โคลงนิราศสุพรรณ : อายุสมัยและการตีความใหม่
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นิพนธ์ถึงนิราศเรื่องนี้ว่า
"พระยาธรรมปรีชา (บุญ) บวชอยู่วัดเทพธิดา ...เล่าว่า สุนทรภู่แต่งคำเทียบเรื่องพระไชยสุริยา (ที่พิมพ์ในหนังสือมูลบทบรรพกิจ)
เมื่ออยู่ที่วัดเทพธิดาคราวนั้น และมีหนังสือนิราศเมืองสุพรรณอีกเรื่องหนึ่ง สุนทรภู่แต่งเมื่อบวชอยู่วัดเทพธิดา" ทรงสันนิษฐวนต่อว่า
"...ลงเรือที่หน้าวัดเทพธิดาผ่านมาทางคลองมหานาค มาถึงวัดสระเกศกล่าวความว่าในเวลานั้นมารดาเพิ่งตาย ศพยังฝังอยู่ที่วัดสระเกศนั้น
แล้วล่องเรือไปออกปากคลองโอ่งอ่าง..."
https://vajirayana.org/พระอภัยมณี/ประวัติสุนทรภู่/๓-ตอนออกบวช
มีข้อโต้แย้งอยู่ ๔ ประการในพระนิพนธ์ ดังนี้
๑ นิราศนี้ไม่ได้แต่งที่วัดเทพธิดา
๒ ไม่ได้ลงเริอที่หน้าวัดเทพธิดา
๓ จากวัดเทพธิดามาที่เก็บอัฐิมารดาวัดสระเกศ ไม่ต้องใช้คลองมหานาค
๔ กวีไม่ใช่ภิกษุ
เมื่อแก้ข้อโต้แย้งเหล่านี้แล้ว ผลพลอยได้คือรู้อายุสมัยของนิราศอีกด้วย
๑ อ่านกลอนไม่แตก
โคลงเพียง ๕ บท ตั้งแต่แล่นเรือมาตามคลองมหานาค เข้าคลองลัดวัดสะเกศ ไหว้ศพมารดา ล้วนเข้าใจผิดทั้งหมด
บกพร่องเช่นนี้ การตีความอื่นๆ จะเชื่อได้อย่างไร
๒ กวีไม่ใช่ภิกษุ
วิธีง่ายที่สุดในการกำหนดอายุสมัยนิราศเรื่องนี้คือ ขณะแต่ง กวีเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส
ชีวิตสุนทรภู่ในรัชกาลที่สามสามารถแบ่งเป็น ๒ ช่วงคือ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๘๕ บวชนาน ๑๘ ปี
จากพ.ศ. ๒๓๘๕ จนเสียชีวิต รับราชการกับเจ้าฟ้าจุฑามณี จนทรงรับสถาปนาเป็นพระปิ่นเกล้าในรัชกาลที่สี่
สมเด็จฯ เชิ่อว่าแต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดาราม ส่วนนายธนิต อยู่โพธิ์ระบุชัดว่าแต่งเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๘๔ (ด. เชิงอรรถที่ ๑๑)
หมายความว่า แต่งเมิ่อสุนทรภู่เป็นภิกษุ ทว่า เนื้อหาในนิราศดูเหมือนชี้ว่า ขณะแต่ง กวีไม่น่าจะบวชอยู่
(๓)
๏ ขอฝากซากสวาดิสร้อยสุนทร
ไว้ที่ท่าสาครเขตนี้
ศาลาหน้าวัดพรพี่ฝาก มากเอย
ใครที่พี่เป็นผี้พี่ให้อภัยเจริญฯ
ตามความเชื่อเดิม ในปี ๒๓๘๔ นี้ สุนทรภู่บวชมาแล้ว ๑๗ ปี หมายความว่าดำรงศีลมานานเท่านั้น
จะมีช่วงใหนไปมีสัมพันธ์อะไรกัยสตรี จนมี "ซากสวาท" ฝากไว้กับท่าน้ำ แล้วนักบวชอะไรกัน แทนตัวเองว่า "พี่"
เพียง ๓ บทโคลง ก็เห็นแล้วว่ามีปัญหาในข้อวินิจฉัย
บทที่ ๔ ยิ่งยืนยันว่า ท่านเหล่านั้น ไม่ได้อ่านกลอนอย่างรอบคอบเลย
(๔)
๏ จำร้างห่างน้องนึกน่าสรวล
สองฝ่ายชายหญิงยวนยั่วเย้า
หวังชายฝ่ายหญิงชวนชื่นเช่น เห็นเอย
กลเช่นเล่นซักเสร้าเสพเพื่อนเฟือนเกษม ฯ
นัยยะเชิงสังวาสในกลอน "สองฝ่ายชายหญิงยวน ยั่วเย้า" ไม่สามารถเชื่อได้ว่าแต่งโดยภิกษุฝ่ายเถรวาท
จึงสันนิษฐานโดยปราศจากข้อกังขาว่า กวีเป็นคฤหัสถ์ที่ยังหมกมุ่นในกาม
ดังนั้น ย่อมกำหนดอายุเบื้องต้นได้ว่า ถ้าสุนทรภู่แต่งนืราศนี้ ก็ต้องหลังสึกในปีขาล พ.ศ. ๒๓๘๕
ส่วนปีแต่งที่แน่นอน เนื้อความข้างหน้า จะมีบอก
๓ ไม่ได้ลงเริอที่วัดเทพธิดาราม
ข้อผิดพลาดเริ่มตั้งแต่ออกเรือนั่นเทียว
นิราศเริ่มต้นว่า ในคืนหนาวที่ท้องฟ้ามีดาวพราว ท่านแล่นเรือมาตามคลองมหานาค ชมไม้สองข้างทางพลางคิดถึงนาง
แสดงว่า ท่าน้ำต้นทางอยู่ริมคลองมหานาค แต่วัดเทพธิดารามตั้งอยู่ริมคลองคูเมืองชั้นกลาง
ห่างจากคลองมหานาคเกือบ ๓๐๐ เมตร
๔ ไม่ได้ผ่านวัดเทพธิดาราม
นิราศเริ่มโดยกล่าวถึง "

๒) ๏ มหานาคฉวากวุ้ง คุ้งคลอง" จากนั้นก็ผ่าน "ลัดวัดสระเกศ"
(๕)
เลี้ยวลัดวัดสระเกศก้มคมลา
กุฏศพนบมารดาเกิดเกล้า
หมายความว่าจากคลองมหานาค เลี้ยวเข้าคลองลัดเพื่อจะไปไหว้ศพแม่
คลองนี้ปัจจุบันถมเป็นถนนจักรพรรดิพงศ์ อยู่ก่อนถึงสามแยกคลองมหานาคที่บันจบกับคลองคูเมืองชั้นกลาง
เส้นทางลัดนี้ไม่ผ่านวัดเทพธิดา
ยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านแต่งเมื่อสึก ก็ไม่มีเหตุให้อยู่วัดนี้
เพราะต้องไปรับใช้เจ้าฟ้าจุฑามณีที่วังเดิม ห่างออกไปมาก
๕ เพื่อจะไปที่เก็บอัฐิวัดสระเกศ ทำไมต้องอ้อม
จากวัดเทพธิดาจะไปเมรุวัดสระเกศ ถ้าใช้คลองมหานาคทางอ้อมถึง ๑.๕ กม. กว่าจะถึง
ถ้าไปทางคลองคูเมือง ระยะห่างเพียงร้อยเมตร
ดูเหมือนท่านแต่ก่อนจะไม่เคยสอบแผนที่โบราณเลย
๖ ปิ่นเกล้า - มงกุฎิเกล้า
โคลงสามบทนี้ กล่าวถึงกษัตริย์ ๒ พระองค์ต่อเนื่องกัน
(๑๒)
๏ ยนฉนวนหวนนึกน้ำเนตรนอง
พระธินั่งบันลังทองที่เฝ้า
ชำระพระนิพนสนองเสด็จสนิด ชิดเอย
สริ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ากลับร้างห่างฉนวน ฯ
(๑๓)
๏ แบ่งบุญสุรธรเชื้อชิณวง
สืบซ่างทางพุทพงผ่องแผ้ว
ถวายพระหริรักทรงสารภิเศศ เสวตรเอย
ลุโลกโมฆเมืองแก้วกิจร้ายหายสูร ฯ
(๑๔)
๏ อีกองมงกุฎิเกล้าเชากรุง
สืบกษัตรขัติยบำรุงรอบแคว้น
ถวายพระอนิสงพดุงพเดชเฟื่อง กเดื่องเอย
สิ่งโศกโรคเรื่องแค้นขจัดผ้ายวายเขน ฯ
ข้อความตรงไปตรงมา เข้าใจง่ายไม่ต้องตีความ คือเห็นฉนวนแล้วร้องไห้
คิดถึงความหลังที่เคยรับใช้เจ้านาย ช่วยชำระพระนิพนธ์ในพระที่นั่งบัลลังก์ทอง
เป็นเจ้านายในระดับครองแผ่นดิน นามว่า "ปิ่นเกล้า"
จากนั้นก็เอ่ยถึงกษัตริย์อีกพระองค์นาม "มงกุฏิเกล้า"
พระนามปิ่นเกล้าและมงกุฏิเกล้าที่ต่อเนื่องกันเช่นนี้ ชัดเจนว่าเป็นอื่นไปไม่ได้
หมายถึงรัชกาลที่สี่ และวังหน้า พระบวรราชเจ้าพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
๗ "สริ้นแผ่นดินปิ่นเกล้า"
ประโยคนี้ บ่งบอกอายุสมัยของนิราศอย่างชัดเจน ว่าแต่งหลังสวรรคต
พระปิ่นเกล้าสวรรคตวันอาทิตย์เดือน ๒ แรม ๖ ค่ำ (วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘)
นิราศย่อมแต่งหลังปีนี้ลงไป
สรุปความว่า
สุนทรภู่ใช้คลองมหานาค ล่องเรือมาจากทิศตะวันออก ใช้ลัดวัดสระเกศไปไหว้ศพแม่แล้วออกคลองโอ่งอ่าง ผ่านวัดเลียบ วัดแจ้ง
ฉนวนน้ำ ท่าช้าง เข้าคลองบางกอกน้อย วังหลัง.....
วันเวลาในโคลงคือหลัง พ.ศ. ๒๔๐๘
โคลงนิราศสุพรรณ จึงเป็นวรรณกรรมรัชกาลที่สี่ที่เพิ่งถูกกำหนดอายุสำเร็จ
โดยใช้ข้อมูลจากภายในโคลงนั่นเอง
โคลงนิราศสุพรรณ : อายุสมัยและการตีความใหม่
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นิพนธ์ถึงนิราศเรื่องนี้ว่า
"พระยาธรรมปรีชา (บุญ) บวชอยู่วัดเทพธิดา ...เล่าว่า สุนทรภู่แต่งคำเทียบเรื่องพระไชยสุริยา (ที่พิมพ์ในหนังสือมูลบทบรรพกิจ)
เมื่ออยู่ที่วัดเทพธิดาคราวนั้น และมีหนังสือนิราศเมืองสุพรรณอีกเรื่องหนึ่ง สุนทรภู่แต่งเมื่อบวชอยู่วัดเทพธิดา" ทรงสันนิษฐวนต่อว่า
"...ลงเรือที่หน้าวัดเทพธิดาผ่านมาทางคลองมหานาค มาถึงวัดสระเกศกล่าวความว่าในเวลานั้นมารดาเพิ่งตาย ศพยังฝังอยู่ที่วัดสระเกศนั้น
แล้วล่องเรือไปออกปากคลองโอ่งอ่าง..."
https://vajirayana.org/พระอภัยมณี/ประวัติสุนทรภู่/๓-ตอนออกบวช
มีข้อโต้แย้งอยู่ ๔ ประการในพระนิพนธ์ ดังนี้
๑ นิราศนี้ไม่ได้แต่งที่วัดเทพธิดา
๒ ไม่ได้ลงเริอที่หน้าวัดเทพธิดา
๓ จากวัดเทพธิดามาที่เก็บอัฐิมารดาวัดสระเกศ ไม่ต้องใช้คลองมหานาค
๔ กวีไม่ใช่ภิกษุ
เมื่อแก้ข้อโต้แย้งเหล่านี้แล้ว ผลพลอยได้คือรู้อายุสมัยของนิราศอีกด้วย
๑ อ่านกลอนไม่แตก
โคลงเพียง ๕ บท ตั้งแต่แล่นเรือมาตามคลองมหานาค เข้าคลองลัดวัดสะเกศ ไหว้ศพมารดา ล้วนเข้าใจผิดทั้งหมด
บกพร่องเช่นนี้ การตีความอื่นๆ จะเชื่อได้อย่างไร
๒ กวีไม่ใช่ภิกษุ
วิธีง่ายที่สุดในการกำหนดอายุสมัยนิราศเรื่องนี้คือ ขณะแต่ง กวีเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส
ชีวิตสุนทรภู่ในรัชกาลที่สามสามารถแบ่งเป็น ๒ ช่วงคือ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๘๕ บวชนาน ๑๘ ปี
จากพ.ศ. ๒๓๘๕ จนเสียชีวิต รับราชการกับเจ้าฟ้าจุฑามณี จนทรงรับสถาปนาเป็นพระปิ่นเกล้าในรัชกาลที่สี่
สมเด็จฯ เชิ่อว่าแต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดาราม ส่วนนายธนิต อยู่โพธิ์ระบุชัดว่าแต่งเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๘๔ (ด. เชิงอรรถที่ ๑๑)
หมายความว่า แต่งเมิ่อสุนทรภู่เป็นภิกษุ ทว่า เนื้อหาในนิราศดูเหมือนชี้ว่า ขณะแต่ง กวีไม่น่าจะบวชอยู่
(๓)
๏ ขอฝากซากสวาดิสร้อยสุนทร
ไว้ที่ท่าสาครเขตนี้
ศาลาหน้าวัดพรพี่ฝาก มากเอย
ใครที่พี่เป็นผี้พี่ให้อภัยเจริญฯ
ตามความเชื่อเดิม ในปี ๒๓๘๔ นี้ สุนทรภู่บวชมาแล้ว ๑๗ ปี หมายความว่าดำรงศีลมานานเท่านั้น
จะมีช่วงใหนไปมีสัมพันธ์อะไรกัยสตรี จนมี "ซากสวาท" ฝากไว้กับท่าน้ำ แล้วนักบวชอะไรกัน แทนตัวเองว่า "พี่"
เพียง ๓ บทโคลง ก็เห็นแล้วว่ามีปัญหาในข้อวินิจฉัย
บทที่ ๔ ยิ่งยืนยันว่า ท่านเหล่านั้น ไม่ได้อ่านกลอนอย่างรอบคอบเลย
(๔)
๏ จำร้างห่างน้องนึกน่าสรวล
สองฝ่ายชายหญิงยวนยั่วเย้า
หวังชายฝ่ายหญิงชวนชื่นเช่น เห็นเอย
กลเช่นเล่นซักเสร้าเสพเพื่อนเฟือนเกษม ฯ
นัยยะเชิงสังวาสในกลอน "สองฝ่ายชายหญิงยวน ยั่วเย้า" ไม่สามารถเชื่อได้ว่าแต่งโดยภิกษุฝ่ายเถรวาท
จึงสันนิษฐานโดยปราศจากข้อกังขาว่า กวีเป็นคฤหัสถ์ที่ยังหมกมุ่นในกาม
ดังนั้น ย่อมกำหนดอายุเบื้องต้นได้ว่า ถ้าสุนทรภู่แต่งนืราศนี้ ก็ต้องหลังสึกในปีขาล พ.ศ. ๒๓๘๕
ส่วนปีแต่งที่แน่นอน เนื้อความข้างหน้า จะมีบอก
๓ ไม่ได้ลงเริอที่วัดเทพธิดาราม
ข้อผิดพลาดเริ่มตั้งแต่ออกเรือนั่นเทียว
นิราศเริ่มต้นว่า ในคืนหนาวที่ท้องฟ้ามีดาวพราว ท่านแล่นเรือมาตามคลองมหานาค ชมไม้สองข้างทางพลางคิดถึงนาง
แสดงว่า ท่าน้ำต้นทางอยู่ริมคลองมหานาค แต่วัดเทพธิดารามตั้งอยู่ริมคลองคูเมืองชั้นกลาง
ห่างจากคลองมหานาคเกือบ ๓๐๐ เมตร
๔ ไม่ได้ผ่านวัดเทพธิดาราม
นิราศเริ่มโดยกล่าวถึง "
(๕)
เลี้ยวลัดวัดสระเกศก้มคมลา
กุฏศพนบมารดาเกิดเกล้า
หมายความว่าจากคลองมหานาค เลี้ยวเข้าคลองลัดเพื่อจะไปไหว้ศพแม่
คลองนี้ปัจจุบันถมเป็นถนนจักรพรรดิพงศ์ อยู่ก่อนถึงสามแยกคลองมหานาคที่บันจบกับคลองคูเมืองชั้นกลาง
เส้นทางลัดนี้ไม่ผ่านวัดเทพธิดา
ยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านแต่งเมื่อสึก ก็ไม่มีเหตุให้อยู่วัดนี้
เพราะต้องไปรับใช้เจ้าฟ้าจุฑามณีที่วังเดิม ห่างออกไปมาก
๕ เพื่อจะไปที่เก็บอัฐิวัดสระเกศ ทำไมต้องอ้อม
จากวัดเทพธิดาจะไปเมรุวัดสระเกศ ถ้าใช้คลองมหานาคทางอ้อมถึง ๑.๕ กม. กว่าจะถึง
ถ้าไปทางคลองคูเมือง ระยะห่างเพียงร้อยเมตร
ดูเหมือนท่านแต่ก่อนจะไม่เคยสอบแผนที่โบราณเลย
๖ ปิ่นเกล้า - มงกุฎิเกล้า
โคลงสามบทนี้ กล่าวถึงกษัตริย์ ๒ พระองค์ต่อเนื่องกัน
(๑๒)
๏ ยนฉนวนหวนนึกน้ำเนตรนอง
พระธินั่งบันลังทองที่เฝ้า
ชำระพระนิพนสนองเสด็จสนิด ชิดเอย
สริ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ากลับร้างห่างฉนวน ฯ
(๑๓)
๏ แบ่งบุญสุรธรเชื้อชิณวง
สืบซ่างทางพุทพงผ่องแผ้ว
ถวายพระหริรักทรงสารภิเศศ เสวตรเอย
ลุโลกโมฆเมืองแก้วกิจร้ายหายสูร ฯ
(๑๔)
๏ อีกองมงกุฎิเกล้าเชากรุง
สืบกษัตรขัติยบำรุงรอบแคว้น
ถวายพระอนิสงพดุงพเดชเฟื่อง กเดื่องเอย
สิ่งโศกโรคเรื่องแค้นขจัดผ้ายวายเขน ฯ
ข้อความตรงไปตรงมา เข้าใจง่ายไม่ต้องตีความ คือเห็นฉนวนแล้วร้องไห้
คิดถึงความหลังที่เคยรับใช้เจ้านาย ช่วยชำระพระนิพนธ์ในพระที่นั่งบัลลังก์ทอง
เป็นเจ้านายในระดับครองแผ่นดิน นามว่า "ปิ่นเกล้า"
จากนั้นก็เอ่ยถึงกษัตริย์อีกพระองค์นาม "มงกุฏิเกล้า"
พระนามปิ่นเกล้าและมงกุฏิเกล้าที่ต่อเนื่องกันเช่นนี้ ชัดเจนว่าเป็นอื่นไปไม่ได้
หมายถึงรัชกาลที่สี่ และวังหน้า พระบวรราชเจ้าพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
๗ "สริ้นแผ่นดินปิ่นเกล้า"
ประโยคนี้ บ่งบอกอายุสมัยของนิราศอย่างชัดเจน ว่าแต่งหลังสวรรคต
พระปิ่นเกล้าสวรรคตวันอาทิตย์เดือน ๒ แรม ๖ ค่ำ (วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘)
นิราศย่อมแต่งหลังปีนี้ลงไป
สรุปความว่า
สุนทรภู่ใช้คลองมหานาค ล่องเรือมาจากทิศตะวันออก ใช้ลัดวัดสระเกศไปไหว้ศพแม่แล้วออกคลองโอ่งอ่าง ผ่านวัดเลียบ วัดแจ้ง
ฉนวนน้ำ ท่าช้าง เข้าคลองบางกอกน้อย วังหลัง.....
วันเวลาในโคลงคือหลัง พ.ศ. ๒๔๐๘
โคลงนิราศสุพรรณ จึงเป็นวรรณกรรมรัชกาลที่สี่ที่เพิ่งถูกกำหนดอายุสำเร็จ
โดยใช้ข้อมูลจากภายในโคลงนั่นเอง