
1. Memoria (2016) Director By Kamila Andini
- ถึงระหว่างดูจะสังเกตุกับตัวเองได้อย่างเห็นชัดว่าทำไมรู้สึกอาการมึนงงตลอดทางตั้งแต่เพิ่งออกสตาร์ทด้วยเพราะไม่ได้ทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามันพูดถึงอะไร ? รู้เพียงว่ามันมีสิ่งที่สะดุดตาขึ้นมาตอนที่หญิงสาวคนหนึ่งยืนหันหลังเข้ากับกำแพงแล้วบรรจงจูบจนเป็นรอยลิปสติกเต็มไปหมด แล้วที่สำคัญคือไม่ได้มาแค่ฉากเดียวนี่สิที่ทำให้เราเอ๊ะด้วยความสงสัย พอหลังจากดูจบมีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมถึงบางอ้อเลยว่าตัวหนังจะเล่าถึงชีวิตของ มาเรีย สาวผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศในช่วงระหว่างการยึดครองติมอร์ตะวันออกของประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 – 1999 ที่อยู่ในบ้านมากกว่าจะพุ่งเป้าไปทางประวัติศาสตร์ที่สามารถมองเห็นในบริบทเชิงระบบโครงสร้างที่ลึกกว่านั้นได้เห็นภาพทั่วถึงกกว่าว่าสภาพขณะนั้นเป็นอย่างไร ? พอมาเล่าใน way นี้ก็สามารถสำรวจเรื่องที่ใกล้ตัวกว่าอย่างสภาวะความบอบช้ำทางจิตใจของตัวมาเรียที่ถูกสามีกระทำย่ำยี่หรือการเปลี่ยนมาเล่าในมุมมองของหญิงสาวอีกคนที่อยู่ร่วมชายบ้านเดียวกับมาเรียเป็นครั้งคราวที่สัมผัสกับนัยยะที่ไหลมาด้วยได้ง่ายมือกว่าก็ทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวละครในสังคมชายเป็นใหญ่จนเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจทุกทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง อ๊อก ๆ อ๊า ๆ ดังลอดจากผ่านผนังอีกฝั่งจนสังเกตุได้ถึงแรงสะเทือน แม้ไม่แสดงภาพเหล่านี้ให้เห็นก็ตาม

2. The Visible (2019) Director By Atikah Zainidi
- เป็น 3 นาที่ที่ผ่านไปด้วยความไวสูงอย่างกับเดินผ่านไปเห็นโฆษณาเสื้อผ้าตามห้างสรรพสินค้าที่มีตัวละคร 3 คนมานำเสนอสินค้าในรูปแบบกวีตามอิริยาบถของแต่ละคนให้ทราบผ่านเสียงบรรยายโดยเฉพาะประเด็นเรื่องของเพศสภาพ หรือ เพศที่ 3 อย่าง LGBTQ ที่ดูขัดหลักจารีตของประเทศที่ปกครองระบอบอำนาจรวมศูนย์อย่างบรูไนถึงขั้นเป็นความผิดทางอาญาเมื่อสิ่งที่ต่างคือการพยายามต่อต้านความเชื่อที่นับถือและส่งต่อสู่รุ่นมาช้านานแถมฝังรากเกินยากที่จะรื้อถอนกระทั่งการตั้งคำถามเพื่อเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แม้บทสรุปจะไม่ตัดสินอย่างชัดเจนแต่อย่างน้อยทำให้เราเกิดคำถามขึ้นมาในหัวหลังดูว่า การที่เราจะขอกำหนดชีวิตขอเลือกเพศตามความประสงค์ของตัวเองมันผิดต่อส่วนรวมด้วยหรือ ?

3. Diwata : Performing Ecotransfeminism (2024) Director By Ram Botero & Guilia Casalini
- และเช่นกันที่ระหว่างดูไม่ได้รู้เรื่องราวเลยว่าเป็นเนื้อความพูดถึงอะไร ? นอกจากในหัวคิดถึงแต่ภาพโฆษณาสุราที่ฉายใน TVตอนดึกทันทีที่เห็นนักแสดงสาวกำลังประกอบ Activity ด้วยท่วงท่าสวยงามและอ่อนช้อยอย่างละมุนโดยไม่มีเสียงพูดและคำบรรยายตั้งแต่ก้าวขาย่ำบนดินยันว่ายน้ำลงในลำธารใสสะอาดท่ามกลางหุบป่าลำเนาไพรให้เราทราบเลยสักแอะ แต่ชื่นชมเรื่องมุมกล้องกัว่าสามารถจัดวางเฟรมแต่ละจุดออกมาได้ละมุนและสวยงามเหมือนวิ่งอยู่ในวรรณคดี ถึงจะตื่นตาไปกับความสุนทรีย์ตลอดระยะเวลา 15 นาทีพร้อมกับเกาหัวไปด้วยความงงใจ ถ้าไม่ได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มหลังดูจบด้วยความสงสัยจนเผลอตกใจในใจว่าใจความที่ไหลมาผ่านการเล่นเอง กำกับเอง ทุกอย่างจบโดยคุณ Ram Botero กับ คุณ Guilia casalini เหมือนอ่านนวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ที่แทรกเรื่องเล่าความเชื่อปรัมปราไปทางลึกลับแฟนตาซียังไงยังงั้น

4. The Purple Kingdom (2559) กำกับโดย พิมพกา โตวีระ
- ตัวหนังจะเล่าสลับไปมา 2 Parts ระหว่างมุมของคุณ มึนอ ภรรยาของคุณบิลลี่ พอละจี ผู้หายสาปสูญ กับ เรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ออกเดินทางตามหาคนรักที่หายตัวไปในป่าตลอดเวลาเพียงแค่ 21 นาทีที่พอเรียบเรียงได้อยู่ว่าจะเดินไปทางไหน ? ด้วยความที่ดูก่อนพอทราบข่าวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2557 หรือ 11 ปีที่แล้วโดยสังเขปและแน่นอนว่าเวลาเพียงเท่านี้คงไม่สามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้เราย้อนไล่เรียงตาม Timeline ได้ทั้งหมด แต่เปิดเรื่องมาถึงกับตกใจในเพลงประกอบจนมึนกับตัวเองนิด ๆ ว่านี่กูดูหนังไทยหรือหนังประเทศเพื่อนบ้านอยู่วะ ? จนพอเพลงจบและเห็นตัวอักษรบนเสาที่หญิงสาวคร่ำครวญก่อนออกเดินทางก็เลยรู้แจ้งเลยทันที ระหว่างทางมีเผลอวูบ ๆ กับความเนิบของวิธีการเล่าที่เราทราบโดยแก่ใจจนเกือบหลุดข้างทางแต่ดีที่มีเพลงประกอบที่เปิดตอนต้นช่วยดึงสติกลับมาให้เราจูนต่อกับการตามหาคนรักของทั้ง 2 ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการเข้ามาของคณะคนดีย์ ที่นอกจากส่งผลกระทบทุกอณูจนต้องเอาตรีนก่ายหน้าผากแล้วยังทำให้บทสรุปในช่วงท้ายที่อ้อยอิ่งมาแต่ต้นยิ่งตอกย้ำถึงความคลุมเครือด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบจากปากหรือแสดงความรับรับผิดชอบใด ๆ จากบรรดาผู้กระทำหรือผู้เกี่ยวข้อง นอกจากบาดแผลที่ทิ้งไว้เป็นมรดกทางหน้าประวัติศาสตร์ให้คนที่มีชีวิตรู้สึกเจ็บปวดและเคียดแค้นต่อระบบความอยุติธรรมจนถึงทุกวันนี้

5. Melagu (2562) กำกับโดย Nurdeen Kasor
- การที่หนังเลือกเล่าผ่าน 3 มุมมองของคนที่ประกอบอาชีพนักดนตรีตลอดระยะเวลา 20 นาที นอกจากทำให้เราประติดประต่อในสิ่งที่ผู้กำกับกำลังจะสื่อผ่านประสบการณ์ของแต่ละคนที่มีทัศนคติตาม Gens ได้สะดวกอยู่ว่ามีมุมมองเป็นอย่างไร ? ถึงไม่เข้าใจในเรื่องดนตรีนอกจากฟังเพื่อความสุนทรีย์แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นแง่มุมที่ซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตที่เรียบง่ายจนสัมผัสถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นในทางด้านภาษา , วัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์เดิมกระทั่งสิ่งที่ไม่อยากยกย่องในแง่ของภาพจำที่มันส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของตัวจังหวัดรวมถึงทุกสิ่งอย่างเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ทราบข่าวมาตั้งแต่เรียนอยู่จนบางคนแต่งงานมีลูก 3 แล้วว่าจังหวัดปัตตานีเองก็มีความหลากหลายในแง่มุมอื่นที่น่าสนใจซ่อนอยู่เพื่อรอการค้นหาจากผู้มาเยือนต่างถิ่นได้ศึกษา สัมผัสจนต้องชักมือถือถ่ายรูปเก็บภาพลง Social เอาไปอวดไปโม้กับเพื่อนได้กด Like และ Comment กัน 3 วัน 7 คืนก็ไม่จบ

6. Further and Further Away (2022) Director By Polen Ly
- แทนที่จะดีใจว่าจะได้ออกจากที่เดิม ๆ ไปอยู่ที่แห่งใหม่ที่ดีกว่าก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากตามใจนึกนัก ในเมื่อความรู้สึกที่ตัว 2 พี่น้องกำลังประสบไม่ได้สวนทางกันอยู่นี่สิ ถึงว่าทำไมระหว่างดูถึงสัมผัสกลิ่นอายความถวิลอาลัยผ่านตัวน้องสาวลอยโชยมาตามลมกว่าพี่ชายผู้เต็มเปี่ยมด้วยความหวังในหนทางข้างหน้า ซึ่งตลอดเวลา 24 นาทีตัวหนังจะพาเรานับถอยหลังไปกับตัวของ 2 พี่น้องบ้านนาที่กำลังอำลาจากบ้านเกิดไปสู่เมืองหลวงในประเทศกัมพูชาเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีสิ่งอำนวยทันสมัยเพรียบพร้อมพอที่จะสามารถยกระดับชีวิตของพวกเขาให้ดีกว่าการอยู่ที่เดิมที่มีแต่ความลำบากยากแค้นจากความเหลื่อมล้ำของระบบในบรรยากาศที่เรียบง่ายผ่านทุ่งนาและป่าชายเลนแต่หลากหลายทางความรู้สึกจนแลเห็นถึงความหวังและความไม่มั่นใจต่อการตัดสินใจ คือดูแรก ๆ ยังจับความไม่ถูกว่า 2 คนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไร ? เพราะมีตัวละครอีกคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนของพี่ชายเข้ามา Joint ขัดเรือหางยาวที่กินเวลาไปหลายนาทีจนตัวเพื่อนออกจากเฟรมไปและได้มีเวลาประกอบกิจวัตรร่วมกับอีกคนซึ่งตรัสรู้แล้วว่าเป็นน้องสาว จึงค่อย ๆ เข้าใจในสิ่งที่สงสัยไปตอนต้นเวลาต่อมาทั้งที่ทั้งเรื่องแทบจะไม่มีเสียงพูดลอดออกจากปากน้อยมาก เมื่อการดำเนินเรื่องยังคงซื่อสัตย์ต่อคนดูไปตามนาในสิ่งที่กล่าวไปจึงทำให้ช่วงท้ายใกล้ ๆ ก่อนจากในช่วงที่น้องสาวนั่งเหม่อลอยอยู่บนเรือหางยาวในป่าชายเลนหลังจากไหว้บรรพบุรุษเสร็จจึงเป็นบทสรุปก่อนจากที่จี้ใจผมจนจุกและเผลอน้ำตาเล็ดนิด ๆ พร้อมกับคำถามแวบกลับมาถามอีกครั้งว่าการออกจากที่หรืออยู่กับที่ที่ไหนคือสิ่งที่ต้องการมากกว่ากัน ? แต่ก็ลำบากใจที่จะตอบออกไปอีกนั่นแหล่ะ ในเมื่อสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่เห็นตามข่าวหรืออ่านจากหนังสือก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรืออาจจะแย่กว่า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.157 Cinemata Currents 2025
1. Memoria (2016) Director By Kamila Andini
- ถึงระหว่างดูจะสังเกตุกับตัวเองได้อย่างเห็นชัดว่าทำไมรู้สึกอาการมึนงงตลอดทางตั้งแต่เพิ่งออกสตาร์ทด้วยเพราะไม่ได้ทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามันพูดถึงอะไร ? รู้เพียงว่ามันมีสิ่งที่สะดุดตาขึ้นมาตอนที่หญิงสาวคนหนึ่งยืนหันหลังเข้ากับกำแพงแล้วบรรจงจูบจนเป็นรอยลิปสติกเต็มไปหมด แล้วที่สำคัญคือไม่ได้มาแค่ฉากเดียวนี่สิที่ทำให้เราเอ๊ะด้วยความสงสัย พอหลังจากดูจบมีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมถึงบางอ้อเลยว่าตัวหนังจะเล่าถึงชีวิตของ มาเรีย สาวผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศในช่วงระหว่างการยึดครองติมอร์ตะวันออกของประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 – 1999 ที่อยู่ในบ้านมากกว่าจะพุ่งเป้าไปทางประวัติศาสตร์ที่สามารถมองเห็นในบริบทเชิงระบบโครงสร้างที่ลึกกว่านั้นได้เห็นภาพทั่วถึงกกว่าว่าสภาพขณะนั้นเป็นอย่างไร ? พอมาเล่าใน way นี้ก็สามารถสำรวจเรื่องที่ใกล้ตัวกว่าอย่างสภาวะความบอบช้ำทางจิตใจของตัวมาเรียที่ถูกสามีกระทำย่ำยี่หรือการเปลี่ยนมาเล่าในมุมมองของหญิงสาวอีกคนที่อยู่ร่วมชายบ้านเดียวกับมาเรียเป็นครั้งคราวที่สัมผัสกับนัยยะที่ไหลมาด้วยได้ง่ายมือกว่าก็ทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวละครในสังคมชายเป็นใหญ่จนเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจทุกทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง อ๊อก ๆ อ๊า ๆ ดังลอดจากผ่านผนังอีกฝั่งจนสังเกตุได้ถึงแรงสะเทือน แม้ไม่แสดงภาพเหล่านี้ให้เห็นก็ตาม
2. The Visible (2019) Director By Atikah Zainidi
- เป็น 3 นาที่ที่ผ่านไปด้วยความไวสูงอย่างกับเดินผ่านไปเห็นโฆษณาเสื้อผ้าตามห้างสรรพสินค้าที่มีตัวละคร 3 คนมานำเสนอสินค้าในรูปแบบกวีตามอิริยาบถของแต่ละคนให้ทราบผ่านเสียงบรรยายโดยเฉพาะประเด็นเรื่องของเพศสภาพ หรือ เพศที่ 3 อย่าง LGBTQ ที่ดูขัดหลักจารีตของประเทศที่ปกครองระบอบอำนาจรวมศูนย์อย่างบรูไนถึงขั้นเป็นความผิดทางอาญาเมื่อสิ่งที่ต่างคือการพยายามต่อต้านความเชื่อที่นับถือและส่งต่อสู่รุ่นมาช้านานแถมฝังรากเกินยากที่จะรื้อถอนกระทั่งการตั้งคำถามเพื่อเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แม้บทสรุปจะไม่ตัดสินอย่างชัดเจนแต่อย่างน้อยทำให้เราเกิดคำถามขึ้นมาในหัวหลังดูว่า การที่เราจะขอกำหนดชีวิตขอเลือกเพศตามความประสงค์ของตัวเองมันผิดต่อส่วนรวมด้วยหรือ ?
3. Diwata : Performing Ecotransfeminism (2024) Director By Ram Botero & Guilia Casalini
- และเช่นกันที่ระหว่างดูไม่ได้รู้เรื่องราวเลยว่าเป็นเนื้อความพูดถึงอะไร ? นอกจากในหัวคิดถึงแต่ภาพโฆษณาสุราที่ฉายใน TVตอนดึกทันทีที่เห็นนักแสดงสาวกำลังประกอบ Activity ด้วยท่วงท่าสวยงามและอ่อนช้อยอย่างละมุนโดยไม่มีเสียงพูดและคำบรรยายตั้งแต่ก้าวขาย่ำบนดินยันว่ายน้ำลงในลำธารใสสะอาดท่ามกลางหุบป่าลำเนาไพรให้เราทราบเลยสักแอะ แต่ชื่นชมเรื่องมุมกล้องกัว่าสามารถจัดวางเฟรมแต่ละจุดออกมาได้ละมุนและสวยงามเหมือนวิ่งอยู่ในวรรณคดี ถึงจะตื่นตาไปกับความสุนทรีย์ตลอดระยะเวลา 15 นาทีพร้อมกับเกาหัวไปด้วยความงงใจ ถ้าไม่ได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มหลังดูจบด้วยความสงสัยจนเผลอตกใจในใจว่าใจความที่ไหลมาผ่านการเล่นเอง กำกับเอง ทุกอย่างจบโดยคุณ Ram Botero กับ คุณ Guilia casalini เหมือนอ่านนวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ที่แทรกเรื่องเล่าความเชื่อปรัมปราไปทางลึกลับแฟนตาซียังไงยังงั้น
4. The Purple Kingdom (2559) กำกับโดย พิมพกา โตวีระ
- ตัวหนังจะเล่าสลับไปมา 2 Parts ระหว่างมุมของคุณ มึนอ ภรรยาของคุณบิลลี่ พอละจี ผู้หายสาปสูญ กับ เรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ออกเดินทางตามหาคนรักที่หายตัวไปในป่าตลอดเวลาเพียงแค่ 21 นาทีที่พอเรียบเรียงได้อยู่ว่าจะเดินไปทางไหน ? ด้วยความที่ดูก่อนพอทราบข่าวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2557 หรือ 11 ปีที่แล้วโดยสังเขปและแน่นอนว่าเวลาเพียงเท่านี้คงไม่สามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้เราย้อนไล่เรียงตาม Timeline ได้ทั้งหมด แต่เปิดเรื่องมาถึงกับตกใจในเพลงประกอบจนมึนกับตัวเองนิด ๆ ว่านี่กูดูหนังไทยหรือหนังประเทศเพื่อนบ้านอยู่วะ ? จนพอเพลงจบและเห็นตัวอักษรบนเสาที่หญิงสาวคร่ำครวญก่อนออกเดินทางก็เลยรู้แจ้งเลยทันที ระหว่างทางมีเผลอวูบ ๆ กับความเนิบของวิธีการเล่าที่เราทราบโดยแก่ใจจนเกือบหลุดข้างทางแต่ดีที่มีเพลงประกอบที่เปิดตอนต้นช่วยดึงสติกลับมาให้เราจูนต่อกับการตามหาคนรักของทั้ง 2 ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการเข้ามาของคณะคนดีย์ ที่นอกจากส่งผลกระทบทุกอณูจนต้องเอาตรีนก่ายหน้าผากแล้วยังทำให้บทสรุปในช่วงท้ายที่อ้อยอิ่งมาแต่ต้นยิ่งตอกย้ำถึงความคลุมเครือด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบจากปากหรือแสดงความรับรับผิดชอบใด ๆ จากบรรดาผู้กระทำหรือผู้เกี่ยวข้อง นอกจากบาดแผลที่ทิ้งไว้เป็นมรดกทางหน้าประวัติศาสตร์ให้คนที่มีชีวิตรู้สึกเจ็บปวดและเคียดแค้นต่อระบบความอยุติธรรมจนถึงทุกวันนี้
5. Melagu (2562) กำกับโดย Nurdeen Kasor
- การที่หนังเลือกเล่าผ่าน 3 มุมมองของคนที่ประกอบอาชีพนักดนตรีตลอดระยะเวลา 20 นาที นอกจากทำให้เราประติดประต่อในสิ่งที่ผู้กำกับกำลังจะสื่อผ่านประสบการณ์ของแต่ละคนที่มีทัศนคติตาม Gens ได้สะดวกอยู่ว่ามีมุมมองเป็นอย่างไร ? ถึงไม่เข้าใจในเรื่องดนตรีนอกจากฟังเพื่อความสุนทรีย์แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นแง่มุมที่ซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตที่เรียบง่ายจนสัมผัสถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นในทางด้านภาษา , วัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์เดิมกระทั่งสิ่งที่ไม่อยากยกย่องในแง่ของภาพจำที่มันส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของตัวจังหวัดรวมถึงทุกสิ่งอย่างเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ทราบข่าวมาตั้งแต่เรียนอยู่จนบางคนแต่งงานมีลูก 3 แล้วว่าจังหวัดปัตตานีเองก็มีความหลากหลายในแง่มุมอื่นที่น่าสนใจซ่อนอยู่เพื่อรอการค้นหาจากผู้มาเยือนต่างถิ่นได้ศึกษา สัมผัสจนต้องชักมือถือถ่ายรูปเก็บภาพลง Social เอาไปอวดไปโม้กับเพื่อนได้กด Like และ Comment กัน 3 วัน 7 คืนก็ไม่จบ
6. Further and Further Away (2022) Director By Polen Ly
- แทนที่จะดีใจว่าจะได้ออกจากที่เดิม ๆ ไปอยู่ที่แห่งใหม่ที่ดีกว่าก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากตามใจนึกนัก ในเมื่อความรู้สึกที่ตัว 2 พี่น้องกำลังประสบไม่ได้สวนทางกันอยู่นี่สิ ถึงว่าทำไมระหว่างดูถึงสัมผัสกลิ่นอายความถวิลอาลัยผ่านตัวน้องสาวลอยโชยมาตามลมกว่าพี่ชายผู้เต็มเปี่ยมด้วยความหวังในหนทางข้างหน้า ซึ่งตลอดเวลา 24 นาทีตัวหนังจะพาเรานับถอยหลังไปกับตัวของ 2 พี่น้องบ้านนาที่กำลังอำลาจากบ้านเกิดไปสู่เมืองหลวงในประเทศกัมพูชาเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีสิ่งอำนวยทันสมัยเพรียบพร้อมพอที่จะสามารถยกระดับชีวิตของพวกเขาให้ดีกว่าการอยู่ที่เดิมที่มีแต่ความลำบากยากแค้นจากความเหลื่อมล้ำของระบบในบรรยากาศที่เรียบง่ายผ่านทุ่งนาและป่าชายเลนแต่หลากหลายทางความรู้สึกจนแลเห็นถึงความหวังและความไม่มั่นใจต่อการตัดสินใจ คือดูแรก ๆ ยังจับความไม่ถูกว่า 2 คนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไร ? เพราะมีตัวละครอีกคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนของพี่ชายเข้ามา Joint ขัดเรือหางยาวที่กินเวลาไปหลายนาทีจนตัวเพื่อนออกจากเฟรมไปและได้มีเวลาประกอบกิจวัตรร่วมกับอีกคนซึ่งตรัสรู้แล้วว่าเป็นน้องสาว จึงค่อย ๆ เข้าใจในสิ่งที่สงสัยไปตอนต้นเวลาต่อมาทั้งที่ทั้งเรื่องแทบจะไม่มีเสียงพูดลอดออกจากปากน้อยมาก เมื่อการดำเนินเรื่องยังคงซื่อสัตย์ต่อคนดูไปตามนาในสิ่งที่กล่าวไปจึงทำให้ช่วงท้ายใกล้ ๆ ก่อนจากในช่วงที่น้องสาวนั่งเหม่อลอยอยู่บนเรือหางยาวในป่าชายเลนหลังจากไหว้บรรพบุรุษเสร็จจึงเป็นบทสรุปก่อนจากที่จี้ใจผมจนจุกและเผลอน้ำตาเล็ดนิด ๆ พร้อมกับคำถามแวบกลับมาถามอีกครั้งว่าการออกจากที่หรืออยู่กับที่ที่ไหนคือสิ่งที่ต้องการมากกว่ากัน ? แต่ก็ลำบากใจที่จะตอบออกไปอีกนั่นแหล่ะ ในเมื่อสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่เห็นตามข่าวหรืออ่านจากหนังสือก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรืออาจจะแย่กว่า
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้