ตัวแปรสำคัญหนึ่งในการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้นำ คือ "ภาษา" และ "ล่าม"
หลายครั้ง ระหว่างผู้นำต่อผู้นำ ต้องเลือกภาษาที่จะใช้คุยกัน เป็นภาษาที่ใช้และเข้าใจได้ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด สื่อสารผิด แปลผิด ข้อความสาระสำคัญตกหล่น
ถ้าผู้นำไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในภาษาที่อีกฝ่ายใช้ ก็จำเป็นต้องมีล่าม ที่สามารถถอดถ่ายแปลภาษาของทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างดี และต้องมั่นใจว่าสื่อสารได้ครบถ้วน
ผู้นำแต่ละฝ่าย จึงต้องมีล่ามของตนเอง เพื่อช่วยสอบทานว่าล่ามอีกฝั่งแปลถูกต้องหรือไม่ และขจัดความเข้าใจผิดที่จะเกิดขึ้นระหว่างกัน
การเลือกใช้ภาษาของผู้นำก็เป็นเรื่องสำคัญ ว่าจะใช้ภาษาอะไรเพื่อจุดประสงค์อะไรเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง โจวเอินไหล ซึ่งพูดได้คล่องแคล่ว 5 ภาษา จำเป็นต้องไปเจรจากับเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ และกล่าวในที่ประชุมสำคัญที่จาการ์ตา อินโดนีเซีย มีการบันทึกเสียงถ่ายทอดกลับไปเมืองจีน
ท่านโจวเลือกที่จะพูดเป็นภาษาจีน แทนที่จะเป็นอังกฤษหรือฝรั่งเศสที่ท่านพูดได้เช่นกัน แล้วให้ล่ามแปลในที่ประชุม
ด้วยเหตุผลว่า "ข้าพเจ้าพูดภาษาจีน เพื่อให้คนจีนแปดร้อยล้านคน (จำนวนประชากรขณะนั้น) ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าข้าพเจ้าพูดอเะไรในฐานะตัวแทนประเทศ ส่วนในที่ประชุม ก็มีล่ามแปลให้เข้าใจดีแล้ว"
นั่นคือ โจวเอินไหล เลือกใช้ภาษาจีนในการปราศรัย เพื่อจะให้คนจีนฟัง มากกว่าจะให้คนในที่ประชุมนานาชาติฟัง
ในคลิปอุ๊งอิ๊ง-ฮุนเซน จะเห็นได้ว่า ล่ามที่แปล เป็นล่ามฝั่งเขมรเพียงฝ่ายเดียว ฝั่งเราไม่มีล่ามคอยสอบทานว่า ที่ "พี่ฮวด" แปลภาษาเขมร นั้นแปลถูกหรือไม่
และฮุนเซน ที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศมาตั้งแต่อายุ 26 นายกตั้งแต่ 32 ใช้ภาษาต่างชาติได้เชี่ยวชาญ เจรจามาอย่างโชกโชน แต่กลับเลือกคุยเป็นภาษาเขมร ให้ล่ามแปล ซึ่งมีถ้อยคำบางส่วนที่ล่ามละเว้นไม่แปลให้อุ๊งอิ๊งฟัง
ซึ่งหลายถ้อยคำ หลายประโยคที่ไม่ถูกแปลนั้น ถูกนำไปตีข่าวเผยแพร่ในสื่อเขมร หลังคลิปเสียงถูกนำมาเผยแพร่
นี่แสดงถึงเจตนาเช่นใดของฮุนเซน?
เรื่องนี้แสดงถึงการขาดความสามารถรู้เท่าทัน และการอ่อนประสบการณ์คิดไว้ใจคนผิดของนายกฯ ไทย ไปพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมเหนือชั้นของฮุนเซน!
แพ้ตั้งแต่ยังไม่เจรจา เพราะ ตัวแปรสำคัญ
ตัวแปรสำคัญหนึ่งในการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างผู้นำ คือ "ภาษา" และ "ล่าม"
หลายครั้ง ระหว่างผู้นำต่อผู้นำ ต้องเลือกภาษาที่จะใช้คุยกัน เป็นภาษาที่ใช้และเข้าใจได้ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด สื่อสารผิด แปลผิด ข้อความสาระสำคัญตกหล่น
ถ้าผู้นำไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในภาษาที่อีกฝ่ายใช้ ก็จำเป็นต้องมีล่าม ที่สามารถถอดถ่ายแปลภาษาของทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างดี และต้องมั่นใจว่าสื่อสารได้ครบถ้วน
ผู้นำแต่ละฝ่าย จึงต้องมีล่ามของตนเอง เพื่อช่วยสอบทานว่าล่ามอีกฝั่งแปลถูกต้องหรือไม่ และขจัดความเข้าใจผิดที่จะเกิดขึ้นระหว่างกัน
การเลือกใช้ภาษาของผู้นำก็เป็นเรื่องสำคัญ ว่าจะใช้ภาษาอะไรเพื่อจุดประสงค์อะไรเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง โจวเอินไหล ซึ่งพูดได้คล่องแคล่ว 5 ภาษา จำเป็นต้องไปเจรจากับเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ และกล่าวในที่ประชุมสำคัญที่จาการ์ตา อินโดนีเซีย มีการบันทึกเสียงถ่ายทอดกลับไปเมืองจีน
ท่านโจวเลือกที่จะพูดเป็นภาษาจีน แทนที่จะเป็นอังกฤษหรือฝรั่งเศสที่ท่านพูดได้เช่นกัน แล้วให้ล่ามแปลในที่ประชุม
ด้วยเหตุผลว่า "ข้าพเจ้าพูดภาษาจีน เพื่อให้คนจีนแปดร้อยล้านคน (จำนวนประชากรขณะนั้น) ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าข้าพเจ้าพูดอเะไรในฐานะตัวแทนประเทศ ส่วนในที่ประชุม ก็มีล่ามแปลให้เข้าใจดีแล้ว"
นั่นคือ โจวเอินไหล เลือกใช้ภาษาจีนในการปราศรัย เพื่อจะให้คนจีนฟัง มากกว่าจะให้คนในที่ประชุมนานาชาติฟัง
ในคลิปอุ๊งอิ๊ง-ฮุนเซน จะเห็นได้ว่า ล่ามที่แปล เป็นล่ามฝั่งเขมรเพียงฝ่ายเดียว ฝั่งเราไม่มีล่ามคอยสอบทานว่า ที่ "พี่ฮวด" แปลภาษาเขมร นั้นแปลถูกหรือไม่
และฮุนเซน ที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศมาตั้งแต่อายุ 26 นายกตั้งแต่ 32 ใช้ภาษาต่างชาติได้เชี่ยวชาญ เจรจามาอย่างโชกโชน แต่กลับเลือกคุยเป็นภาษาเขมร ให้ล่ามแปล ซึ่งมีถ้อยคำบางส่วนที่ล่ามละเว้นไม่แปลให้อุ๊งอิ๊งฟัง
ซึ่งหลายถ้อยคำ หลายประโยคที่ไม่ถูกแปลนั้น ถูกนำไปตีข่าวเผยแพร่ในสื่อเขมร หลังคลิปเสียงถูกนำมาเผยแพร่
นี่แสดงถึงเจตนาเช่นใดของฮุนเซน?
เรื่องนี้แสดงถึงการขาดความสามารถรู้เท่าทัน และการอ่อนประสบการณ์คิดไว้ใจคนผิดของนายกฯ ไทย ไปพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมเหนือชั้นของฮุนเซน!