ่าย → เพิ่มราคา 30–50%
2. หัวรบ:
- หัวรบ conventional (500 กก.) vs พิเศษ (EMP, เฉียบพลัน) → +5–10 ล้านดอลลาร์
3. stealth:
- วัสดุดูดซับเรดาร์หรือวิถีโค้งบรรยากาศ → เพิ่มต้นทุน
สรุป: ราคาโดยประมาณสำหรับอิสราเอล
- จรวด ballistic (2,000 กม.): 10–30 ล้านดอลลาร์/ลูก
(Jericho II หรือพัฒนารุ่นพิเศษ)
- จรวด cruise (2,000 กม.): 5–10 ล้านดอลลาร์/ลูก
(เช่น Popeye Turbo รุ่นปรับระยะ)
หมายเหตุ:
- ราคาอาจสูงขึ้นหากเป็นปฏิบัติการลับ (เช่น สั่งผลิตพิเศษ)
- อิสราเอลอาจใช้วิธี ยิงจรวดจำนวนน้อยแต่แม่นยำ แทนการยิงระดมเพื่อลดต้นทุน
- การโจมตีด้วยโดรน (เช่น Harop) อาจถูกกว่าแต่ระยะไม่ถึง 2,000 กม.
==================================================================================================
ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างการโจมตีอิหร่านด้วย "ฝูงบิน" vs "อาวุธจรวดระยะไกล"
(สมมติฐาน: โจมตีเป้าหมาย 10 จุดในอิหร่าน โดยให้มีความเสียหายและความแม่นยำใกล้เคียงกัน)
==================================================================================================
ปัจจัยในการพิจารณา
1. ต้นทุนต่อปฏิบัติการ
1.1 ฝูงบินปฏิบัติการ 50–100 ล้านดอลลาร์ (รวมเชื้อเพลิง, อาวุธ, การสนับสนุน, ความเสี่ยงสูญเสียอากาศยาน)
1.2 ใช้จรวดโจมตี 100–300 ล้านดอลลาร์ (จรวด 10–20 ลูก/จุด ราคา 5–30 ล้านดอลลาร์/ลูก) **ฝูงบินถูกกว่า** หากไม่สูญเสียเครื่องบิน
2. ความแม่นยำ
2.1 ฝูงบินปฏิบัติการ สูงมาก (GPS/Laser-guided bombs) ปรับเป้าหมายกลางอากาศได้
2.2 ใช้จรวดโจมตี สูง (แต่ขึ้นกับระบบนำวิถี) อาจถูกรบกวนด้วย EW ของอิหร่าน **ฝูงบินแม่นยำกว่า**
3. ความเสียหายต่อเป้าหมาย
3.1 ฝูงบินปฏิบัติการ ทำลายล้างสูง (ระเบิดขนาดใหญ่ เช่น GBU-28) โจมตีซ้ำได้ง่าย
3.2 ใช้จรวดโจมตี ถูกจำกัดด้วยน้ำหนักหัวรบ (มัก ≤500 กก.) ต้องยิงหลายลูกเพื่อผลลัพธ์เทียบเท่า **ฝูงบินทำลายได้มากกว่า**
4. ความเสี่ยง
4.1 ฝูงบินปฏิบัติการ เสี่ยงต่อการสูญเสียอากาศยานและนักบิน อาจถูกสกัดด้วย S-300/Bavar-373
4.2 ใช้จรวดโจมตี ความเสี่ยงต่ำ (ไม่มีนักบิน) แต่จรวดอาจถูกสกัดด้วยระบบป้องกัน **จรวดเสี่ยงน้อยกว่า**
5. เวลาและความยืดหยุ่น
5.1 ฝูงบินปฏิบัติการ ต้องวางแผนล่วงหน้า นานหลายชม./วัน ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้
5.2 ใช้จรวดโจมตี โจมตีได้ทันที (ยิงพร้อมกันหลายจุด) ยืดหยุ่นน้อยกว่าเมื่อยิงแล้ว **จรวดเร็วกว่า**
6. ผลกระทบทางการเมือง
6.1 ฝูงบินปฏิบัติการ อาจถูกมองเป็นการโจมตีโดยตรงที่รุนแรง เสี่ยงต่อการตอบโต้แบบเต็มรูปแบบ
6.2 ใช้จรวดโจมตี สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ง่ายกว่า (เช่น อ้างว่าเป็นกลุ่มอื่น) **จรวดเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่า**
ข้อสรุป: อะไรคุ้มค่ากว่า?
1. หากเป้าหมายคือความเร็วและลดความเสี่ยงต่อนักบิน** → **เลือกจรวดระยะไกล** แม้ต้นทุนสูงกว่า
2. หากต้องการความแม่นยำสูง + ทำลายล้างมาก + ควบคุมค่าใช้จ่าย** → **เลือกฝูงบิน** (แต่ต้องยอมรับความเสี่ยง)
3. กลยุทธ์ที่สมดุล :
- ใช้จรวดระยะไกลสำหรับเป้าหมายสำคัญที่ป้องกันแน่นหนา (เช่น ฐานทัพใต้ดิน)
- ใช้ฝูงบินสำหรับเป้าหมายเคลื่อนที่หรือต้องความแม่นยำสูง (เช่น ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์)
หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติ อิสราเอลมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เช่น
- ขั้นตอน 1: ยิงจรวด/โดรนทำลายระบบป้องกันทางอากาศ (SEAD)
- ขั้นตอน 2: ส่ง F-35I โจมตีด้วยระเบิดนำวิถีเพื่อความเสียหายสูงสุด