ตามที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งได้โทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จฯ ฮุน เซน
ซึ่งถือเป็นการเจรจาที่นายกฯ ใช้เทคนิคในการต่อรองอย่างมีชั้นเชิง
โดยมีเป้าหมายเพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ผมจึงอยากขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆ ในห้องราชดำเนินครับว่า
มีใครได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ จากการเจรจาครั้งนี้บ้าง?
ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยโดยรวม, ประชาชน, ตัวนายกฯ เอง, พรรคเพื่อไทย, พรรคร่วมรัฐบาล, ฝ่ายค้าน ฯลฯ
รวมถึงว่า ผลลัพธ์ของการเจรจาครั้งนี้ แตกต่างจากกรณีที่ไม่เจรจาอย่างไร?
มีอยู่ช่วงหนึ่งในคลิปเสียงที่มีคำพูดว่า
"ตอนนี้คนไล่หลานให้ไปเป็นนายกฯ เขมรหมดแล้ว 5555555"
คำพูดนี้พอจะสื่อได้ไหมว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊งรับฟังเสียงของประชาชนที่เห็นต่างด้วย?
และอาจเป็นสัญญาณว่า นายกฯ เผชิญกับแรงกดดันจนต้องดำเนินการเจรจากับสมเด็จฯ ฮุน เซน
หลายครั้งที่เห็นนายกฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยท่าทีสดใสร่าเริง
แต่ในความเป็นจริง นายกฯ อาจกำลังแบกรับภาระและความเครียดมหาศาลอยู่
แต่เลือกที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น ใช่ไหมครับ?
ใครได้ประโยชน์จากที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง โทรคุยกับสมเด็จฯ ฮุน เซน?
นายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งได้โทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จฯ ฮุน เซน
ซึ่งถือเป็นการเจรจาที่นายกฯ ใช้เทคนิคในการต่อรองอย่างมีชั้นเชิง
โดยมีเป้าหมายเพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ผมจึงอยากขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆ ในห้องราชดำเนินครับว่า
มีใครได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ จากการเจรจาครั้งนี้บ้าง?
ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยโดยรวม, ประชาชน, ตัวนายกฯ เอง, พรรคเพื่อไทย, พรรคร่วมรัฐบาล, ฝ่ายค้าน ฯลฯ
รวมถึงว่า ผลลัพธ์ของการเจรจาครั้งนี้ แตกต่างจากกรณีที่ไม่เจรจาอย่างไร?
มีอยู่ช่วงหนึ่งในคลิปเสียงที่มีคำพูดว่า
"ตอนนี้คนไล่หลานให้ไปเป็นนายกฯ เขมรหมดแล้ว 5555555"
คำพูดนี้พอจะสื่อได้ไหมว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊งรับฟังเสียงของประชาชนที่เห็นต่างด้วย?
และอาจเป็นสัญญาณว่า นายกฯ เผชิญกับแรงกดดันจนต้องดำเนินการเจรจากับสมเด็จฯ ฮุน เซน
หลายครั้งที่เห็นนายกฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยท่าทีสดใสร่าเริง
แต่ในความเป็นจริง นายกฯ อาจกำลังแบกรับภาระและความเครียดมหาศาลอยู่
แต่เลือกที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น ใช่ไหมครับ?