เจตสิกที่เกิดกับ โทสะมูลจิต

กระทู้สนทนา
สำหรับตอนนี้นะครับ เราก็เรียนถึง ปริจเฉทที่ 2 ทุติยะปะริเฉทะ ปริจเฉทที่ 2 ชื่อเจตะสิกะนิเทสะ เจตสิกะนิเทศก์ ในคัมภีร์อภิธัมมาวตาร
คำว่า อภิธัมมาวตาร แปลว่า คัมภีร์ที่เหมือนกุญแจไขไปสู่มหานครคืออภิธรรม
อันนี้ก็คล้ายๆ ท่านอุปมาอภิธรรม 7 คัมภีร์ 05.47
เหมือนกับมหานคร ทีนี้ จะเข้าไปได้ คือเข้าไปแล้วไม่งงนะ ก็ต้องมีกุญแจไขเข้าไป นะครับ
หรืออีกความหมายนึง ก็คือ คัมภีร์ที่เป็นเครื่องข้ามพ้นมหาสมุทร คือ อภิธรรม
อันนี้ อุปมา อภิธรรมปิฏก เหมือน มหาสมุทร
ถ้าคนไม่มีพี่เลี้ยง หรือว่า ไม่มีองค์ความรู้พื้นฐาน กระโดดเข้าไปเรียนเลย ก็ งง เลย 06.17
ประมาณนั้น นะครับ
ก็จะไม่ค่อยรู้เรื่อง ท่านก็มีคัมภีร์นี้ให้เป็นเบื้องต้นนะครับ
สรุปคัมภีร์นี้ก็เป็นคัมภีร์เบื้องต้นให้เราเข้าใจพื้นฐานซะก่อนว่า เนื้อความในอภิธัมมีอะไรบ้าง นะครับ
ความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่ใช่เนื้อความในอภิธรรมอย่างเดียว ก็เป็นเนื้อความทั้งพระไตรปิฎกนั่นแหละ
อย่างนี้นะครับ
ตอนนี้เราเรียนมาจนกระทั่งถึง เอกสารในหน้าที่ 27 กล่าวถึงเจตสิกที่เกิดกับ โทสะมูลจิต
453

454

06.56
เป็นฝ่ายของอกุศลแล้วนะ ครับ
ท่านใดที่เพิ่งมาฟังก็อาจจะงงนิดหน่อยตอนนี้นะ
ท่านใดที่ไม่ได้มาฟังคราวก่อนๆ หรือฟังคราวก่อนๆแล้วแต่ตามไม่ทัน ก็ย้อนกลับไปฟังในเว็บไซค์ นะครับ
มีเอกสารให้เรียน รวมทั้งมีคลิปเสียง มีทั้งภาพทั้งเสียงให้ฟังด้วย ดูตามไป ค่อยๆแกะไปนะครับ
ลักษณะของอภิธรรม ก็จะยากตอนต้นๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
พอเข้าใจดีแล้วตอนต้นเนี่ย ความรู้ก็จะค่อยขยายไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเรียนตอนต้นไม่ค่อยเข้าใจ ยิ่งไปเรียนเพิ่มก็รู้สึกเหมือนกับสร้างความ ...  ขึ้น
งั้นก็เวลาจะเรียนทางอภิธรรมก็แนะนำให้ทุกท่านย้อนกลับไปเรียนต้นๆให้ดีๆ ก็คือ เรื่องของจิตอย่างงี้
ก็คือ เขาแยกยังไง อะไรประมาณนี้
มีพื้นฐานความรู้เรื่องจิตยังไงบ้าง
นะครับ กลับไปเรียนเรื่องเจตสิก เรื่องรูป เรื่องนิพพาน
เขาจัดหมวดหมู่ มีการแยกแยะประเภทยังไงบ้าง นี่แหละครับ
พอเรียนเข้าใจพวกนี้เป็นเบื้องต้นแล้ว ถ้าเราเข้าใจดีพอสมควรไม่ต้องเก่งมากนะ
เราก็สามารถที่จะค้นคว้าคัมภีร์ที่สูงขึ้นไปได้ ความรู้ก็จะแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ
ตอนนี้ เรียนถึง โทสะมูลจิต 08.23
ตอนนี้ เรียนถึง โทสะมูลจิต 08.23 นะครับ แต่เรียนเรื่อง เจตสิก นะ
เจตสิก ประเภทที่เกิดกับโทสะมูลจิต 2 ดวง
ในเอกสารนะครับหน้าที่ 27 อันนี้เป็นคัมภีร์ อภิธัมมาวตาร ที่เป็นของฉบับมูลนิธิอาจารย์พร ฉบับ มจร.นะครับ
ฉบับมหาจุฬาลงกรณ์ ราชวิทยาลัย
เราเรียนตามฉบับภาษาบาลี นะครับ
สำหรับในการแสดงเกี่ยวกับจิตและเจตสิกตามแบบของคัมภีร์อภิธัมมาวตาร ท่านก็แสดงตามแนวของพระพุทธพจน์ในคัมภีร์ธรรมสังคณีย์
ก็คือ แสดงตามบทมาติกา กุสะลาธัมมา อะกุสะลาธัมมา อัพพะยากะตาธัมมา ฯ
ตอนนี้แสดงเรื่องเจตสิก นา
ในด้านกุศลเจตสิก ก็พูดจบไปแล้ว
ตอนนี้พูดถึง อะกุสะละเจตะสิก
อกุศลเจตสิก ซึ่ง อกุศลเจตสิก ชุดที่ 1 ก็คือ โลภะมูลละเจตสิกา ก็คือ เป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดกับชุดของโลภะมูลจิต
โลภะมูละเจตะสิกะ โลภะมูละเจตะสิกา เนี่ยอันนี้ได้เรียนไปเมื่อคราวที่แล้ว09.45
นะครับ อย่างนี้นะครับ เรียนเรื่องเจตสิก แต่ว่าก็ต้องเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของจิตด้วย เช่นกันนะครับ
พอเรียนเรื่องอกุศลเจตสิกแล้ว ต่อไปก็อัพพะยากะตะเจตสิก 10.01
10.01
มีทั้งวิปากและกิริยา ครับ
สำหรับในพระบาลีเดี๋ยวผมให้ทุกท่านดูในพระบาลีจะได้รู้ที่มาของคัมภีร์
อันนี้เป็นพระไตรปิฎกบาลีเล่มที่ 34 บาลีข้อที่ 413
455

นะครับแสดงธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลก็คือ อกุสะละธัมมา นั่นเอง
แสดงโทสะมูลจิต 2 เวลาแสดงในบาลี นะครับ นี่เป็น คัมภีร์ธรรมสังคณี นะ พระไตรปิฏกเล่มที่ 34
ตอนนี้ไม่ได้เรียนธรรมสังคณี แต่ว่าเพื่อให้รู้ที่มา
กะตะเม ธัมมา อกุสะลา
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลเป็นอย่างไร
ยัสสะมิง สะมะเย
ในขณะใด ในการใด เวลาใด
อะกุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ โทมมะนัสสะสะหะคะตัง ปะฎิฆะสัมปะยุตตัง
จิตที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น เกิดประกอบกับโทมนัสสเวทนา สัมปยุตกับปฎิฆะ ก็คือ สัมปยุตกับโทสะ ที่เราเรียกกันยุคนี้ก็คือ โทสะมูลจิตนั่นเอง
นะครับ
รูปารัมมะณัง วา สัททารัมมะณัง วา คันธารัมมะณัง วา ระสารัมมะณัง วา โผฎฐัพพารัมมะณัง วา ธัมมารัมมะณังวา
ซึ่งจิตนี้นะ มีรูปเป็นอารมณ์ก็ดี เสียงเป็นอารมณ์ก็ดี กลิ่นเป็นอารมณ์ก็ดี รสเป็นอารมณ์ก็ดี โผฎฐัพพะเป็นอารมณ์ก็ดี หรือธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี
11.45
เนื่องจากจิตเนี่ยโดยลักษณะมันก็มีอย่างเดียวนั่นแหละก็คือ เป็นสภาวะที่รู้ซึ่งอารมณ์ นะครับ
โทสะมูลจิต เป็นโทมนัสสะสะหะคะตัง ปะฎิฆะสัมปะยุตตัง เนี่ยนะครับก็มีอารมณ์ได้ 6 อารมณ์เลย รูปารมณ์ก็ได้ สัททารมณ์ก็ได้ คันธารมณ์ก็ได้ รสารมณ์ก็ได้ โผฎฐัพพารมณ์ก็ได้ ธัมมารมณ์ก็ได้
ยังยังวาปะนารัพภะ
ก็หรือว่าจิตดวงนี้ปรารภซึ่งอารมณ์ใดๆเกิดขึ้น
ตัสสะมิง สะมะเย
ในขณะนั้น ในขณะที่จิต เกิดขึ้นนั่นแหละนะ ก็ในขณะจิตตุปปาทหนึ่ง ๆ ก็จะมีเจตสิกต่างๆ เกิดประกอบเข้ามา
ท่านก็จะแสดงอย่างที่ผมบอกไปแล้ว ก็คือ แสดงเป็นหมวดธรรม นา
ก็มีเจตสิก และจิต เกิดประชุมพร้อมกันอยู่
ผัสโส โหติ ,
ผัสสะ ก็ย่อมมีขึ้น
เวทนา โหติ ,
เวทนา ย่อมมีขึ้น
สัญญา โหติ ,
สัญญา ย่อมมีขึ้น ย่อมเกิดขึ้น เกิดด้วยกันเลย เกิดพร้อมกัน เป็นสะหะชาตะธรรม
เจตนา โหติ ,
จิตตัง โหติ ,
ชุดนี้ ชุดที่ 1 มี 5 อย่างนี้ เรียกว่า ผัสสะปัญจะกะ
ธรรมมะ 5 ประการ ก็คือ พวกกลุ่มนามธรรม ที่ต้องเกิดด้วยกันเสมอ มี ผัสสะ เป็นเบื้องต้น
เขาเรียกว่า ผัสสะปัญจะกะ
13.15
นะครับ ก็ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต นะครับ
พวกนี้คือ นามขันธ์ 4 นั่นแหละเพียงแต่ท่านแสดงเป็นหมวดธรรม นะครับนะ
ที่แสดงผัสสะก่อนก็เพราะไม่ใช่ผัสสะเกิดก่อนมันเกิดพร้อมกันทั้งหมดนั่นแหละแต่ว่าแสดงเป็นหมวดธรรมเฉยๆ
หมวดธรรมหมวดนี้แสดงในทุกจิตอยู่แล้วเพราะว่าชี้ให้เห็นว่านามขันธ์ 4 เกิดประกอบร่วมกันเสมอนั่นเอง
โดยผัสสะกับเจตนานี่ตรงนี้เป็นตัวแทนของสังขารขันธ์  นะครับ
เวลาเราพูดถึงสังขารก็จะมีตัวแทนหลักอยู่ 2 ตัว ก็คือ ผัสสะ กับ เจตนา
ถ้าเป็นผัสสะชนิดที่เป็นโลกที่ปรากฎ ก็เป็นผัสสะ
แต่ถ้าเป็นคนกระทำคืนต่อโลกที่มีเจตนาจะทำนั่นทำนี่ ก็คือตัวเจตนา
เป็นตัวแทนของสังขารขันธ์
14.12
เวทนา ก็เวทนาขันธ์
สัญญา สัญญาขันธ์
จิต ก็วิญญานขันธ์
อย่างนี้นะครับ
ต่อมาก็หมวดธรรมอื่นๆ
วิตักโก โหติ ,
วิจาโร โหติ ,
ทุกขัง โหติ ,
จิตตัสเสกะคัคตา โหติ ,
อันนี้ก็คือ หมวดองค์ฌาน หมวดฌาณังคะ
ในตอนที่โทสะมูลจิตเกิดขึ้นนี้ก็จะมีองค์ฌานอยู่
องค์ฌานก็จะมีอยู่ 4 องค์ฌาน เหมือนกัน คือ วิตก วิจาร ทุกข์ และก็ จิตตัสเสกคัคตา
ต่อมาก็
วิริยินทริยัง โหติ ,
สมาธินทริยัง โหติ ,
มนินทริยัง โหติ ,
โทมนัสสินทริยัง โหติ ,
ชีวิตตินทริยัง โหติ ,
อันนี้ก็คือ หมวดอินทรีย์
อันนี้ลักษณะการแสดง
15.04
ในพระพุทธพจน์ท่านจะแสดงเป็นหมวดธรรม
นา อย่างนี้ ทำนองนี้
ฉนั้นองค์ธรรมหนึ่งๆ บางทีก็อยู่หลายหมวดธรรม
ถ้าเราไม่ได้เรียนองค์ธรรม ไม่ได้เรียนสภาวะมา บางทีก็อาจจะงงได้
อย่างเงี้ย ทำนองนี้ นะครับ
มิจฉาสังกัปโป โหติ ,
มิจฉาวายาโม โหติ ,
มิจฉาสมาธิ โหติ ,
นะครับ อันนี้คือหมวดมรรค เป็น มิจฉามรรค
นะหมวดมรรค
วิริยัง โหติ ,
สมาธิพลัง โหติ ,
อหิริกะพลัง โหติ ,
อโนตตัปปะพลัง โหติ ,
นะครับ อันนี้ก็คือ หมวดพละ มีวิริยะเกิดขึ้น สมาธิพละ อหิริกะพละ อโนตตัปปะพละ อย่างนี้เป็นต้น
โทโส โหติ ,
โมโห โหติ ,
โทสะก็ย่อมเกิด โมหะก็ย่อมเกิด ประชุมรวมกัน
นะครับ นะ พวกนี้ก็เป็นหมวดที่เรียกว่า มูล
นะ ตอนที่โทสะเกิดขึ้นก็มีมูล 2 ก็คือ โทะสะ กับ โมหะ
เป็นอย่างงี้ แล้วแต่เราจะเลือกพูดแบบไหนก็ได้นะครับ
พูดแบบมูลก็ได้ พูดแบบพละก็ได้ พูดแบบมรรคก็ได้ พูดแบบอินทรีย์ พูดแบบองค์ฌาน อย่างนี้ก็ได้
นะครับ พยาปาโด โหติ ,นะครับ ตรงนี้ก็คือ กรรมบท พูดแบบกรรมบทก็ได้ ก็เป็น พยาปาทะ
เหมือนกับเวลาเราเรียนในทางพระสูตร ถ้าพูดว่า พยาปาทะ อันนี้ก็คือพูดโทสะมูลจิต ดวงนี้นั่นเอง
นา แต่ว่าใช้คำว่า พยาปาทะ ในการพูด เพราะว่า พยาปาทะ เนี่ยมันเกิดเดี่ยวๆไม่ได้ มันเกิดกับเพื่อนมัน ก็คือ
เกิดกับจิตและจิตนี้ที่มีพยาปาทะเกิดนี้มันก็มีเจตสิกอื่นๆ เกิดประกอบร่วมกัน
เพียงแต่ตอนนี้เราระบุหรือว่ามองไปที่เจ้าพยาบาทเป็นพิเศษเป็นต้น
แต่ถ้าเราไม่ได้เรียนอย่างนี้เอาไว้
บางทีพูดถึงพยาบาทก็ดูเหมือนพยาบาทจะมาคนเดียว มาเดี่ยวๆ
อย่างนี้นะครับ แต่หากเราเรียนทางอภิธรรมดีแล้ว
พอในทางพระสูตรพระพุทธองค์ตรัสถึงพยาบาท เราก็เข้าใจว่าพระองค์หมายถึงจิตดวงนี้
ซึ่งเป็นสภาวะที่เกิดขึ้น และมีสภาวะอื่นๆเกิดประกอบร่วมกัน
เป็นส่วนหนึ่งของทุกขสัจจ์ 17.27
เกิดจากเงื่อนไขจากเหตุจากปัจจัย
อย่างนี้นะครับ
อะหิริกัง
อะโนตตัปปัง
สะมะโถ โหติ , นี่ก็เกิดขึ้นพวกนี้นะ
ก็เป็นชุด เป็นชุด เป็นชุดของเขา
จนถึงปัคคาโห อวิคเขโป โหติ ,
อันนี้ก็คือ สภาวะที่ออกชื่อ หรือว่าระบุชื่อขึ้นมาก็จะมีตั้งแต่ ผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา จิต อย่างงี้ไล่ไป
17.56
ถ้าทุกท่านอยากจะรู้จำนวนตามพระพุทธพจน์ก็ใส่จำนวนดูก็จะรู้ว่าในพระพุทธพจน์นี่บอกว่ามีกี่ชื่อกี่หลักธรรมอย่างนี้
18.07
นอกจากนั้นแล้วยังมีเจตสิกอื่นๆ หรือสภาวะธรรมอื่นๆอีก เกิดประกอบร่วมด้วยแบบว่าเป็นสภาวะที่ไม่รวมอยู่ใน 17 หมวดธรรม
นะไม่อยู่ในหมวดธรรมต่างๆ ก็จะอยู่ใน เยวาปะนะ
เยวาปะนะ ตัสสะมิง สะมะเย อัญเญปิ  อัตถิ ปฎิจสมุปปันนา อะรูปิโน ธัมมา ; อิเม ธัมมา กุสะลา .
ก็หรือว่า อรูปธรรม ธรรมมะที่ไม่ใช่รูป แม้อย่างอื่น ที่อิงอาศัย ซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นในขณะนั้นที่มีอยู่ เหล่านี้ทั้งหมดนั่นแหละเป็น อกุศล
อิเม ธัมมา อกุสะลา
อย่างนี้ อันนี้คือพระบาลีจะแสดงอย่างนี้นะ
ซึ่งถ้าเราไปอ่านแบบไม่มีความรู้พื้นฐานอะไร ก็งงเลย  19.07
จะตีความอะไรไม่ออกนะครับ
ในคัมภีร์อภิธัมมาวตาร ท่านก็จะเอามาอธิบายให้ฟัง
จริงๆท่านก็อธิบายตั้งแต่ รุ่นอรรถกถาแล้ว เพียงแต่อรรถกถาอธิบายก็จะยาว
มีตัวอย่างอุปมาอุปมัยบางทีเราก็อ่านไม่ไหว
นะครับ อย่างนี้ 19.26
อภิธัมมาวตาร ท่านก็จะช่วยตรงนี้
ก็คือเป็นเหมือนย่อๆก่อน ว่างั้นเถอะ เรียนง่ายนะครับ
บางท่านก็บอกว่า นี่ขนาดง่ายแล้วนะยังงงอยู่เลย
ถ้าไปเจอพระไตรปิฏกจริงๆ เจออรรถกถาจริงๆ เนี่ยโอ้โหหน้ามืดเลย
อย่างงี้แบบนี้ฉนั้น เรียนอภิธรรมก็อาศัยครูบาอาจารย์แหละง่ายดี
พอท่านชี้แนะบ้างแล้ว เราพอมีความรู้พื้นฐานแล้ว ก็ไปว่ากันต่อไป ดีกว่าอ่านเอง
คือความรู้มันก็มีอยู่ในหนังสืออยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปอ่านเองกว่าจะเข้าใจใช้เวลานาน
เรียนกับอาจารย์ดีกว่า เรียนกับคนที่เขาศึกษามา เขาย่อไว้ให้
พอเรียนย่อได้แล้ว เราได้ความรู้แล้ว เราก็ไปต่อ 20.09
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่