ความคุ้มค่าทางยุทธวิธีในสงครามอิสราเอล - อิหร่าน ปี 2568

เนื่องจากไปนั่งเถียงกับเพื่อนสมาชิกคนหนึ่งในกระทู้พันทิปนี่แหละ เรื่องสงครามอิสราเอล - อิหร่าน  เลยมานั่งนึกอยู่ว่าในมุมมองของความเป็นจริงบางอย่าง มันคืออะไรกันแน่เลยให้ AI. ลองวิเคราะห์และประเมินดู ผลลัพท์ที่ออกมาได้เลยอยากเอามาแชร์และแลกเปลี่ยนความเห็นกันกับเพื่อนสมาชิกครับ ต้นเรื่องคือความคุ้มค่าต่อต้นทุนระหว่างปฏิบัติการ (ของอิสราเอล) โดยฝูงบิน และการโจมตีด้วยจรวดนำวิถีระยะไกล  ตามนี้เลยครับ

==================================================================================================
การวิเคราะห์ยุทธการที่อิสราเอลอาจใช้โจมตีอิหร่านในบริบทสมมติปี 2025 ต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งด้านยุทธศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐศาสตร์ โดยเปรียบเทียบระหว่างการโจมตีด้วย ฝูงบิน (อากาศยานรบ) และ อาวุธจรวดระยะไกล (เช่น ขีปนาวุธหรือโดรน):
==================================================================================================
1. ต้นทุนที่ใช้ในปฏิบัติการ
- ฝูงบิน:  
  - ต้นทุนสูงมาก เนื่องจากต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมาก ระบบสนับสนุนทางลอจิสติกส์ (เช่น การเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ) และความเสี่ยงต่อการสูญเสียอากาศยาน (ค่าเสียหาย + การช่วยเหลือนักบิน).  
  - ต้องใช้เครื่องบินรุ่นทันสมัย (เช่น F-35I Adir) ที่มีระบบหลบเลี่ยงเรดาร์ แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกสกัดด้วยระบบป้องกันทางอากาศของอิหร่าน (เช่น S-300, Bavar-373).  

- อาวุธจรวดระยะไกล:  
  - ต้นทุนต่ำกว่า เมื่อเทียบต่อเป้าหมาย แต่จรวดแม่นยำสูง (เช่น ขีปนาวุธ Delilah หรือ Jericho) อาจมีราคาสูง (ล้านดอลลาร์ต่อลูก).  
  - ไม่เสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และไม่ต้องใช้ระบบสนับสนุนซับซ้อน.  

สรุป: อาวุธจรวดคุ้มค่ากว่าในระยะสั้น แต่หากเป้าหมายมีจำนวนมาก การใช้ฝูงบินอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า.

2. ประสิทธิภาพและความแม่นยำในการโจมตี
- ฝูงบิน:  
  - แม่นยำสูง โดยเฉพาะกับอาวุธนำวิถี (เช่น JDAM, ขีปนาวุธอากาศ-พื้น) ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป้าหมายกลางอากาศได้.  
  - เหมาะกับเป้าหมายเคลื่อนที่หรือต้องยืนยันก่อนโจมตี.  

- อาวุธจรวดระยะไกล:  
  - แม่นยำปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับระบบนำวิถี (GPS/INS, เรดาร์).  
  - อาจถูกรบกวนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์วอร์เฟียร์ (EW) ของอิหร่าน.  
สรุป: ฝูงบินมีความยืดหยุ่นและแม่นยำกว่า แต่จรวดอาจเพียงพอสำหรับเป้าหมายคงที่.

3. ความเสียหายต่อเป้าหมาย
- ฝูงบิน:  
  - สามารถโจมตีซ้ำได้หลายระลอก และใช้ระเบิดขนาดใหญ่ (เช่น GBU-28) ทำลายโครงสร้างใต้ดิน.  
  - ก่อความเสียหายได้มากกว่าในเชิงกายภาพและจิตวิทยา.  

- อาวุธจรวดระยะไกล:  
  - ถูกจำกัดโดยน้ำหนักหัวรบ (มักไม่เกิน 500 กก.) และจำนวนจรวดที่ยิงได้ในคราวเดียว.  
  - อาจไม่เพียงพอต่อเป้าหมายแข็งแกร่ง (เช่น โรงงานนิวเคลียร์ Fordow).  
สรุป: ฝูงบินเหมาะสำหรับการทำลายล้างสูง แต่จรวดอาจใช้สำหรับโจมตีแบบเร็วและหลากหลายเป้าหมาย.

4. ปัจจัยอื่น ๆ
- การตอบโต้ของอิหร่าน:  
  - อิหร่านอาจตอบโต้ด้วยขีปนาวุธหรือโจมตีผ่านกลุ่มพร็อกซี (เช่น Hezbollah) การใช้ฝูงบินอาจถูกมองเป็นการยั่วยุที่รุนแรงกว่า.  
- ความเร็วในการปฏิบัติการ:  
  - จรวดระยะไกลสามารถโจมตีได้ทันที ในขณะที่ฝูงบินต้องใช้เวลาเตรียมการ.  
- การควบคุมความเสียหายพลเรือน:  
  - ฝูงบินสามารถลดความเสียหาย collateral damage ได้ดีกว่าเนื่องจากเลือกเป้าหมายได้ละเอียดกว่า.  

ข้อสรุป: แนวทางที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ
1. หากเป้าหมายมีจำนวนน้อยและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ (เช่น โรงงานนิวเคลียร์):  
   - ใช้ฝูงบิน เพื่อความแม่นยำและพลังทำลายล้างสูง แม้ต้นทุนจะสูง.  

2. หากเป้าหมายกระจายตัวหรือต้องการโจมตีเร็ว:  
   - ใช้จรวดระยะไกล ร่วมกับโดรน (เช่น Shahed-136 ที่อิสราเอลอาจยึดได้) เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยง.  

3. กลยุทธ์ผสม:  
   - เริ่มต้นด้วยจรวดเพื่อทำลายระบบป้องกันทางอากาศ (SEAD) จากนั้นส่งฝูงบินเข้าโจมตีเป้าหมายสำคัญ.  

หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติ อิสราเอลมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เช่น การโจมตีซีเรียมักใช้ขีปนาวุธ ในขณะที่ปฏิบัติการต่ออิหร่าน (เช่น การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในอดีต) ใช้ฝูงบิน.  

ทั้งนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับ ข่าวกรองที่แม่นยำ และ ความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยี ของอิสราเอลเหนือระบบป้องกันของอิหร่าน.

==================================================================================================
ราคาของขีปนาวุธระยะยิงไกล (~2,000 กม.) ที่อิสราเอลอาจใช้โจมตีอิหร่านขึ้นอยู่กับประเภทของจรวด เทคโนโลยีนำวิถี และกำลังทำลายหัวรบ โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักตามคลังอาวุธของอิสราเอล:
==================================================================================================
1. ขีปนาวุธพื้น-พื้นกลยุทธ์ (Ballistic Missiles)
# Jericho III (ระยะยิง 4,000–6,000 กม.)
- ราคาประมาณ: 20–50 ล้านดอลลาร์/ลูก  
  - เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM-level) หัวรบนิวเคลียร์ได้ แม้อิสราเอลจะไม่ยืนยันการใช้งานเชิงรุก แต่มีไว้สำหรับป้องปราม  
  - ต้นทุนสูงจากระบบนำวิถีขั้นสูง (อาจใช้ GPS/INS + เรดาร์) และเทคโนโลยีหลบเรดาร์  

# Jericho II (ระยะยิง 1,500–3,500 กม.)
- ราคาประมาณ: 10–20 ล้านดอลลาร์/ลูก  
  - พัฒนาสำหรับเป้าหมายระยะกลาง ใช้หัวรบ conventional หรือพิเศษ (เช่น EMP)  

2. ขีปนาวุธนำวิถี (Cruise Missiles)
# Popeye Turbo SLCM (ระยะยิง 1,500 กม.+)
- ราคาประมาณ: 3–6 ล้านดอลลาร์/ลูก  
  - จรวดนำวิถีระดับกลาง ยิงจากเรือดำน้ำหรือพื้นดิน ใช้ระบบภาพถ่ายดาวเทียม + TERCOM (ภูมิประเทศ比对)  
  - ต้นทุนต่ำกว่าขีปนาวุธ ballistic เนื่องจากไม่ต้องใช้ระบบขับดันขั้นสูง  

# LORA (Precision Tactical Ballistic Missile) (ระยะยิง 400 กม.)
- หมายเหตุ: ระยะไม่ถึง 2,000 กม. แต่เป็นตัวอย่างต้นทุน  
  - ราคาประมาณ: 2–3 ล้านดอลลาร์/ลูก  

การเปรียบเทียบกับขีปนาวุธอื่นในตลาด
- Tomahawk (สหรัฐฯ): ~2 ล้านดอลลาร์/ลูก (ระยะ 1,600 กม.)  
- Shahed-136 (อิหร่าน): ~20,000–50,000 ดอลลาร์/ลูก (แต่เป็นโดรนระเบิด ระยะ 2,000 กม.)  
- DF-21 (จีน): ~10 ล้านดอลลาร์/ลูก (ระยะ 2,150 กม.)  

ปัจจัยที่กระทบราคา
1. ระบบนำวิถี:  
   - GPS/INS + เรดาร์หรือภาพถ่าย → เพิ่มราคา 30–50%  
2. หัวรบ:  
   - หัวรบ conventional (500 กก.) vs พิเศษ (EMP, เฉียบพลัน) → +5–10 ล้านดอลลาร์  
3.  stealth:  
   - วัสดุดูดซับเรดาร์หรือวิถีโค้งบรรยากาศ → เพิ่มต้นทุน  

สรุป: ราคาโดยประมาณสำหรับอิสราเอล
- จรวด ballistic (2,000 กม.): 10–30 ล้านดอลลาร์/ลูก  
  (Jericho II หรือพัฒนารุ่นพิเศษ)  
- จรวด cruise (2,000 กม.): 5–10 ล้านดอลลาร์/ลูก  
  (เช่น Popeye Turbo รุ่นปรับระยะ)  

หมายเหตุ:  
- ราคาอาจสูงขึ้นหากเป็นปฏิบัติการลับ (เช่น สั่งผลิตพิเศษ)  
- อิสราเอลอาจใช้วิธี ยิงจรวดจำนวนน้อยแต่แม่นยำ แทนการยิงระดมเพื่อลดต้นทุน  
- การโจมตีด้วยโดรน (เช่น Harop) อาจถูกกว่าแต่ระยะไม่ถึง 2,000 กม.


==================================================================================================
ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างการโจมตีอิหร่านด้วย "ฝูงบิน" vs "อาวุธจรวดระยะไกล"
(สมมติฐาน: โจมตีเป้าหมาย 10 จุดในอิหร่าน โดยให้มีความเสียหายและความแม่นยำใกล้เคียงกัน)
==================================================================================================
ปัจจัยในการพิจารณา
1. ต้นทุนต่อปฏิบัติการ
    1.1 ฝูงบินปฏิบัติการ    50–100 ล้านดอลลาร์  (รวมเชื้อเพลิง, อาวุธ, การสนับสนุน, ความเสี่ยงสูญเสียอากาศยาน)
    1.2 ใช้จรวดโจมตี      100–300 ล้านดอลลาร์ (จรวด 10–20 ลูก/จุด ราคา 5–30 ล้านดอลลาร์/ลูก)  **ฝูงบินถูกกว่า** หากไม่สูญเสียเครื่องบิน
2. ความแม่นยำ
    2.1 ฝูงบินปฏิบัติการ    สูงมาก (GPS/Laser-guided bombs)  ปรับเป้าหมายกลางอากาศได้
    2.2 ใช้จรวดโจมตี        สูง (แต่ขึ้นกับระบบนำวิถี)  อาจถูกรบกวนด้วย EW ของอิหร่าน  **ฝูงบินแม่นยำกว่า**
3. ความเสียหายต่อเป้าหมาย
    3.1 ฝูงบินปฏิบัติการ     ทำลายล้างสูง (ระเบิดขนาดใหญ่ เช่น GBU-28)  โจมตีซ้ำได้ง่าย
    3.2 ใช้จรวดโจมตี         ถูกจำกัดด้วยน้ำหนักหัวรบ (มัก ≤500 กก.)  ต้องยิงหลายลูกเพื่อผลลัพธ์เทียบเท่า  **ฝูงบินทำลายได้มากกว่า**
4. ความเสี่ยง
    4.1 ฝูงบินปฏิบัติการ    เสี่ยงต่อการสูญเสียอากาศยานและนักบิน  อาจถูกสกัดด้วย S-300/Bavar-373
    4.2 ใช้จรวดโจมตี        ความเสี่ยงต่ำ (ไม่มีนักบิน)  แต่จรวดอาจถูกสกัดด้วยระบบป้องกัน  **จรวดเสี่ยงน้อยกว่า**
5. เวลาและความยืดหยุ่น
    5.1 ฝูงบินปฏิบัติการ    ต้องวางแผนล่วงหน้า นานหลายชม./วัน  ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้  
    5.2 ใช้จรวดโจมตี        โจมตีได้ทันที (ยิงพร้อมกันหลายจุด)  ยืดหยุ่นน้อยกว่าเมื่อยิงแล้ว  **จรวดเร็วกว่า**
6. ผลกระทบทางการเมือง
    6.1 ฝูงบินปฏิบัติการ    อาจถูกมองเป็นการโจมตีโดยตรงที่รุนแรง  เสี่ยงต่อการตอบโต้แบบเต็มรูปแบบ
    6.2 ใช้จรวดโจมตี        สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ง่ายกว่า (เช่น อ้างว่าเป็นกลุ่มอื่น)  **จรวดเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่า**


ข้อสรุป: อะไรคุ้มค่ากว่า?
1. หากเป้าหมายคือความเร็วและลดความเสี่ยงต่อนักบิน** → **เลือกจรวดระยะไกล** แม้ต้นทุนสูงกว่า  
2. หากต้องการความแม่นยำสูง + ทำลายล้างมาก + ควบคุมค่าใช้จ่าย** → **เลือกฝูงบิน** (แต่ต้องยอมรับความเสี่ยง)  
3. กลยุทธ์ที่สมดุล :  
   - ใช้จรวดระยะไกลสำหรับเป้าหมายสำคัญที่ป้องกันแน่นหนา (เช่น ฐานทัพใต้ดิน)  
   - ใช้ฝูงบินสำหรับเป้าหมายเคลื่อนที่หรือต้องความแม่นยำสูง (เช่น ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์)  

หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติ อิสราเอลมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เช่น  
- ขั้นตอน 1: ยิงจรวด/โดรนทำลายระบบป้องกันทางอากาศ (SEAD)  
- ขั้นตอน 2: ส่ง F-35I โจมตีด้วยระเบิดนำวิถีเพื่อความเสียหายสูงสุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่