12. พันธนาการทั้งสอง
“สาเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรแห่งนี้ เป็นคนที่ถูกหัวหน้าโทมัสส่งไปสร้างสัมพันธ์ด้วยเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว เพื่อหวังใช้ประโยชน์จากความสนิทสนมใกล้ชิดในการจับตาดูวัฒน์ได้ตลอดเวลา”
ความจริงก็คือ...ในขณะที่วิวัฒน์กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาเอก เวลานั้นรริสาก็คอยเฝ้าติดตามสังเกต เข้ามาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ในชีวิตโดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัวแล้ว สิ่งที่เฝ้ารอก็มีเพียงแค่ช่วงจังหวะอันเหมาะสม ที่จะทำให้เรื่องราวระหว่างเธอกับเขาเริ่มต้นและดำเนินต่อไปเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่าที่สุดแล้วจังหวะเวลาอย่างที่ว่ามาก็ได้เดินทางมาถึง ในวันที่สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ให้ใครได้ตั้งตัว ภายในร้านอาหารซึ่งรริสาตั้งใจทำหนังสือตกไว้ให้วิวัฒน์ได้เก็บและติดตามเธอมา
เพื่อให้ม่านการแสดงถูกชักเปิดออก ให้ฉากแห่งความสัมพันธ์อันสวยงามเกิดขึ้นและเป็นไปในแบบที่เธอต้องการให้เป็น
กิจวัตรประจำวันของชายที่ชื่อวิวัฒน์คืออะไร เขาผู้นี้ชอบและไม่ชอบสิ่งไหน สีที่รู้สึกดีเป็นพิเศษคือสีใด เขามักใช้เวลาว่างทำอะไรหรือมักเดินทางไปไหนกับใคร ร้านที่ใช้ฝากท้องอยู่เป็นประจำคือร้านไหน เมนูโปรดคือเมนูใด นักเขียนและหนังสือเล่มโปรดที่มักถือติดตัวไว้เป็นประจำคือใครและเล่มไหน
จากข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียดยิบแทบทั้งหมดของเขาที่เธอมี จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่ทุกสิ่งจะรุดหน้าไปอย่างราบรื่นรวดเร็ว ราวนิยายรักที่ถูกเรียงร้อยผูกโยงมาได้อย่างพอดีและลงตัว
ทว่า...ท่ามกลางฉากหน้าของรักแท้แห่งโชคชะตาหรือพรหมลิขิตอันงดงาม สิ่งที่ซุกซ่อนอย่างแนบเนียนอยู่ในฉากหลัง กลับมีเพียงแผนการขัดขวางความก้าวหน้าและงานวิจัยของเขา
รริสาถูกมอบหมายให้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อให้วิวัฒน์ทิ้งความเป็นอัจฉริยะของตัวเองไป เลิกยุ่งเกี่ยวกับงานในแวดวงวิทยาศาสตร์ ยุติงานวิจัยซึ่งสามารถสั่นคลอนโลกทั้งใบไปให้หมด
แค่รักเธอ...อยู่กับเธอ มีกันและกันทุกคืนวัน ให้เขาใช้ชีวิตอย่างคนปกติธรรมดาเพียงเท่านี้ก็พอ
แต่ก็อย่างที่รู้กัน ว่าสุดท้ายแล้วทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผนที่หวังผลไว้ ในวันที่ผลงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกถูกเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชน ดอกเตอร์โทมัสจึงต้องตัดสินใจจัดการขั้นเด็ดขาด
ชายชราใช้อำนาจอันมากมายมหาศาลขององค์กร ในการทำลายความน่าเชื่อถือของทั้งงานวิจัยและตัวของวิวัฒน์เองในคราวเดียว ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ถูกทำให้ไร้ค่าจนสูญเปล่าไป ส่วนตัวเขาก็กลายเป็นคนที่หวังสร้างชื่อเสียงจากความโกลาหลเรื่องโลกแตกที่กุแต่งขึ้น
กลายเป็นคนลวงโลก หมดเป้าหมายในชีวิต สูญเสียตัวตนของตนเอง จนในที่สุดก็หายสาปสูญไปจากวงการวิทยาศาสตร์โลก
เมื่อทุกอย่างสรุปลงเอยในรูปแบบนี้ แผนก่อนหน้าที่มีรริสาเป็นตัวขับเคลื่อนก็ยุติลงโดยอัตโนมัติ ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกที่จะอยู่ต่อ หญิงสาวถูกเรียกตัวกลับองค์กร ฝังกลบลบทุกสิ่งที่ผ่านมาทิ้งไป
ให้ราวกับเรื่องทุกเรื่องระหว่างเธอและเขาไม่เคยเกิดขึ้น เขาแลเธอไม่เคยได้พบ ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยมีวันเวลาดี ๆ ร่วมกันเลยแม้สักหน
“ที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ ที่วัฒน์ต้องมาลงเอยอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะสาก็ได้”
รริสาเอ่ยประโยคนี้ออกมาจากใจจริงด้วยเพราะรู้สึกผิดมาโดยตลอด วันที่วิวัฒน์ต้องบอบช้ำแสนสาหัสเธอควรจะอยู่กับเขา อันที่จริงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเธอจะตั้งใจทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีกว่านี้
เธอมั่นใจว่าตนเองสามารถขัดขวางหรือโน้มน้าวเขา เพื่อให้งานวิจัยชิ้นสำคัญถูกล้มเลิกหรือล้มเหลวลงได้ มีโอกาส เวลา รวมถึงวิธีการมากมายให้เลือกลงมือ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ปรารถนา
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าภารกิจในครั้งนี้มันใช้เวลานานเกินไป นานจนความคิดของเธอเปลี่ยน นาน...นานมากจนหัวใจของเธอหวั่นไหวและสั่นคลอนไปกับคำว่ารัก ที่เขามีให้แก่เธออย่างสม่ำเสมอไม่เคยผันแปร
สุดท้ายแล้วเธอก็ปล่อยให้เขาได้ทำอย่างใจ โดยเลือกที่จะปล่อยผ่านเอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้าง
จนทุกสิ่งดำเนินมาถึงจุดเลวร้ายที่สุดซึ่งไร้ทางให้หวนกลับหรือแก้ไข
“สาทำให้อะไรต่อมิอะไรผิดพลาดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของวัฒน์หรือความรักของพวกเราสองคน ทุกอย่างพังพินาศลงด้วยมือของสาเอง และที่สามาหาในวันนี้ก็เพื่อจะทำให้ทุกสิ่งกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
สาเป็นหนึ่งในผู้อพยพ ที่นั่นเราสองคนสามารถแก้ไขทุกสิ่งให้ถูกต้องได้ บนโลกใบใหม่ พวกเรามีเวลาเหลือเฟือพอที่จะเริ่มต้นใหม่ ได้อยู่ด้วยกันอย่างวันเก่าก่อน ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขจริง ๆ เสียที”
หลังจากในช่วงเช้าที่วิวัฒน์ใช้พลังสมองและสมาธิทั้งหมดไปกับงานขององค์กรแล้ว เขาเลือกที่จะเติมพลังสำหรับช่วงบ่ายด้วยมื้อเที่ยงง่าย ๆ แบบที่ทำประจำ จากนั้นก็หามุมสงบนั่งนิ่ง ๆ เพียงลำพังพร้อมด้วยกาแฟสักถ้วยในมือ
กลิ่นหอมละมุนและรสขมเข้มเฉพาะตัวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย การได้อยู่กับตัวเองเงียบ ๆ ช่วยทำให้กลับมาเป็นตัวของตัวเองเต็มร้อย ในมุมเล็ก ๆ ส่วนตัวอันแสนสุขสงบสบายใจท่ามกลางความสับสนวุ่นวายรอบด้าน หลายเรื่องราวจากอดีตผุดแทรกไหลย้อนคืนมาให้ได้ระลึกถึงอีกครั้ง
นับจากวันนั้นที่รริสาเล่าทุกอย่างที่เธอรู้ให้เขาฟัง เวลาก็ผ่านพ้นมาเกือบจะครึ่งปีแล้ว เรื่องราวทั้งหมดที่ออกจากปากของอดีตแฟนสาว นอกจากจะน่าตกใจแล้วก็ยังยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ทันทีทันใดในวินาทีที่ได้ฟัง
อันที่จริงเขาคิดว่าตนเองควรจะต้องโมโห น่าจะโกรธเกลียดและเคียดแค้นเธอได้มากกว่านี้ ทว่าน่าแปลกที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด
ตรงกันข้าม...เขากลับนั่งนิ่งฟังคำบอกเล่าเหล่านั้น ด้วยใจที่ค่อย ๆ สงบราบเรียบลงทีละน้อยอย่างประหลาด แปลกเสียจนแม้เขาเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเอง ว่ากำลังคิดหรือรู้สึกแบบใดกันแน่ในทีแรก
แม้เป็นความจริงอันโหดร้าย แต่เขาก็ได้ถูกปลดปล่อยจากกรงขังแห่งอดีตเสียที นี่กระมังที่ทำให้เขาเข้าใจและยอมรับทุกสิ่งได้
อย่างน้อยที่สุด...คำถามที่เคยค้างคาซึ่งทำให้เขาเฝ้าวนเวียน เอาแต่คิดถึงมันมาตลอดก็ได้รับคำตอบ เมฆหมอกหนาทึบซึ่งห่อคลุมปิดกั้นจิตใจ และทำให้รอบกายหม่นมัวคลุมเครืออยู่เสมอ ปลิดปลิวสูญสลายจนทุกอย่างกระจ่างชัดเสียที
“ก่อนที่สาจะออกจากห้องไป เพื่อปล่อยให้วัฒน์ได้ใช้เวลาไตร่ตรองให้รอบคอบและดีที่สุด ศรัทธา...เด็กหนุ่มที่วัฒน์น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างแล้ว เขาฝากสิ่งนี้มาพร้อมกำชับนักหนาว่าต้องมอบให้วัฒน์ให้ได้”
สิ่งนั้นจากศรัทธาที่ได้รับมาจากมือของรริสาคือเครื่องบันทึกเสียง ซึ่งเมื่อลองกดเปิดฟังก็พบว่าเป็นคำพูดของเด็กหนุ่มที่ฝากมาถึงเขา
“ดอกเตอร์วิวัฒน์ครับ ก่อนอื่นเลยผมต้องขออภัยด้วย หากคำพูดของผมจะทำให้คุณไม่พอใจหรือไม่สบายใจ ผมอยากจะถามอะไรสักหน่อยครับ ดอกเตอร์คิดอย่างไรกับชีวิตที่กำลังได้มีโอกาสถือกำเนิดขึ้นมาในอนาคต คุณมองเห็นชีวิตของมนุษย์โคลนเป็นแบบไหน ตีคุณค่า ประเมินราคาของมนุษย์โคลนอย่างไรครับ”
ในทีแรกเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจจะฟังคำฝากจากเด็กหนุ่มเลยสักนิด แต่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่...คำว่ามนุษย์โคลนกลับกระตุ้นอารมณ์เกรี้ยวกราดให้ปะทุ และทำให้ต้องหันเหความสนใจกลับมาในที่สุด
ถ้าข้อเท็จจริงคือ...หากเขาคือมนุษย์โคลนต้นแบบที่ประสบผลสำเร็จ คำตอบนั้นชัดเจนว่าเขาย่อมไม่ใช่คนเพียงคนเดียว ที่ถือกำเนิดขึ้นโดยเทคโนโลยีจากวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน
อย่างไรเสียก็ต้องมีการยืนยันผล องค์กรคงจะทำการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกไม่รู้มากน้อยขนาดไหนเป็นแน่ อาจจะมีคนแบบเขาอยู่อีกห้าถึงสิบคน หรืออย่างน้อยที่สุดก็สองถึงสามคน
แต่มันไม่ใช่ เขาคิดผิดไปถนัดแบบที่ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
“ผู้ที่อยู่ที่นี่หลายสิบหรืออาจจะร้อยคนก็เป็นมนุษย์โคลน และ...ผมเองก็เป็นหนึ่งในหลายสิบหลายร้อยคนนั้น ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเทคโนโลยีเช่นเดียวกันกับคุณครับ”
มีหนึ่งก็ย่อมมีสอง มีสองก็ย่อมมีสาม สี่ ห้า และอื่น ๆ ตามมา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่คิดคำนวณหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ การตัดแต่ง ดัดแปลง ปลูกถ่าย เพื่อพัฒนาคัดสรรสิ่งที่สุดยอดสมบูร์กว่าก็จะเริ่มต้นขึ้น
ตัวอย่างที่ดีจะถูกเก็บไว้เพื่อศึกษาต่อยอดต่อไป ส่วนตัวอย่างที่ไม่ดีก็จะถูกกำจัดทิ้งอย่างไม่ไยดี ด้วยเหตุผลที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง ว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษยธรรม’
เป็นความจริงในแบบของวิทยาศาสตร์ ที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้อีกฝั่งฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกใด ๆ เลย และความจริงนั้น หลาย ๆ ครั้งก็โหดร้ายจนเกินกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจหรือทบรับได้ไหว
เสียงของเด็กหนุ่มจากเครื่องบันทึกเสียงบอกเล่าต่อไปว่า จำนวนเตียงจำศีลบนยานโนอาห์ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนพอดีกับผู้ถูกเลือก ซึ่งแน่นอนว่าหากบุคลากรขององค์กรคนใดต้องการเป็นผู้อพยพ ก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์และมีคุณค่าควรแก่การให้ถูกเลือกด้วยเช่นกัน
ฟังเหมือนเป็นกฎกติกาที่ยุติธรรม ทว่าสำหรับมนุษย์โคลนซึ่งคล้ายประชาชนชั้นสองของที่นี่ ก็ยังมีความลำเอียงเหลื่อมล้ำอยู่ดี
มนุษย์โคลนส่วนใหญ่เกิดมาด้วยศักยภาพอันถือเป็นปกติธรรมดา หากเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าผู้มีพรสวรรค์หรือผู้เป็นอัจฉริยะ ดังนั้นพวกเขาจึงมักถูกมอบหมายหน้าที่ที่ไม่ซับซ้อนหรือสำคัญมากนักให้เป็นอันดับแรก
กลุ่มที่ถูกประเมินแล้วว่ามีพัฒนาการที่เร็ว และสามารถขยายขีดความสามารถต่อได้ ก็จะได้รับงานที่สำคัญมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ
ศรัทธาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกประเมินว่าน่าจะพัฒนาต่อได้ เด็กหนุ่มได้รับสิทธิให้เข้าทำการคัดเลือกเพื่อเป็นหนึ่งในผู้อพยพ ด้วยจุดเริ่มต้นที่ห่างไกลกว่าคนอื่นจึงต้องเรียนรู้และทำงานหนักเพื่อชดเชยส่วนนั้น
ทว่าเมื่อถึงเส้นตายซึ่งก็คือวันคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ได้ขึ้นยานโนอาห์ จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถก้าวข้ามพ้นคำว่าผู้มีความสามารถระดับปกติธรรมดาไปได้ สุดท้ายแล้วชื่อของศรัทธาจึงถูกคัดทิ้งไป
“ชีวิตที่เกิดมาทุกชีวิตล้วนแล้วแต่ต้องการจะอยู่รอด ซึ่งผมรวมถึงพวกเรามนุษย์โคลนคนอื่นก็ไม่ต่างกันครับ แต่ดอกเตอร์...คุณเองที่ได้รับโอกาสนั้นมาแล้ว แต่คุณกลับคิดจะทิ้งมันไปเสียเฉย ๆ
คุณรู้ตัวหรือเปล่าครับว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และอะไรก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ นอกจากจะเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเองแล้ว นั่นยังเป็นการด้อยค่า ลดศักดิ์ศรี และดูหมิ่นความพยายามในการมีชีวิตอยู่ของพวกเราด้วยครับ”
คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกจะเป็นได้ ไม่ว่าจะเกิดมาจากอะไรด้วยวิธีใดก็ตาม เขาคนนั้นก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีศักดิ์และสิทธิ์ที่เท่าเทียมกับคนอื่น
มนุษย์โคลนก็เช่นกันที่แม้จะถือกำเนิดจากเซลล์ต้นแบบของใครก็ตาม พวกเขาก็หาใช่คนเดียวกัน หากแต่ต่างคนย่อมมีความเป็นปัจเจก มีสิทธิ์ในชีวิตของตนเอง มีความเป็นมนุษย์ในแบบที่อยากเป็นเหมือน ๆ กัน
“ดอกเตอร์ครับ คุณไม่ใช่เขา คุณก็คือคุณ ที่ผ่านมาคุณก็ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาด้วยตัวเองไม่ใช่หรือครับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จะมามัวโทษโชคชะตา แล้วปล่อยให้เรื่องที่ควบคุมไม่ได้เหล่านั้นกลืนกินตัวคุณเองไปทำไมล่ะครับ
อดีตไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการยอมรับและก้าวต่อไป อนาคตอยากให้เป็นแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ต้องลงมือทำมันด้วยตัวเอง ต้องเปลี่ยนแปลงและพิสูจน์ตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งครับ”
วันดับสูญ บทที่ 12 พันธนาการทั้งสอง
“สาเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรแห่งนี้ เป็นคนที่ถูกหัวหน้าโทมัสส่งไปสร้างสัมพันธ์ด้วยเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว เพื่อหวังใช้ประโยชน์จากความสนิทสนมใกล้ชิดในการจับตาดูวัฒน์ได้ตลอดเวลา”
ความจริงก็คือ...ในขณะที่วิวัฒน์กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาเอก เวลานั้นรริสาก็คอยเฝ้าติดตามสังเกต เข้ามาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ในชีวิตโดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัวแล้ว สิ่งที่เฝ้ารอก็มีเพียงแค่ช่วงจังหวะอันเหมาะสม ที่จะทำให้เรื่องราวระหว่างเธอกับเขาเริ่มต้นและดำเนินต่อไปเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่าที่สุดแล้วจังหวะเวลาอย่างที่ว่ามาก็ได้เดินทางมาถึง ในวันที่สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ให้ใครได้ตั้งตัว ภายในร้านอาหารซึ่งรริสาตั้งใจทำหนังสือตกไว้ให้วิวัฒน์ได้เก็บและติดตามเธอมา
เพื่อให้ม่านการแสดงถูกชักเปิดออก ให้ฉากแห่งความสัมพันธ์อันสวยงามเกิดขึ้นและเป็นไปในแบบที่เธอต้องการให้เป็น
กิจวัตรประจำวันของชายที่ชื่อวิวัฒน์คืออะไร เขาผู้นี้ชอบและไม่ชอบสิ่งไหน สีที่รู้สึกดีเป็นพิเศษคือสีใด เขามักใช้เวลาว่างทำอะไรหรือมักเดินทางไปไหนกับใคร ร้านที่ใช้ฝากท้องอยู่เป็นประจำคือร้านไหน เมนูโปรดคือเมนูใด นักเขียนและหนังสือเล่มโปรดที่มักถือติดตัวไว้เป็นประจำคือใครและเล่มไหน
จากข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียดยิบแทบทั้งหมดของเขาที่เธอมี จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่ทุกสิ่งจะรุดหน้าไปอย่างราบรื่นรวดเร็ว ราวนิยายรักที่ถูกเรียงร้อยผูกโยงมาได้อย่างพอดีและลงตัว
ทว่า...ท่ามกลางฉากหน้าของรักแท้แห่งโชคชะตาหรือพรหมลิขิตอันงดงาม สิ่งที่ซุกซ่อนอย่างแนบเนียนอยู่ในฉากหลัง กลับมีเพียงแผนการขัดขวางความก้าวหน้าและงานวิจัยของเขา
รริสาถูกมอบหมายให้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อให้วิวัฒน์ทิ้งความเป็นอัจฉริยะของตัวเองไป เลิกยุ่งเกี่ยวกับงานในแวดวงวิทยาศาสตร์ ยุติงานวิจัยซึ่งสามารถสั่นคลอนโลกทั้งใบไปให้หมด
แค่รักเธอ...อยู่กับเธอ มีกันและกันทุกคืนวัน ให้เขาใช้ชีวิตอย่างคนปกติธรรมดาเพียงเท่านี้ก็พอ
แต่ก็อย่างที่รู้กัน ว่าสุดท้ายแล้วทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผนที่หวังผลไว้ ในวันที่ผลงานวิจัยเหตุแห่งการดับสูญของโลกถูกเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชน ดอกเตอร์โทมัสจึงต้องตัดสินใจจัดการขั้นเด็ดขาด
ชายชราใช้อำนาจอันมากมายมหาศาลขององค์กร ในการทำลายความน่าเชื่อถือของทั้งงานวิจัยและตัวของวิวัฒน์เองในคราวเดียว ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ถูกทำให้ไร้ค่าจนสูญเปล่าไป ส่วนตัวเขาก็กลายเป็นคนที่หวังสร้างชื่อเสียงจากความโกลาหลเรื่องโลกแตกที่กุแต่งขึ้น
กลายเป็นคนลวงโลก หมดเป้าหมายในชีวิต สูญเสียตัวตนของตนเอง จนในที่สุดก็หายสาปสูญไปจากวงการวิทยาศาสตร์โลก
เมื่อทุกอย่างสรุปลงเอยในรูปแบบนี้ แผนก่อนหน้าที่มีรริสาเป็นตัวขับเคลื่อนก็ยุติลงโดยอัตโนมัติ ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกที่จะอยู่ต่อ หญิงสาวถูกเรียกตัวกลับองค์กร ฝังกลบลบทุกสิ่งที่ผ่านมาทิ้งไป
ให้ราวกับเรื่องทุกเรื่องระหว่างเธอและเขาไม่เคยเกิดขึ้น เขาแลเธอไม่เคยได้พบ ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยมีวันเวลาดี ๆ ร่วมกันเลยแม้สักหน
“ที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ ที่วัฒน์ต้องมาลงเอยอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะสาก็ได้”
รริสาเอ่ยประโยคนี้ออกมาจากใจจริงด้วยเพราะรู้สึกผิดมาโดยตลอด วันที่วิวัฒน์ต้องบอบช้ำแสนสาหัสเธอควรจะอยู่กับเขา อันที่จริงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเธอจะตั้งใจทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีกว่านี้
เธอมั่นใจว่าตนเองสามารถขัดขวางหรือโน้มน้าวเขา เพื่อให้งานวิจัยชิ้นสำคัญถูกล้มเลิกหรือล้มเหลวลงได้ มีโอกาส เวลา รวมถึงวิธีการมากมายให้เลือกลงมือ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ปรารถนา
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าภารกิจในครั้งนี้มันใช้เวลานานเกินไป นานจนความคิดของเธอเปลี่ยน นาน...นานมากจนหัวใจของเธอหวั่นไหวและสั่นคลอนไปกับคำว่ารัก ที่เขามีให้แก่เธออย่างสม่ำเสมอไม่เคยผันแปร
สุดท้ายแล้วเธอก็ปล่อยให้เขาได้ทำอย่างใจ โดยเลือกที่จะปล่อยผ่านเอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้าง
จนทุกสิ่งดำเนินมาถึงจุดเลวร้ายที่สุดซึ่งไร้ทางให้หวนกลับหรือแก้ไข
“สาทำให้อะไรต่อมิอะไรผิดพลาดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของวัฒน์หรือความรักของพวกเราสองคน ทุกอย่างพังพินาศลงด้วยมือของสาเอง และที่สามาหาในวันนี้ก็เพื่อจะทำให้ทุกสิ่งกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
สาเป็นหนึ่งในผู้อพยพ ที่นั่นเราสองคนสามารถแก้ไขทุกสิ่งให้ถูกต้องได้ บนโลกใบใหม่ พวกเรามีเวลาเหลือเฟือพอที่จะเริ่มต้นใหม่ ได้อยู่ด้วยกันอย่างวันเก่าก่อน ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขจริง ๆ เสียที”
หลังจากในช่วงเช้าที่วิวัฒน์ใช้พลังสมองและสมาธิทั้งหมดไปกับงานขององค์กรแล้ว เขาเลือกที่จะเติมพลังสำหรับช่วงบ่ายด้วยมื้อเที่ยงง่าย ๆ แบบที่ทำประจำ จากนั้นก็หามุมสงบนั่งนิ่ง ๆ เพียงลำพังพร้อมด้วยกาแฟสักถ้วยในมือ
กลิ่นหอมละมุนและรสขมเข้มเฉพาะตัวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย การได้อยู่กับตัวเองเงียบ ๆ ช่วยทำให้กลับมาเป็นตัวของตัวเองเต็มร้อย ในมุมเล็ก ๆ ส่วนตัวอันแสนสุขสงบสบายใจท่ามกลางความสับสนวุ่นวายรอบด้าน หลายเรื่องราวจากอดีตผุดแทรกไหลย้อนคืนมาให้ได้ระลึกถึงอีกครั้ง
นับจากวันนั้นที่รริสาเล่าทุกอย่างที่เธอรู้ให้เขาฟัง เวลาก็ผ่านพ้นมาเกือบจะครึ่งปีแล้ว เรื่องราวทั้งหมดที่ออกจากปากของอดีตแฟนสาว นอกจากจะน่าตกใจแล้วก็ยังยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ทันทีทันใดในวินาทีที่ได้ฟัง
อันที่จริงเขาคิดว่าตนเองควรจะต้องโมโห น่าจะโกรธเกลียดและเคียดแค้นเธอได้มากกว่านี้ ทว่าน่าแปลกที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด
ตรงกันข้าม...เขากลับนั่งนิ่งฟังคำบอกเล่าเหล่านั้น ด้วยใจที่ค่อย ๆ สงบราบเรียบลงทีละน้อยอย่างประหลาด แปลกเสียจนแม้เขาเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเอง ว่ากำลังคิดหรือรู้สึกแบบใดกันแน่ในทีแรก
แม้เป็นความจริงอันโหดร้าย แต่เขาก็ได้ถูกปลดปล่อยจากกรงขังแห่งอดีตเสียที นี่กระมังที่ทำให้เขาเข้าใจและยอมรับทุกสิ่งได้
อย่างน้อยที่สุด...คำถามที่เคยค้างคาซึ่งทำให้เขาเฝ้าวนเวียน เอาแต่คิดถึงมันมาตลอดก็ได้รับคำตอบ เมฆหมอกหนาทึบซึ่งห่อคลุมปิดกั้นจิตใจ และทำให้รอบกายหม่นมัวคลุมเครืออยู่เสมอ ปลิดปลิวสูญสลายจนทุกอย่างกระจ่างชัดเสียที
“ก่อนที่สาจะออกจากห้องไป เพื่อปล่อยให้วัฒน์ได้ใช้เวลาไตร่ตรองให้รอบคอบและดีที่สุด ศรัทธา...เด็กหนุ่มที่วัฒน์น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างแล้ว เขาฝากสิ่งนี้มาพร้อมกำชับนักหนาว่าต้องมอบให้วัฒน์ให้ได้”
สิ่งนั้นจากศรัทธาที่ได้รับมาจากมือของรริสาคือเครื่องบันทึกเสียง ซึ่งเมื่อลองกดเปิดฟังก็พบว่าเป็นคำพูดของเด็กหนุ่มที่ฝากมาถึงเขา
“ดอกเตอร์วิวัฒน์ครับ ก่อนอื่นเลยผมต้องขออภัยด้วย หากคำพูดของผมจะทำให้คุณไม่พอใจหรือไม่สบายใจ ผมอยากจะถามอะไรสักหน่อยครับ ดอกเตอร์คิดอย่างไรกับชีวิตที่กำลังได้มีโอกาสถือกำเนิดขึ้นมาในอนาคต คุณมองเห็นชีวิตของมนุษย์โคลนเป็นแบบไหน ตีคุณค่า ประเมินราคาของมนุษย์โคลนอย่างไรครับ”
ในทีแรกเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจจะฟังคำฝากจากเด็กหนุ่มเลยสักนิด แต่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่...คำว่ามนุษย์โคลนกลับกระตุ้นอารมณ์เกรี้ยวกราดให้ปะทุ และทำให้ต้องหันเหความสนใจกลับมาในที่สุด
ถ้าข้อเท็จจริงคือ...หากเขาคือมนุษย์โคลนต้นแบบที่ประสบผลสำเร็จ คำตอบนั้นชัดเจนว่าเขาย่อมไม่ใช่คนเพียงคนเดียว ที่ถือกำเนิดขึ้นโดยเทคโนโลยีจากวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน
อย่างไรเสียก็ต้องมีการยืนยันผล องค์กรคงจะทำการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกไม่รู้มากน้อยขนาดไหนเป็นแน่ อาจจะมีคนแบบเขาอยู่อีกห้าถึงสิบคน หรืออย่างน้อยที่สุดก็สองถึงสามคน
แต่มันไม่ใช่ เขาคิดผิดไปถนัดแบบที่ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
“ผู้ที่อยู่ที่นี่หลายสิบหรืออาจจะร้อยคนก็เป็นมนุษย์โคลน และ...ผมเองก็เป็นหนึ่งในหลายสิบหลายร้อยคนนั้น ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเทคโนโลยีเช่นเดียวกันกับคุณครับ”
มีหนึ่งก็ย่อมมีสอง มีสองก็ย่อมมีสาม สี่ ห้า และอื่น ๆ ตามมา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่คิดคำนวณหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ การตัดแต่ง ดัดแปลง ปลูกถ่าย เพื่อพัฒนาคัดสรรสิ่งที่สุดยอดสมบูร์กว่าก็จะเริ่มต้นขึ้น
ตัวอย่างที่ดีจะถูกเก็บไว้เพื่อศึกษาต่อยอดต่อไป ส่วนตัวอย่างที่ไม่ดีก็จะถูกกำจัดทิ้งอย่างไม่ไยดี ด้วยเหตุผลที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง ว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษยธรรม’
เป็นความจริงในแบบของวิทยาศาสตร์ ที่ไม่เคยเปิดโอกาสให้อีกฝั่งฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกใด ๆ เลย และความจริงนั้น หลาย ๆ ครั้งก็โหดร้ายจนเกินกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจหรือทบรับได้ไหว
เสียงของเด็กหนุ่มจากเครื่องบันทึกเสียงบอกเล่าต่อไปว่า จำนวนเตียงจำศีลบนยานโนอาห์ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนพอดีกับผู้ถูกเลือก ซึ่งแน่นอนว่าหากบุคลากรขององค์กรคนใดต้องการเป็นผู้อพยพ ก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์และมีคุณค่าควรแก่การให้ถูกเลือกด้วยเช่นกัน
ฟังเหมือนเป็นกฎกติกาที่ยุติธรรม ทว่าสำหรับมนุษย์โคลนซึ่งคล้ายประชาชนชั้นสองของที่นี่ ก็ยังมีความลำเอียงเหลื่อมล้ำอยู่ดี
มนุษย์โคลนส่วนใหญ่เกิดมาด้วยศักยภาพอันถือเป็นปกติธรรมดา หากเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าผู้มีพรสวรรค์หรือผู้เป็นอัจฉริยะ ดังนั้นพวกเขาจึงมักถูกมอบหมายหน้าที่ที่ไม่ซับซ้อนหรือสำคัญมากนักให้เป็นอันดับแรก
กลุ่มที่ถูกประเมินแล้วว่ามีพัฒนาการที่เร็ว และสามารถขยายขีดความสามารถต่อได้ ก็จะได้รับงานที่สำคัญมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ
ศรัทธาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกประเมินว่าน่าจะพัฒนาต่อได้ เด็กหนุ่มได้รับสิทธิให้เข้าทำการคัดเลือกเพื่อเป็นหนึ่งในผู้อพยพ ด้วยจุดเริ่มต้นที่ห่างไกลกว่าคนอื่นจึงต้องเรียนรู้และทำงานหนักเพื่อชดเชยส่วนนั้น
ทว่าเมื่อถึงเส้นตายซึ่งก็คือวันคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ได้ขึ้นยานโนอาห์ จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ไม่สามารถก้าวข้ามพ้นคำว่าผู้มีความสามารถระดับปกติธรรมดาไปได้ สุดท้ายแล้วชื่อของศรัทธาจึงถูกคัดทิ้งไป
“ชีวิตที่เกิดมาทุกชีวิตล้วนแล้วแต่ต้องการจะอยู่รอด ซึ่งผมรวมถึงพวกเรามนุษย์โคลนคนอื่นก็ไม่ต่างกันครับ แต่ดอกเตอร์...คุณเองที่ได้รับโอกาสนั้นมาแล้ว แต่คุณกลับคิดจะทิ้งมันไปเสียเฉย ๆ
คุณรู้ตัวหรือเปล่าครับว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และอะไรก็ตามที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ นอกจากจะเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเองแล้ว นั่นยังเป็นการด้อยค่า ลดศักดิ์ศรี และดูหมิ่นความพยายามในการมีชีวิตอยู่ของพวกเราด้วยครับ”
คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกจะเป็นได้ ไม่ว่าจะเกิดมาจากอะไรด้วยวิธีใดก็ตาม เขาคนนั้นก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีศักดิ์และสิทธิ์ที่เท่าเทียมกับคนอื่น
มนุษย์โคลนก็เช่นกันที่แม้จะถือกำเนิดจากเซลล์ต้นแบบของใครก็ตาม พวกเขาก็หาใช่คนเดียวกัน หากแต่ต่างคนย่อมมีความเป็นปัจเจก มีสิทธิ์ในชีวิตของตนเอง มีความเป็นมนุษย์ในแบบที่อยากเป็นเหมือน ๆ กัน
“ดอกเตอร์ครับ คุณไม่ใช่เขา คุณก็คือคุณ ที่ผ่านมาคุณก็ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาด้วยตัวเองไม่ใช่หรือครับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จะมามัวโทษโชคชะตา แล้วปล่อยให้เรื่องที่ควบคุมไม่ได้เหล่านั้นกลืนกินตัวคุณเองไปทำไมล่ะครับ
อดีตไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการยอมรับและก้าวต่อไป อนาคตอยากให้เป็นแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ต้องลงมือทำมันด้วยตัวเอง ต้องเปลี่ยนแปลงและพิสูจน์ตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งครับ”