สวัสดีครับ ผมเป็นพนักงานเอกชนและก็ทำค้าขายตั้งแต่ช่วงปี 2560 เพื่อปากเพื่อท้องเหนื่อยหน่อยก็ต้องทน ลงทุนค้าขายให้แฟนช่วยดูแลและตัวผมก็ทำงานบริษัทเอกชนไปด้วย ก่อหนี้ก้อนแรกมาเพื่อลงทุนโดยเอาบ้านเข้าธนาคาร ช่วงแรกค้าขายเป็นไปด้วยดีงานประจำรายได้สม่ำเสมอมีความสุขกับการใช้ชีวิตมาก แต่ผ่านไปหลายปีค้าขายก็เริ่มแย่ยิ่งโควิดเข้ามาซ้ำยิ่งทรุด งานประจำยังพอทรงตัวประทังชีวิตไปได้ แต่เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง สุดท้ายตัดสินใจหยุดค้าขายและเลิกกับแฟน แบกรับภาระหนี้สินประมาณ 1.4 ล้านบาทมาคนเดียวไม่อยากให้เขารับปัญหามาด้วย ตั้งใจทำงานจ่ายหนี้ประทังชีวิตไปแบบไม่มีทิศทางไม่มีเป้าหมาย ส่วนเรื่องหนี้สินติดตัวไม่เคยเล่าให้พ่อแม่คนในครอบครัวฟัง ทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ปรึกษาใครเลย จนจวนตัวช่วงปี 2564 สุดท้ายก็ต้องเล่าปัญหาให้พ่อแม่รับรู้ ท่านก็ช่วยอะไรได้ไม่มากแน่นอนโดนด่าว่าทำอะไรไม่ปรึกษาและก็ต้องค่อยๆแก้ปัญหาต่อไป
ผ่านไปเกือบสองปี แต่งงานใหม่ ระหว่างนี้ก็ยังมีกิจการเล็กๆค้าขายและทำงานประจำไปด้วยรายได้พอหมุนจ่ายหนี้ใช้จ่ายประจำวันและพอได้เก็บออม แต่กระนั้นก็ไม่เคยที่จะเล่าปัญหาหนี้สินให้แฟนได้รับรู้ นิสัยชอบเก็บปัญหาไว้คนเดียวก็ไม่รู้ไปเอามาจากไหน จนช่วงกลางปี 2567 ค้าขายก็เริ่มแย่ งานประจำรายได้ก็ลดลง (คอมมิชชั่นน้อยลง) ประคับประคองกิจการไม่ให้มันเจ๊งไปกู้อะไรได้ก็กู้มาเสริม (4 สถาบันการเงิน/บัตรเครดิตร่วม 3 แสนบาท) ให้ยังพอค้าขายไปได้ แต่สวรรค์ก็ไม่เป็นใจยิ่งทำยิ่งแย่ภาระหนี้สินเพิ่มมาอีกเกือบ 3 แสนบาท ตัดสินใจเล่าปัญหาให้พ่อแม่ฟัง และก็ตามเคยโดนด่า ทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์อีกกับความผิดซ้ำๆเดิมๆ เรื่องรู้ถึงน้องสาวที่อยู่ต่างประเทศรับรู้ด้วยจนถึงจะตัดพี่ตัดน้อง เพราะพี่ชายสร้างปัญหาให้พ่อแม่อยู่ตลอด
ตอนนี้ก็อยู่ในภาวะคิดอะไรไม่ออกทั้งกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งผิดหวังในชีวิตของตัวเอง เคยคิดอยากจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่คงยิ่งทำให้ทั้งพ่อ แม่ และแฟน คนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังต้องเป็นทุกข์และอับอายไปมากกว่ากว่านี้ พยายามทำให้ดีที่สุดจ่ายหนี้สินให้ได้ หนี้บัตรเครดิตปล่อยไม่ได้จ่ายมาจะเข้าเดือนที่ 2 ต้องคอยรับโทรศัพท์ทุกวัน ตอนนี้คิดได้อย่างเดียวแค่ว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พยายามแก้ไขปัญหาไปทีละเรื่อง จะพยายามปิดหนี้ไปทีละส่วนให้ครบ อันไหนไม่ทันก็คงต้องปล่อยให้ฟ้อง หรือไกล่เกลี่ย และถ้าสุดท้ายไม่ไหวจริงๆก็คงต้องบอกแฟนขอหย่าเพื่อไม่ให้แฟนต้องมารับภาระด้วยอีก ผมคิดแบบนี้เห็นแก่ตัวไหมครับ ผมไปถูกทางไหมครับ ยังดีที่ยังกินอิ่มนอนหลับ แต่ความเครียดความทุกข์เกาะติดไปด้วยทุกที่ก็ทำให้พลังชีวิตมันลดลงไปไม่รู้จะแบกรับไหวไปได้อีกนานเท่าไหร่ครับ
ความทุกข์-ความเครียดหนี้สินล้นพ้นตัว
ผ่านไปเกือบสองปี แต่งงานใหม่ ระหว่างนี้ก็ยังมีกิจการเล็กๆค้าขายและทำงานประจำไปด้วยรายได้พอหมุนจ่ายหนี้ใช้จ่ายประจำวันและพอได้เก็บออม แต่กระนั้นก็ไม่เคยที่จะเล่าปัญหาหนี้สินให้แฟนได้รับรู้ นิสัยชอบเก็บปัญหาไว้คนเดียวก็ไม่รู้ไปเอามาจากไหน จนช่วงกลางปี 2567 ค้าขายก็เริ่มแย่ งานประจำรายได้ก็ลดลง (คอมมิชชั่นน้อยลง) ประคับประคองกิจการไม่ให้มันเจ๊งไปกู้อะไรได้ก็กู้มาเสริม (4 สถาบันการเงิน/บัตรเครดิตร่วม 3 แสนบาท) ให้ยังพอค้าขายไปได้ แต่สวรรค์ก็ไม่เป็นใจยิ่งทำยิ่งแย่ภาระหนี้สินเพิ่มมาอีกเกือบ 3 แสนบาท ตัดสินใจเล่าปัญหาให้พ่อแม่ฟัง และก็ตามเคยโดนด่า ทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์อีกกับความผิดซ้ำๆเดิมๆ เรื่องรู้ถึงน้องสาวที่อยู่ต่างประเทศรับรู้ด้วยจนถึงจะตัดพี่ตัดน้อง เพราะพี่ชายสร้างปัญหาให้พ่อแม่อยู่ตลอด
ตอนนี้ก็อยู่ในภาวะคิดอะไรไม่ออกทั้งกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งผิดหวังในชีวิตของตัวเอง เคยคิดอยากจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่คงยิ่งทำให้ทั้งพ่อ แม่ และแฟน คนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังต้องเป็นทุกข์และอับอายไปมากกว่ากว่านี้ พยายามทำให้ดีที่สุดจ่ายหนี้สินให้ได้ หนี้บัตรเครดิตปล่อยไม่ได้จ่ายมาจะเข้าเดือนที่ 2 ต้องคอยรับโทรศัพท์ทุกวัน ตอนนี้คิดได้อย่างเดียวแค่ว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พยายามแก้ไขปัญหาไปทีละเรื่อง จะพยายามปิดหนี้ไปทีละส่วนให้ครบ อันไหนไม่ทันก็คงต้องปล่อยให้ฟ้อง หรือไกล่เกลี่ย และถ้าสุดท้ายไม่ไหวจริงๆก็คงต้องบอกแฟนขอหย่าเพื่อไม่ให้แฟนต้องมารับภาระด้วยอีก ผมคิดแบบนี้เห็นแก่ตัวไหมครับ ผมไปถูกทางไหมครับ ยังดีที่ยังกินอิ่มนอนหลับ แต่ความเครียดความทุกข์เกาะติดไปด้วยทุกที่ก็ทำให้พลังชีวิตมันลดลงไปไม่รู้จะแบกรับไหวไปได้อีกนานเท่าไหร่ครับ