คำถามนี้วนอยู่ในหัวฉันตั้งแต่วันที่ฉันคุยกับแม่เรื่อง “การมีลูกในอนาคต”
มันเป็นบทสนทนาที่เหมือนจะธรรมดา แต่กลับทิ้งรอยแผลบางอย่างไว้ในใจฉัน
แม่ถามว่า “อนาคตจะมีลูกไหม?”
ฉันตอบไปตามความรู้สึกจริง ๆ ว่า “อาจจะไม่อยากมีลูกเอง แต่อยากรับเลี้ยงเด็กมาเลี้ยงแทน”
ฉันพูดเรื่องนี้กับแม่มาหลายครั้งแล้ว และคิดว่าแม่คงเข้าใจว่าฉันไม่ได้พูดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่คิดแล้วคิดอีก คิดเพราะอยากมอบโอกาสให้ใครสักคนที่โลกอาจไม่ให้เขามาแต่แรก
แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้ฉันอึ้งไปทันที
“จะไปรับเลี้ยงทำไม สายเลือดก็ไม่ใช่ ไปเอาลูกของพี่มาเลี้ยงไม่ดีกว่าเหรอ?”
ฉันไม่รู้จะตอบยังไง…
ในหัวมีแต่คำถามว่า ทำไมต้องเป็นสายเลือด?
แล้วถ้าเด็กคนหนึ่งไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับเรา เขาก็ไม่สมควรได้รับความรักหรือการดูแลที่ดีเหรอ?
เด็กที่ถูกรับเลี้ยง เป็นภาระขนาดนั้นเลยเหรอ?
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เด็กคนนั้นไม่ได้เลือกที่จะเกิดมาโดยไม่มีครอบครัว
เขาแค่เป็น “คนตัวเล็กคนหนึ่ง” ที่รอใครสักคนยื่นมือให้ รอแค่ใครสักคนที่จะไม่มองว่าเขา “เป็นภาระ”
คำพูดของแม่ทำให้ฉันสับสน
ฉันไม่รู้ว่าแม่พูดเพราะหวังดี หรือพูดเพราะมองว่าการมีลูกที่ไม่ใช่สายเลือดคือ “ความไม่เหมาะสม” หรือ “ความเสี่ยง”
แต่ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยิ่งงงกับคำแนะนำที่ให้ฉัน “เลี้ยงลูกของพี่ชายแทน”
แล้วทำไมเราต้องไปรับเลี้ยงลูกของคนที่เขาควรมีความรับผิดชอบของตัวเอง?
การรับเลี้ยงเด็กสักคน ไม่ใช่การยื่นมือไปช่วยใครเพราะความสงสาร แต่มันคือการ “เลือกจะรัก” อย่างมีสติและตั้งใจ
เมื่อฉันพยายามอธิบายความรู้สึกให้แม่ฟัง
แม่เพียงตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า
“ก็แค่พูดเฉย ๆ จะซีเรียสทำไม”
แต่มันไม่ใช่ “คำพูดเฉย ๆ” สำหรับฉัน
มันเป็นคำพูดที่ทิ้งรอยในใจ มันบอกฉันว่า “เด็กคนหนึ่งอาจไม่มีค่าพอจะเป็นลูกของใคร”
มันคือการกดค่าของความรักที่ไม่มีสายเลือด แต่จริงไม่แพ้ใครเลย
ฉันเขียนบทความนี้ ไม่ใช่เพื่อโจมตีแม่
แต่เพื่อพูดแทนคนที่เคยคิดจะรับเลี้ยงเด็ก เคยตั้งใจจะมอบบ้านให้เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีใคร และถูกสังคมหรือคนรอบข้างมองว่า “เป็นภาระ”
ฉันอยากให้คนได้ลองคิดใหม่
เพราะเด็กที่ถูกรับเลี้ยงไม่ใช่ภาระ
เขาอาจเป็นความสุข เป็นพลัง เป็นบทเรียนชีวิต และสุดท้าย...เขาอาจเป็น “ลูก” ที่เรารักจนหมดหัวใจ
ขอแค่เรามีหัวใจที่จะเลือกเขา
ไม่ใช่สายเลือดที่เลือกให้เรารักกัน
บทความนี้เราเค่เขียนขึ้นมาเพื่อสะท้อนสังคมบางกลุ่ม ตัวละครเเละเรื่องราวที่ถูกพูดในเรื่องก็เป็นเเค่สถานะการณ์ที่เราสมุมติขึ้นมาเท่านั้นนะคะ
คิดเห็นกับบทความนี้ยังไงบ้างก็มาพิมพูดคุยกันได้นะคะ
“เด็กที่ถูกรับเลี้ยง เป็นภาระมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ฉันตอบไปตามความรู้สึกจริง ๆ ว่า “อาจจะไม่อยากมีลูกเอง แต่อยากรับเลี้ยงเด็กมาเลี้ยงแทน”
ในหัวมีแต่คำถามว่า ทำไมต้องเป็นสายเลือด?
แล้วถ้าเด็กคนหนึ่งไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับเรา เขาก็ไม่สมควรได้รับความรักหรือการดูแลที่ดีเหรอ?
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เด็กคนนั้นไม่ได้เลือกที่จะเกิดมาโดยไม่มีครอบครัว
เขาแค่เป็น “คนตัวเล็กคนหนึ่ง” ที่รอใครสักคนยื่นมือให้ รอแค่ใครสักคนที่จะไม่มองว่าเขา “เป็นภาระ”
ฉันไม่รู้ว่าแม่พูดเพราะหวังดี หรือพูดเพราะมองว่าการมีลูกที่ไม่ใช่สายเลือดคือ “ความไม่เหมาะสม” หรือ “ความเสี่ยง”
แต่ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยิ่งงงกับคำแนะนำที่ให้ฉัน “เลี้ยงลูกของพี่ชายแทน”
แล้วทำไมเราต้องไปรับเลี้ยงลูกของคนที่เขาควรมีความรับผิดชอบของตัวเอง?
การรับเลี้ยงเด็กสักคน ไม่ใช่การยื่นมือไปช่วยใครเพราะความสงสาร แต่มันคือการ “เลือกจะรัก” อย่างมีสติและตั้งใจ
แม่เพียงตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า
มันเป็นคำพูดที่ทิ้งรอยในใจ มันบอกฉันว่า “เด็กคนหนึ่งอาจไม่มีค่าพอจะเป็นลูกของใคร”
มันคือการกดค่าของความรักที่ไม่มีสายเลือด แต่จริงไม่แพ้ใครเลย
แต่เพื่อพูดแทนคนที่เคยคิดจะรับเลี้ยงเด็ก เคยตั้งใจจะมอบบ้านให้เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีใคร และถูกสังคมหรือคนรอบข้างมองว่า “เป็นภาระ”
เพราะเด็กที่ถูกรับเลี้ยงไม่ใช่ภาระ
เขาอาจเป็นความสุข เป็นพลัง เป็นบทเรียนชีวิต และสุดท้าย...เขาอาจเป็น “ลูก” ที่เรารักจนหมดหัวใจ
ไม่ใช่สายเลือดที่เลือกให้เรารักกัน