ไหนใครขับรถแล้วรู้สึกว่า "รถซดน้ำมันมากผิดปกติ" มาหาสาเหตุกับเลดี้กันค่ะ... ว่าจะเกิดจากอะไรได้บ้าง และมีวิธีการแก้ไขอย่างไร?
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น?
"รถกินน้ำมัน" ปัญหาโลกแตกของคนขับรถ (ถ้าเราไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้น) แล้วถ้ายิ่งซดเป็นน้ำแบบผิดปกติ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนให้คุณรับรู้ว่าเครื่องยนต์กำลังมีปัญหาต้องรีบแก้ไขโดยด่วน วันนี้เลดี้จะพาไปดูสาเหตุหลักๆ ว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง และสามารถแก้ไขได้อย่างไร
ต้นตอของปัญหารถกินน้ำมัน
หากรถของคุณบริโภคน้ำมันมากกว่าที่ผ่านมา... มาฟังทางนี้ เพระาปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งจากพฤติกรรมการขับขี่ของคุณเอง และการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในรถยนต์ ดังนี้
1. พฤติกรรมการขับขี่ที่ส่งผลต่อการสิ้นเปลือง
เร่งเครื่องและเบรกกะทันหัน : หากคุณเป็นคนที่ขับขี่แบบกระชาก เดี๋ยวเร่งเดี๋ยวเบรกอย่างรุนแรงอยู่บ่อยๆ เป็นสาเหตุทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักต้องปรับรอบเครื่องอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้รถซดน้ำมันมากกว่าการขับขี่แบบธรรมดา
ใช้ความเร็วสูงเกิน : ยิ่งคุณใช้ความเร็วมากเท่าไหร่ เครื่องยนต์ยิ่งซดน้ำมันมากเท่านั้น ควรรักษาระดับความเร็วให้คงที่ตามที่กฎหมายกำหนด
บรรทุกของหนักเกิน : ถึงแม้ว่ารถของคุณจะเคลมเอาไว้ว่าสามารถบรรทุกของได้เท่านู้นเท่านี้ก็ตาม แต่หากคุณบรรทุกเกินกว่าลิมิตที่ตั้งไว้ เครื่องยนต์จึงต้องใช้กำลังที่มใากกว่าปกติในการขับเคลื่อน
เปิดแอร์แรงตลอดเวลา : ถึงแม้ว่าบ้านเราจะเป็นเมืองร้อนก็ตาม แต่ก็ไม่ควรปรับแอร์เย็นจัด รวมถึงเปิดพัดลมเบอร์แรงสุดตลอดเวลา เพราะจพทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักขึ้น และไปดึงเอากำลังจากเครื่องยนต์มากขึ้นอีกด้วย
2. ละเลยการบำรุงรักษา และชิ้นส่วนเสื่อมสภาพ
ลมยางอ่อน : การปล่อยให้แรงดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากขึ้น กิดแรงเสียดทานสูง เครื่องยนต์จึงต้องออกแรงมากขึ้น
น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ : น้ำมันเครื่องเก่าจะทำให้ไปลดประสิทธิภาพในการหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ได้
ไส้กรองอากาศสกปรกอุดตัน : สิ่งสกปรกจะเข้าไปขัดขวางการไหลเวียนของอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ กำลังเครื่องยนต์ตก และกินน้ำมันเพิ่มขึ้น
หัวเทียนเสื่อมสภาพ/หัวเทียนบอด : หัวเทียนทำหน้าที่จุดประกายไฟเพื่อเผาไหม้เชื้อเพลิง หากหัวเทียนทำงานไม่เต็มที่ การจุดระเบิดจะไม่สมบูรณ์ ทำให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ กำลังตก
หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน : หัวฉีดที่สกปรกหรือทำงานผิดปกติ จะจ่ายน้ำมันได้ไม่แม่นยำหรือเป็นละอองไม่ดีพอ ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
เซ็นเซอร์ออกซิเจน (O2 Sensor) เสียหาย : เซ็นเซอร์นี้ทำหน้าที่สำคัญในการวัดปริมาณออกซิเจนในไอเสีย เพื่อให้กล่องควบคุมปรับปริมาณการจ่ายน้ำมันให้เหมาะสม หากเซ็นเซอร์เสีย อาจทำให้เครื่องยนต์จ่ายน้ำมันมากเกินความจำเป็น
ระบบจุดระเบิดผิดปกติ : ตัวอย่างเช่น คอยล์จุดระเบิดหรือสายหัวเทียนมีปัญหา จะทำให้การสร้างประกายไฟอ่อนลง ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์และรถกินน้ำมัน
วิธีการแก้ไขและป้องกัน คืนความประหยัดให้รถคุณ
การแก้ไขปัญหารถกินน้ำมันทำได้ไม่ยาก หากปัญหาเกิดจากพฤติกรรมการขับขี่ของคุณ ลองปรับเปลี่ยนวิธีการลงน้ำหนักคันเร่ง/เบรก เสียใหม่ และถ้าหากเกิดจากการขาดการบำรุงดูแลรักษา ให้คอยสังเกตุความผิดปกติของเครื่องยนต์ขณะขับ รวมถึงทำปฏิทินตรวจเช็กสภาพรถยนต์ตามระยะ ดังนี้
เช็กลมยางให้แรงดันลมยางได้ตามมาตรฐาน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามระยะทางหรือระยะเวลาที่คู่มือกำหนด
ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นประจำ
ตรวจเช็กและเปลี่ยนหัวเทียนตามระยะที่กำหนด ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 - 100,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับชนิดของหัวเทียน
ล้างหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง
ตรวจเช็กเซ็นเซอร์ต่างๆ และระบบจุดระเบิดให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
การดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมการขับขี่ จะช่วยให้รถของคุณกลับมาประหยัดน้ำมันได้เหมือนเดิม และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
แอร์รถยนต์ที่เราใช้ขับขี่ทุกวัน หากไม่ล้างเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียหลายประการ ทั้งต่อประสิทธิภาพของระบบแอร์ สุขภาพของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร อีกทั้งยังอาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาแพงขึ้นในระยะยาว ดังนั้น การล้างแอร์ตามระยะเวลาที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ล้างแอร์รถยนต์ ต้องล้างบ่อยแค่ไหน ราคาเท่าไหร่
จำเป็นต้องล้างแอร์รถยนต์บ่อยแค่ไหน
อาการแอร์รถยนต์ผิดปกติ ควรล้างทันที
ราคาค่าล้างแอร์รถยนต์เท่าไร
การบำรุงรักษาแอร์รถยนต์ให้เย็นอยู่เสมอ
จำเป็นต้องล้างแอร์รถยนต์บ่อยแค่ไหน
ความถี่ในการล้างแอร์รถยนต์: โดยทั่วไปแล้วควรล้างแอร์รถยนต์อย่างน้อย 2 ปี 1 ครั้ง หรือมาณ 50,000 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ความถี่ในการล้างแอร์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ คือ ลักษณะการใช้งานรถ
ใช้งานบ่อย ขับขี่ในเมือง หรือพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ เช่น ทางลูกรัง ,ทางที่กำลังมีการซ่อมถนน: ควรเปลี่ยนกรองแอร์บ่อยขึ้น หรือล้างแอร์ก่อนระยะที่จะถึง
ใช้งานไม่บ่อย ขับขี่ในเส้นทางที่มีฝุ่นไม่เยอะ ล้างตามระยะปกติ ทุก 2 ปี หรือทุก 50,000 กิโลเมตร
อาการแอร์รถยนต์ผิดปกติ ควรล้างทันที
อาการผิดปกติของแอร์: หากพบอาการเหล่านี้ ควรล้างแอร์ทันที แม้ยังไม่ถึงกำหนด ได้แก่
แอร์มีกลิ่นอับชื้น หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์
แอร์เย็นช้าลง หรือไม่ค่อยเย็น
มีเสียงดังผิดปกติจากระบบแอร์
ลมแอร์เบาลง
มีน้ำหยดจากแอร์
ราคาค่าล้างแอร์รถยนต์เท่าไร
ราคาจะขึ้นอยู่กับประเภทของการล้างแอร์
ล้างแอร์แบบไม่ถอดตู้ (แบบส่องกล้อง/ล้างด้วยน้ำยา)
ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 800 - 1,000 บาท (หรือบางที่อาจเริ่มต้นที่ 500 - 700 บาท)
วิธีนี้จะใช้กล้องส่องเข้าไปทำความสะอาดในตู้แอร์โดยไม่ต้องรื้อคอนโซลรถ เหมาะสำหรับการบำรุงรักษาทั่วไปและเมื่อแอร์ไม่ได้สกปรกมาก
ล้างแอร์แบบถอดตู้
ราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 - 2,500 บาท หรืออาจสูงถึงหลักพันปลายๆ ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและความยากง่ายในการถอดประกอบ
วิธีนี้จะถอดตู้แอร์ออกมาล้างทำความสะอาดภายนอก ทำให้สะอาดหมดจดกว่า เหมาะสำหรับแอร์ที่ไม่ได้ล้างมานานมาก มีคราบสกปรกสะสมเยอะ หรือมีปัญหาที่ต้องการการตรวจสอบอย่างละเอียด
การบำรุงรักษาแอร์รถยนต์ให้เย็นอยู่เสมอ
หมั่นตรวจสอบและทำความสะอาดไส้กรองแอร์: ควรเปลี่ยนทุกๆ 10,000-20,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน - 1 ปี
สังเกตอาการน้ำยาแอร์: หากพบว่าแอร์ไม่เย็นและมีแต่ลม ให้ลองตรวจสอบที่ช่องตาแมว (ถ้ามี) ว่ามีฟองอากาศเล็กๆ สีขาวหรือไม่ หรือนำรถเข้าตรวจสอบการรั่วซึม
ระบายความร้อนในรถก่อนเปิดแอร์: ก่อนเปิดแอร์ ควรเปิดกระจกรถเพื่อระบายความร้อนสะสมออกไปก่อนสักพัก จะช่วยให้แอร์ทำงานได้ดีขึ้น
นำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมแอร์: หากไม่แน่ใจสาเหตุหรือพบว่าปัญหาซับซ้อน ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและแก้ไข เพราะบางปัญหาจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง
หากเราดูแลรักษาระบบแอร์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานและป้องกันปัญหาแอร์ไม่เย็นได้
รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ สาเหตุเกิดจากอะไร?, ล้างแอร์รถยนต์ ต้องล้างบ่อยแค่ไหน ราคาเท่าไหร่