และแล้วก็มาถึงคิวของซีรีส์วายระดับปรากฏการ ที่เรียกว่าเป็น พงศาวดารของสยามยุคนี้ได้อย่างเต็มปาก มาย้อนดูซีรีส์ไทยในช่วง 10 กว่าปีมานี้(เท่าที่ผมเคยดู) ไม่ได้มีเรื่องไหนที่บอกเล่าพฤติกรรมของวัยรุ่นได้ละเอียดและตรงขนาดนี้ ครั้งนึงเราเคยมีรักแห่งสยาม หนังรักที่พาเราไปเห็นบรรยากาศสยามในยุค2000 ถัดมาน่าจะเป็น hormones ที่มาในรูปแบบของซีรีส์ก็จะเล่าชีวิต ปัญหาใน/นอกรั้วโรงเรียนได้อย่างครบครัน แต่จะเป็นในเชิงเสียดสีสังคมมากกว่า ไม่ได้ลงลึกกับไลฟ์สไตล์ขนาดนั้น แต่ gelboys จะพาเราเข้าไปใกล้กว่านั้น ประนึงว่า 24 ชั่วโมงของวัยรุ่น gen Z หลังเลิกเรียนเขาทำอะไรกัน ใช้คำศัพฑ์แบบไหนกัน เพลงที่ฮิตในวัยนั้น ซึ่งจะมีความ relate ได้มากกว่า (ยกเว้นเรื่องเล็บเจล ที่น่าจะใส่มาเพื่อเป็น gimmic ดูยังเฉพาะกลุ่มอยู่)
เปรียบเทียบตอนดูฮอโมนส์ เราจะรู้สึก relate ในระดับภาพใหญ่ เช่น "ในโรงเรียนหรือในครอบครัว ก็เคยมีปัญหาแบบนี้นะ" แต่ในเจลบอยเราจะรู้สึก relate กับทุกการกระทำของตัวละครทุกๆตัว คนละนิดละหน่อย ทั้งวิธีการคิด การโต้ตอบกับสถานการณ์ต่างๆนี้มันตรูชัดๆ แถมตัวละครดูมีความเป็นคนสูงมากๆ อาจจะเกี่ยวกับ acting ที่เน้นความเป็นธรรมชาติสูงๆด้วย
ในด้านของงานภาพ เป็นสิ่งที่โดดเด่นมากอย่างนึงในเรื่อง มีกลิ่นความเป็นกามิ, Harajuku style สุดๆ ทั้งโทนและการตัดต่อ เอาเป็นว่าชอบในส่วนของความครีเอทีพมากๆ รวมถึงการเอาเรื่องเล็บเจลเข้ามาในเรื่อง ที่ไม่ใช่แค่งานอดิเรกของตัวละครหลัก แต่หลายๆครั้งถูกใช้เป็นตัวกลางที่บอกเล่าความรู้สึกตัวละครผ่านสีลวดลายบนเล็บเจล ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง การทำเล็บเจลมันโดดเด่นจนถ้าพูดชื่อซีรีส์ สิ่งที่จะเด้งมาในหัวคือเล็บเจล(ก็แหงหละ ฮา) หน้าโฟร์มด สยาม หนังดีๆ ซีรีส์สนุกที่ให้เราได้เห็นหลากหลายมิติก็ว่าหายากแล้ว แต่การที่จะมีสักเรื่องที่พูดชื่อปุ๊ป นึกถึงสิ่งต่างๆในเรื่องได้ทันที ยิ่งยากกว่า ซีรีส์รู้ว่าจะขายคนกลุ่มไหนบ้าง ถึงเรื่องจะเล่าธีมวัยรุ่นยุค2022-2024 แต่องค์ประกอปจะมีกลิ่นความ2000 กามิกาเซ่ ที่ทำให้คนในช่วงอายุ 20-35 สามารถ relate และอินกับซีรีส์มากขึ้น
เรื่องความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่ใช่แค่ชายรักชาย แต่เป็นความลื่นไหลทางเพศไม่ได้เอาเรื่องเพศมาเป็นตัวปิดกั้น ชอบก็คือชอบ อย่างที่ตัวละครโฟร์มดเป็น หรือจะเป็นสาวทรานส์ที่อยู่ในแก๊ง ซึ่งทุกคนในเรื่องมองเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีจุดที่ตัวละครต้องทำใจยอมรับเพศตัวเอง ตรูชอบผู้ชายจริงๆหรอ หรือฉากเพื่อนตกใจ ผมดีใจที่ซีรีส์ก้าวผ่านตรงนั้นมาได้(ไม่ได้อะไรนะ แค่ซีรีส์วายเล่นบ่อยจนเบื่อ ข้ามไปแล้วไปเล่าให้เรื่องมันเดินน่าจะดีกว่า) เรื่องคาแรคเตอร์ตัวละครก็ทำได้ค่อนข้างลงตัว หนังค่ายในเครือนาดาว ส่วนใหญ่จะใส่ความเป็นมนุษย์ค่อนข้างสูง รัก โลภ โกรธ หลง มันเลยทำให้เรารักและเอาใจช่วยตัวละคร แม้ว่าตัวละครจะทำอะไรแย่ๆไปบ้าง
ทั้ง 4 ตัวละครหลัก ในตอนต้นเรื่องเราอาจจะมองในแบบที่ซีรีส์อยากให้เราเห็น โฟร์มด-ร่าเริง, บ้าบิ่น-ตามใจเพื่อน, บัว-เฟียส, เชียร-เจ้าชู้ แต่พอเราดูไปเรื่อยๆค่อยๆปลอกเปลือก จนเห็นแก่นของแต่ละตัว จะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่เห็นภายนอก ทุกคนมีแบ็คกราว มีเหตุผในการกระทำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เชียร-มด ที่แรกๆมองว่าเชียรมาเก็บแต้มรึปล่าว ฉากกินข้าวกัน 3 คน ก็เข้าใจมากๆในมุมเชียรคือทำตัวไม่ถูก และแน่นอนว่าเชียรควรจะแคร์โฟมดมากกว่าบัว เพราะเริ่มจะจริงจังกันแล้ว แต่อย่างน้อยเชียรมันก็พยายามของมันแล้วนะ สุดท้ายกลับตัวแต่ก็ไม่ทัน ตอนนั้นอินและสงสารวิเชียรมาก(แต่ก็ทำตัวเอง)
บ้าบิ่น เป็นตัวละครที่ดูแล้วหงุดหงิด เพราะในโลกความเป็นจริงเราไม่สามารถใช้ความดีแลกความรักได้ เราไม่ได้ชอบคนที่ทำดีกับเรามากที่สุด แต่ชอบคนที่เข้ากับเรามากที่สุด ไม่รักตัวเองเลย แต่ก็มีคนแบบนี้จริงๆนั้นแหละ ประเด็นที่เซอร์ไพรซ์(ในด้านดี) คือตอนสับสนว่าชอบบัว สรุปคือกลัวเสียเพื่อน ถ้าตัวเองไปเป็นแฟนกับคนที่เพื่อนไม่ชอบ (เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นจริงในวัยเรียน แต่ไม่คิดว่าจะมีคนมาใส่ในซีรีส์) แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เข้าใจได้ ทั้ง 4 ตัวละครยังเป็นวัยรุ่น การรับมือกับปัญหาเลยยังแปลกๆงงๆไปบ้าง
เรื่องการดำเนินเรื่อง ส่วนตัวเฉยๆ จังหวะไม่ได้หวือหวามาก แต่ระหว่างทางจะมีใส่สติ้กเกอร์ หรือ animation นู้นนั้นนี้เรื่อยๆ เลยทำให้ดูต่อจนจบ บวกกับการจัดวางจุดพีคในแต่ละตอนก็ทำได้ดี ไม่มีตอนไหนที่รู้สึกแห้งๆไม่มีจุดพีค และที่สำคัญไม่มีแผ่วปลาย ยิ่งใกล้จบก็ยิ่งอัดปม บิ้วได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ชมขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าหนังจะมีแต่ข้อดี แน่นอนว่าพอซีรีส์รู้ว่าจะขายใคร ก็ไปจนสุดทาง จนคนที่ไม่ได้อยู่ใน target ของซีรีส์อาจจะดูยากไปเลย ด้วยสีสันที่สดใส มุมกล้อง culture บางอย่าง เลยทำให้เรื่องนี้ค่อนข้างเฉพาะมากๆ (จะว่าข้อเสียก็ไม่เชิง) บางช่วงก็มีความเนือย เน้นแช่กล้องนานๆ ประเด็นต่อมาคือเรื่อง time skip ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องใช้เวลาเดินเรื่อง2ปี แต่แทบไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเวลาผ่านมา2ปีแล้ว ถ้าไม่ได้คำบอกเล่าของโฟมดตอนท้ายเรื่อง "นี้เราเป็นแบบนี้กันมาสองปีแล้วนะเว้ย" ผมจะไม่รู้เลย ถามว่ามันสำคัญยังไง?? สำหรับผมการที่เรารู้ว่าโฟมดอยู่ในความสัมพันธ์นี้มา2ปี กับไม่กี่เดือน มันให้ความรู้สึกต่างกันมากนะ
ปล. ที่เปรียบเทียบทั้ง 3 เรื่อง เพราะมองว่ามันเป็น checkpoint ใหญ่ๆถ้าคนจะนึกถึงสื่อหนัง/ซีรีย์ ที่ดูแล้วเราเห็นชีวิตของวัยรุ่นในยุคนั้นๆ และผมก็เป็นแฟนคลับของทั้ง3 เรื่อง แค่นำมาแยกย่อยให้ฟังว่า ถึงจะเป็นสื่อวัยรุ่นเหมือนกันแต่สารที่จะเล่ามันต่างกัน เลยให้อารมณ์ร่วมที่ต่างกันไปด้วย รักแห่งสยาม-การยอมรับตัวเองและค้นหาตัวเอง, ฮอโมนส์-เสียดสีสังคม, เจลบอย-ไลฟ์สไตล์วัยรุ่นเจนซี-ความสัมพันธ์แบบเสาไฟฟ้า
ปล.2 น่าท้ายทายว่าในซีซั่น2 หนังจะเล่นประเด็นไหน และจะยังใช่ธีมเดิมอยู่ไหม ถ้าใช่และจะทำยังไงให้ไม่น่าเบื่อ และให้หลุดกรอบจากซีรีย์วายมหาลัยที่ผ่านๆมา
รีวิว Gel boys (2025) พงศาวดารสยามของวัยรุ่นเจนZ
เปรียบเทียบตอนดูฮอโมนส์ เราจะรู้สึก relate ในระดับภาพใหญ่ เช่น "ในโรงเรียนหรือในครอบครัว ก็เคยมีปัญหาแบบนี้นะ" แต่ในเจลบอยเราจะรู้สึก relate กับทุกการกระทำของตัวละครทุกๆตัว คนละนิดละหน่อย ทั้งวิธีการคิด การโต้ตอบกับสถานการณ์ต่างๆนี้มันตรูชัดๆ แถมตัวละครดูมีความเป็นคนสูงมากๆ อาจจะเกี่ยวกับ acting ที่เน้นความเป็นธรรมชาติสูงๆด้วย
ในด้านของงานภาพ เป็นสิ่งที่โดดเด่นมากอย่างนึงในเรื่อง มีกลิ่นความเป็นกามิ, Harajuku style สุดๆ ทั้งโทนและการตัดต่อ เอาเป็นว่าชอบในส่วนของความครีเอทีพมากๆ รวมถึงการเอาเรื่องเล็บเจลเข้ามาในเรื่อง ที่ไม่ใช่แค่งานอดิเรกของตัวละครหลัก แต่หลายๆครั้งถูกใช้เป็นตัวกลางที่บอกเล่าความรู้สึกตัวละครผ่านสีลวดลายบนเล็บเจล ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง การทำเล็บเจลมันโดดเด่นจนถ้าพูดชื่อซีรีส์ สิ่งที่จะเด้งมาในหัวคือเล็บเจล(ก็แหงหละ ฮา) หน้าโฟร์มด สยาม หนังดีๆ ซีรีส์สนุกที่ให้เราได้เห็นหลากหลายมิติก็ว่าหายากแล้ว แต่การที่จะมีสักเรื่องที่พูดชื่อปุ๊ป นึกถึงสิ่งต่างๆในเรื่องได้ทันที ยิ่งยากกว่า ซีรีส์รู้ว่าจะขายคนกลุ่มไหนบ้าง ถึงเรื่องจะเล่าธีมวัยรุ่นยุค2022-2024 แต่องค์ประกอปจะมีกลิ่นความ2000 กามิกาเซ่ ที่ทำให้คนในช่วงอายุ 20-35 สามารถ relate และอินกับซีรีส์มากขึ้น
เรื่องความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่ใช่แค่ชายรักชาย แต่เป็นความลื่นไหลทางเพศไม่ได้เอาเรื่องเพศมาเป็นตัวปิดกั้น ชอบก็คือชอบ อย่างที่ตัวละครโฟร์มดเป็น หรือจะเป็นสาวทรานส์ที่อยู่ในแก๊ง ซึ่งทุกคนในเรื่องมองเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีจุดที่ตัวละครต้องทำใจยอมรับเพศตัวเอง ตรูชอบผู้ชายจริงๆหรอ หรือฉากเพื่อนตกใจ ผมดีใจที่ซีรีส์ก้าวผ่านตรงนั้นมาได้(ไม่ได้อะไรนะ แค่ซีรีส์วายเล่นบ่อยจนเบื่อ ข้ามไปแล้วไปเล่าให้เรื่องมันเดินน่าจะดีกว่า) เรื่องคาแรคเตอร์ตัวละครก็ทำได้ค่อนข้างลงตัว หนังค่ายในเครือนาดาว ส่วนใหญ่จะใส่ความเป็นมนุษย์ค่อนข้างสูง รัก โลภ โกรธ หลง มันเลยทำให้เรารักและเอาใจช่วยตัวละคร แม้ว่าตัวละครจะทำอะไรแย่ๆไปบ้าง
ทั้ง 4 ตัวละครหลัก ในตอนต้นเรื่องเราอาจจะมองในแบบที่ซีรีส์อยากให้เราเห็น โฟร์มด-ร่าเริง, บ้าบิ่น-ตามใจเพื่อน, บัว-เฟียส, เชียร-เจ้าชู้ แต่พอเราดูไปเรื่อยๆค่อยๆปลอกเปลือก จนเห็นแก่นของแต่ละตัว จะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่เห็นภายนอก ทุกคนมีแบ็คกราว มีเหตุผในการกระทำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรื่องการดำเนินเรื่อง ส่วนตัวเฉยๆ จังหวะไม่ได้หวือหวามาก แต่ระหว่างทางจะมีใส่สติ้กเกอร์ หรือ animation นู้นนั้นนี้เรื่อยๆ เลยทำให้ดูต่อจนจบ บวกกับการจัดวางจุดพีคในแต่ละตอนก็ทำได้ดี ไม่มีตอนไหนที่รู้สึกแห้งๆไม่มีจุดพีค และที่สำคัญไม่มีแผ่วปลาย ยิ่งใกล้จบก็ยิ่งอัดปม บิ้วได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ชมขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าหนังจะมีแต่ข้อดี แน่นอนว่าพอซีรีส์รู้ว่าจะขายใคร ก็ไปจนสุดทาง จนคนที่ไม่ได้อยู่ใน target ของซีรีส์อาจจะดูยากไปเลย ด้วยสีสันที่สดใส มุมกล้อง culture บางอย่าง เลยทำให้เรื่องนี้ค่อนข้างเฉพาะมากๆ (จะว่าข้อเสียก็ไม่เชิง) บางช่วงก็มีความเนือย เน้นแช่กล้องนานๆ ประเด็นต่อมาคือเรื่อง time skip ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องใช้เวลาเดินเรื่อง2ปี แต่แทบไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเวลาผ่านมา2ปีแล้ว ถ้าไม่ได้คำบอกเล่าของโฟมดตอนท้ายเรื่อง "นี้เราเป็นแบบนี้กันมาสองปีแล้วนะเว้ย" ผมจะไม่รู้เลย ถามว่ามันสำคัญยังไง?? สำหรับผมการที่เรารู้ว่าโฟมดอยู่ในความสัมพันธ์นี้มา2ปี กับไม่กี่เดือน มันให้ความรู้สึกต่างกันมากนะ
ปล. ที่เปรียบเทียบทั้ง 3 เรื่อง เพราะมองว่ามันเป็น checkpoint ใหญ่ๆถ้าคนจะนึกถึงสื่อหนัง/ซีรีย์ ที่ดูแล้วเราเห็นชีวิตของวัยรุ่นในยุคนั้นๆ และผมก็เป็นแฟนคลับของทั้ง3 เรื่อง แค่นำมาแยกย่อยให้ฟังว่า ถึงจะเป็นสื่อวัยรุ่นเหมือนกันแต่สารที่จะเล่ามันต่างกัน เลยให้อารมณ์ร่วมที่ต่างกันไปด้วย รักแห่งสยาม-การยอมรับตัวเองและค้นหาตัวเอง, ฮอโมนส์-เสียดสีสังคม, เจลบอย-ไลฟ์สไตล์วัยรุ่นเจนซี-ความสัมพันธ์แบบเสาไฟฟ้า
ปล.2 น่าท้ายทายว่าในซีซั่น2 หนังจะเล่นประเด็นไหน และจะยังใช่ธีมเดิมอยู่ไหม ถ้าใช่และจะทำยังไงให้ไม่น่าเบื่อ และให้หลุดกรอบจากซีรีย์วายมหาลัยที่ผ่านๆมา