สวัสดีค่ะ รบกวนสอบถามความเห็นเพื่อนๆให้ช่วยออกความเห็น เผื่อบางทีเราจะมองพลาดไป
เราอายุ 45 ค่ะ แฟนอายุ 54 คบกันมา 10 ปีแล้วค่ะ ช่วงหลังๆแฟนก็พูดขอแต่งงาน (ทั้งทีเล่นทีจริง และพูดจริงๆ)อยู่ตลอดๆ แต่เราไม่มั่นใจเลยค่ะ
ต้องบอกก่อนว่า เราทำงานเป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่องค์กรหนึ่ง เงินเดือนไม่เยอะมาก แต่มีธุรกิจครอบครัว (โรงงาน) รายได้หมุนเวียนค่อนข้างเยอะ เราไม่มีปัญหาเรื่องเงินเลย คืออยากกินอะไรก็กินได้ อยากไปเที่ยวไหนก็ไปได้ ชีวิตประจำวันคือออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4-5 วัน เดือนนึงทำทรีทเมนท์ผม 2 ครั้ง ทำเล็บ 1 ครั้ง และนวดหน้าทุกสัปดาห์ เราอยู่บ้านกับพ่อแม่ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สาวๆแล้วค่ะ
แฟนเราเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรหนึ่ง เงินเดือนหักภาษีแล้วประมาณ 300K เป็นคนมีตระกูลถึงแม้ว่าตอนนี้จะกระซ่านกระเซ็นไปคนละทิศคนละทางก็ตาม เวลาไปกินข้าวกันเขาก็จะเลี้ยง ไปไหนเขาก็จะมารับที่บ้าน ที่ผ่านมา 5 ปีแรกแทบไม่ทะเลาะกันเลย จนทุกๆคนมองว่า น่าจะแต่งงานกันได้แล้วล่ะ
ทีแรกเราก็คิดอย่างงั้นค่ะ จนกระทั่งเราพบความจริง ตอนที่มาคุยกันเรื่องเงินและค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้าน
เขาเล่าว่า ถึงแม้เขาจะมีเงินเดือนเยอะ แต่มีภาระในการดูแลพ่อแม่ (พ่อกับแม่หย่ากัน) โดยให้บ้านละ 3 หมื่นบาท ค่าผ่อนรถอีกประมาณ 5 หมื่นบาท ค่าผ่อนคอนโดอีก 3 หมื่นบาท ค่าแม่บ้านและคนดูแลอา อีกประมาณ 4 หมื่นบาท (เขาเอาอาที่เป็นผู้ป่วยโรคจิตและมีโรคลมชักมาอยู่ด้วย) ค่ายาอาอีกประมาณ 3 หมื่นบาท และไม่นับรวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน พวกซื้อของเข้าบ้านอีกสัปดาห์ละครั้ง และแม้ว่าเขาจะมีน้อง 2 คนแต่ 2 คนนั้นได้เงินเดือนน้อยกว่าเขาและเป็นหน้าทีเขาที่ต้องจ่ายให้ที่บ้าน ถึงแม้เขาจะมีคอนโด (30 ตรม.) แต่เขาก็ไม่อยากจะปล่อยเช่า (เขาบอกว่า มันจะทำให้ห้องโทรม) ดังนั้น ถ้ามาอยู่ด้วยกัน ก็ต้องรู้ว่าเค้ามีภาระเยอะอยู่แล้ว และจะเป็นอย่างนี้ทุกเดือน
5 ปีแรกที่ผ่านมา ก็ดีดูไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ช่วง 2-3 ปีหลังนี้ อยุ่ๆมีปัญหาเกิดขึ้นอีก คือค่ารักษาพยาบาลของพ่อที่นัดทำบัลลูนหัวใจ ค่ารักษาพยาบาลของแม่ (ค่าผ่าหลังและทำตาต้อ) มีค่ารักษาอาที่ต้องผ่าสะโพก ค่าทำรากฟันเทียม และยังเป็นหนี้บัตรเครดิตอีก 4 ล้านบาท คราวนี้พอเราบอกว่า เราไปทำเล็บ เราไปทำผม (จากปกติที่ทำตลอดๆอยู่แล้ว) เขาก็เริ่มมาค่อนแคะเช่น ดีจังนะ ใช้ชีวิตสบายไม่ต้องลำบากเลย ไม่ไปทำก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง (ทั้งๆที่เราไปเราจ่าย เงินเราแท้ๆ)
วันเกิดเขาเราให้เช็คไป 5หมื่นบาท (เพราะเห็นว่าเขามีภาระ น่าจะเงินไม่พอ) มารู้ทีหลัง เอาเงินไปเปลี่ยนกรอบไฟรถ (เขาบอกว่าเพราะมันไม่สวย) ซื้อของแต่งคอนโด
เขามาพูดเรื่องแต่งงานกับแม่เรา แม่เราถามเรื่องบ้านว่าจะอยู่ที่ไหนยังไง เขาบอกว่าขอเก็บเงินก่อน แต่ถึงตอนนี้ (ผ่านมา 5 ปี) ก็ยังไม่มีเงินเก็บที่จะผ่อนบ้านได้ พอเราบอกให้ออกไปอยู่ชานเมืองหน่อย บ้านจะได้ถูกลง เขาก็บอกว่า เขาอยู่แถวในเมืองมาตลอด (ตระกูลเคยเป็นเจ้าของตลาดมาก่อน แต่ได้ขายไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว และแบ่งเงินไปหมดแล้ว) ออกไปอยู่ชานเมืองไม่สะดวก พอบอกว่า ถ้างั้นเอาบ้านที่เล็กหน่อย เขาก็บอกว่า เขาต้องเอาอาที่ป่วยโรคจิตและเป็นลมชักมาอยู่ด้วย เพราะงั้นต้องมีที่มีทาง
แม่เราบอกว่า การใข้ขีวิตอยู่ด้วยกันอย่างน้อยควรมีที่มีทางให้อยู่ ผู้ชายควรเป็นผู้นำในการจัดหาที่อยู่นั้น (เขาเคยบอกก็เราหลายครั้งให้เราไปขอเงินแม่มาซื้อบ้าน แต่ใส่ชื่อเขาเป็นเจ้าของบ้าน แล้วเขาจะผ่อนเรา) เรายังนึกอะไรไม่ออก
คือเรื่องอื่นเขาก็โอเค ไม่เจ้าชู้ และดูภาพลักษณ์ดี
เราควรไปต่อ หรือพอแค่นี้ดีคะ
ความรักกับการแต่งงาน ไปต่อหรือพอแค่นี้ดีคะ
เราอายุ 45 ค่ะ แฟนอายุ 54 คบกันมา 10 ปีแล้วค่ะ ช่วงหลังๆแฟนก็พูดขอแต่งงาน (ทั้งทีเล่นทีจริง และพูดจริงๆ)อยู่ตลอดๆ แต่เราไม่มั่นใจเลยค่ะ
ต้องบอกก่อนว่า เราทำงานเป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่องค์กรหนึ่ง เงินเดือนไม่เยอะมาก แต่มีธุรกิจครอบครัว (โรงงาน) รายได้หมุนเวียนค่อนข้างเยอะ เราไม่มีปัญหาเรื่องเงินเลย คืออยากกินอะไรก็กินได้ อยากไปเที่ยวไหนก็ไปได้ ชีวิตประจำวันคือออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4-5 วัน เดือนนึงทำทรีทเมนท์ผม 2 ครั้ง ทำเล็บ 1 ครั้ง และนวดหน้าทุกสัปดาห์ เราอยู่บ้านกับพ่อแม่ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สาวๆแล้วค่ะ
แฟนเราเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรหนึ่ง เงินเดือนหักภาษีแล้วประมาณ 300K เป็นคนมีตระกูลถึงแม้ว่าตอนนี้จะกระซ่านกระเซ็นไปคนละทิศคนละทางก็ตาม เวลาไปกินข้าวกันเขาก็จะเลี้ยง ไปไหนเขาก็จะมารับที่บ้าน ที่ผ่านมา 5 ปีแรกแทบไม่ทะเลาะกันเลย จนทุกๆคนมองว่า น่าจะแต่งงานกันได้แล้วล่ะ
ทีแรกเราก็คิดอย่างงั้นค่ะ จนกระทั่งเราพบความจริง ตอนที่มาคุยกันเรื่องเงินและค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้าน
เขาเล่าว่า ถึงแม้เขาจะมีเงินเดือนเยอะ แต่มีภาระในการดูแลพ่อแม่ (พ่อกับแม่หย่ากัน) โดยให้บ้านละ 3 หมื่นบาท ค่าผ่อนรถอีกประมาณ 5 หมื่นบาท ค่าผ่อนคอนโดอีก 3 หมื่นบาท ค่าแม่บ้านและคนดูแลอา อีกประมาณ 4 หมื่นบาท (เขาเอาอาที่เป็นผู้ป่วยโรคจิตและมีโรคลมชักมาอยู่ด้วย) ค่ายาอาอีกประมาณ 3 หมื่นบาท และไม่นับรวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน พวกซื้อของเข้าบ้านอีกสัปดาห์ละครั้ง และแม้ว่าเขาจะมีน้อง 2 คนแต่ 2 คนนั้นได้เงินเดือนน้อยกว่าเขาและเป็นหน้าทีเขาที่ต้องจ่ายให้ที่บ้าน ถึงแม้เขาจะมีคอนโด (30 ตรม.) แต่เขาก็ไม่อยากจะปล่อยเช่า (เขาบอกว่า มันจะทำให้ห้องโทรม) ดังนั้น ถ้ามาอยู่ด้วยกัน ก็ต้องรู้ว่าเค้ามีภาระเยอะอยู่แล้ว และจะเป็นอย่างนี้ทุกเดือน
5 ปีแรกที่ผ่านมา ก็ดีดูไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ช่วง 2-3 ปีหลังนี้ อยุ่ๆมีปัญหาเกิดขึ้นอีก คือค่ารักษาพยาบาลของพ่อที่นัดทำบัลลูนหัวใจ ค่ารักษาพยาบาลของแม่ (ค่าผ่าหลังและทำตาต้อ) มีค่ารักษาอาที่ต้องผ่าสะโพก ค่าทำรากฟันเทียม และยังเป็นหนี้บัตรเครดิตอีก 4 ล้านบาท คราวนี้พอเราบอกว่า เราไปทำเล็บ เราไปทำผม (จากปกติที่ทำตลอดๆอยู่แล้ว) เขาก็เริ่มมาค่อนแคะเช่น ดีจังนะ ใช้ชีวิตสบายไม่ต้องลำบากเลย ไม่ไปทำก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง (ทั้งๆที่เราไปเราจ่าย เงินเราแท้ๆ)
วันเกิดเขาเราให้เช็คไป 5หมื่นบาท (เพราะเห็นว่าเขามีภาระ น่าจะเงินไม่พอ) มารู้ทีหลัง เอาเงินไปเปลี่ยนกรอบไฟรถ (เขาบอกว่าเพราะมันไม่สวย) ซื้อของแต่งคอนโด
เขามาพูดเรื่องแต่งงานกับแม่เรา แม่เราถามเรื่องบ้านว่าจะอยู่ที่ไหนยังไง เขาบอกว่าขอเก็บเงินก่อน แต่ถึงตอนนี้ (ผ่านมา 5 ปี) ก็ยังไม่มีเงินเก็บที่จะผ่อนบ้านได้ พอเราบอกให้ออกไปอยู่ชานเมืองหน่อย บ้านจะได้ถูกลง เขาก็บอกว่า เขาอยู่แถวในเมืองมาตลอด (ตระกูลเคยเป็นเจ้าของตลาดมาก่อน แต่ได้ขายไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว และแบ่งเงินไปหมดแล้ว) ออกไปอยู่ชานเมืองไม่สะดวก พอบอกว่า ถ้างั้นเอาบ้านที่เล็กหน่อย เขาก็บอกว่า เขาต้องเอาอาที่ป่วยโรคจิตและเป็นลมชักมาอยู่ด้วย เพราะงั้นต้องมีที่มีทาง
แม่เราบอกว่า การใข้ขีวิตอยู่ด้วยกันอย่างน้อยควรมีที่มีทางให้อยู่ ผู้ชายควรเป็นผู้นำในการจัดหาที่อยู่นั้น (เขาเคยบอกก็เราหลายครั้งให้เราไปขอเงินแม่มาซื้อบ้าน แต่ใส่ชื่อเขาเป็นเจ้าของบ้าน แล้วเขาจะผ่อนเรา) เรายังนึกอะไรไม่ออก
คือเรื่องอื่นเขาก็โอเค ไม่เจ้าชู้ และดูภาพลักษณ์ดี
เราควรไปต่อ หรือพอแค่นี้ดีคะ