จับตาทิศทางยานยนต์ไทย ในวันที่สหรัฐปรับนโยบายการค้า


Krungthai COMPASS มีมุมมองต่อยอดการผลิตรถยนต์ไทยในปี 2568-2569 อาจอยู่ในระดับต่ำเพียงปีละ 1.4-1.45 ล้านคัน น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2565-2567) ที่ 1.73 ล้านคัน อยู่เกือบ 18% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าที่ขยายวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กจากทุกประเทศ 25% (Sectoral Tariff) เพื่อกระตุ้นให้ค่ายรถยนต์ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐ

โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวมีแนวโน้มทำให้ราคารถยนต์ในตลาดสหรัฐ ปรับเพิ่มขึ้นราว 10-15% หรือเฉลี่ยคันละ 2,000-4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวสหรัฐ รวมถึงทิศทางของห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ทั่วโลก

ภาวะดังกล่าวจะเป็นความท้าทายสำคัญที่ผู้ผลิตและผู้ส่งออกจากประเทศคู่ค้า รวมถึงไทยต้องเผชิญ และเป็นแรงกดดันสำคัญต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ในเบื้องต้นประเมินว่าการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยใน 3 มิติหลัก ได้แก่

1) ไทยอาจได้รับผลกระทบทางตรง (ส่งออกไปสหรัฐลดลง) จากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ครั้งนี้บ้าง แต่คาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังสหรัฐไม่สูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรถยนต์ที่ผลิตในไทยส่วนใหญ่เป็นรุ่นหรือโมเดลที่แตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้งานในสหรัฐ

โดยในปี 2567 ไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐ ราว 32,000 คัน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% ของยอดผลิตรวมที่ 1.47 ล้านคัน อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่ากลุ่มรถยนต์นั่งซึ่งมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐ มากกว่ารถเพื่อการพาณิชย์ จะมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงกว่า

2) อย่างไรก็ดี ไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดส่งออกอื่น โดยเฉพาะออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของไทย เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อาจเลือกขยายการส่งออกไปยังตลาดนี้มากขึ้นเพื่อทดแทนยอดขายที่ลดลงในสหรัฐ โดยออสเตรเลียถือเป็นตลาดสำคัญที่ติดอันดับต้น ๆ ของทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังมีรถยนต์ SUV หลายรุ่นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคชาวออสเตรเลีย ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากสองประเทศคู่แข่งนี้

นอกจากนี้ ตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตอย่าง ซาอุดีอาระเบีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ก็เป็นอีกประเด็นที่ควรจับตา เพราะแม้ปัจจุบันญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศเหล่านี้ไม่สูงนัก แต่มองไปข้างหน้าตลาดเหล่านี้อาจกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผู้ผลิตจากทั้งสองประเทศ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อความสามารถของไทยในการรักษาส่วนแบ่งในตลาดส่งออกหลัก

3) แรงกดดันจากสงครามราคาที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากจีนที่คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) สูงถึง 23.4 ล้านคันในปี 2568 แต่กลับมีการประเมินว่ากำลังซื้อภายในประเทศอาจช่วยดูดซับได้เพียง 17 ล้านคัน ส่งผลให้มีกำลังผลิตส่วนเกินกว่า 6 ล้านคัน ซึ่งต้องเร่งระบายสู่ตลาดโลก

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว อาจทำให้จีนต้องกระจายการส่งออกรถยนต์ไปยังคู่ค้าต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งไม่เพียงกระทบการส่งออกรถยนต์ของไทยในตลาดสำคัญเท่านั้น แต่หากไทยกลายเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายที่จีนหันมาดัมพ์ราคาเพื่อระบายสินค้า อาจนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาที่กดดันทั้งยอดขายและอัตรากำไรของผู้ผลิตรถยนต์ไทย

การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐครั้งนี้ ยังครอบคลุมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราเดียวกันที่ 25% ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อคำสั่งซื้อจากสหรัฐ ในกลุ่มผู้ส่งออกชิ้นส่วนไทย หากแบ่งระดับความเสี่ยง จากสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐ และความสามารถในการทำกำไรพบว่า กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ กลุ่มผู้ส่งออกยางรถยนต์ และเครื่องยนต์ ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูง และมีอัตรากำไรสุทธิค่อนข้างต่ำ คำสั่งซื้อที่ลดลงหรือแรงกดดันให้ลดราคาขายแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้กลุ่มนี้เผชิญความเสี่ยงต่อการขาดทุนมากกว่ากลุ่มอื่น

กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐในระดับสูง แต่ยังพอมีอัตรากำไรที่ช่วยรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้บ้าง เช่นเดียวกับกลุ่มตัวถังและตกแต่งภายใน ระบบกันสะเทือนและระบบเบรก ที่แม้จะส่งออกไปสหรัฐไม่สูงนัก แต่มีอัตรากำไรที่ค่อนข้างต่ำ ภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากอัตราภาษีจึงอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ผลกระทบจากมาตรการภาษียังอาจลุกลามไปถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศคู่ค้าอื่น อาทิ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ไปยังสหรัฐ ผู้ผลิตญี่ปุ่นต้องลดกำลังการผลิตลงตามคำสั่งซื้อที่หดตัว ย่อมส่งผลกระทบต่อความต้องการชิ้นส่วนจากไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

ที่มา : https://www.prachachat.net/finance/news-1832048

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่