วันนี้มีพนักงานใหม่ (ทำงานได้ 3 เดือน) ติดต่อเรามาเพื่อปรึกษาเรื่องขั้นตอนการแจ้งลาออก เราก็บอกเขาว่า ให้เขาไปบอกกับหัวหน้าโดยตรงก่อน วันจันทร์นี้เลย แล้วเดี๋ยวเราจะสอนวิธีการทำเอกสารแจ้งลาออกให้ ที่เขามาปรึกษาเรา เพราะเราเป็นเหมือนธุรการ HR ของแผนก เวลาจะรับสมัครคน สัมภาษณ์ บรรจุ ลาออก ขาดลามาสาย เราจะเป็นคนประสานงานกับฝ่าย HR ของหน่วยงาน (แต่งานหลักของเราไม่ใช่งาน HR เป็นงานอื่นที่หนักกว่านั้น)
ตอนนี้ที่ทำงานของเราประสบปัญหาต้องประกาศรับสมัครคนบ่อยมาก เพราะว่าพอรับคนเข้ามาแล้ว ก็อยู่กันได้ไม่นาน สาเหตุหลักๆที่ทำให้พนักงานใหม่อยู่ไม่ทน ตามความเห็นของเราคือ ปริมาณงานที่เยอะและมีรายละเอียดเยอะ ไม่ใช่งานหน้าเดียว เกิดความเครียดได้ง่าย และสังคมที่ค่อนข้าง Toxic ตามประสาหน่วยงานรัฐ
สำหรับพนักงานที่จะลาออกคนนี้ สาเหตุที่เขาจะออกคือ เขาทำงานไม่ไหว เขาได้รับงาน 2 อย่างที่ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นเป็นงานของเราที่แบ่งไปให้เขาทำ เพราะเราทำเองหมดไม่ไหว มันเยอะเกินไป และงานเดิมของพนักงานใหม่ก็ปริมาณไม่เยอะ หัวหน้าจึงแบ่งงานเราไปให้พนักงานใหม่ทำเพิ่ม (แบ่งให้เขา 1/5 ของงานเรา) ปรากฎว่าพนักงานใหม่ไม่ถนัดงานส่วนของเรา ทำไม่ไหว จึงจะลาออก เราถามว่าเขาได้งานใหม่แล้วยัง เขาตอบว่ายัง แต่ก็จะออกเพื่อจะได้มีเวลาไปสัมภาษณ์งานที่อื่น
เรากำลังคิดว่าเราควรให้คำแนะนำอะไรกับเขามากกว่านี้ไหม เช่น บอกเขาว่าเพิ่งมาทำงานได้ 3 เดือนเอง ยังมีเวลาเรียนรู้และปรับตัวอีกเยอะ ทำงานช่วงแรกๆมันก็ยากแบบนี้แหละ งานของเขาที่ว่าหนัก ก็ยังหนักไม่ถึงครึ่งของงานเราเลย อย่างน้อยเขาก็ยังได้กลับบ้านตรงเวลา ยังไม่ค่อยโดนหัวหน้าจู้จี้ใส่ ในขณะที่เราต้องทำโอฟรีเป็นประจำ เดี๋ยวหัวหน้าจะเรียกคุยงานตอนใกล้เลิกงานบ้างล่ะ สั่งทำงานตอนเรากำลังเก็บกระเป๋าบ้างล่ะ โทรมาคุยงานในวันหยุดบ้างล่ะ ความทุกข์ใจเรื่องงานของเรามีมากกว่าเขาเยอะ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็มองว่าทุกคนมีสิทธิเลือกทางเดินให้ตัวเอง ใครจะอยู่ก็อยู่ ใครจะไปก็ไป ตอนเราอายุเท่าเขา ระดับความอดทนและภูมิคุ้มกันต่อปัญหาของเราก็ยังไม่สูงเท่าตอนนี้เหมือนกัน
----------
(อันนี้บ่นให้ตัวเอง จะข้ามก็ได้)
เราเริ่มทำงานของเราในแผนกนี้ จากความรู้เดิมที่เป็น 0 ไม่มีพื้นฐานในงานนั้นมาก่อน หัวหน้าเราก็ไม่ได้มีความรู้ในงานนี้มาก หน่วยงานเรามีการปรับโครงสร้าง เราเข้ามาเป็นอัตรากำลังเพิ่มของแผนกนี้ โดยรับงานต่อมาจากแผนกอื่น (สมมติจากเดิมแผนกเรามีอัตรากำลังอยู่ 9 คน เราเข้ามาเป็นอัตราที่ 10 งานในแผนกก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย) แล้วงานที่เรารับมาก็มีสภาพที่เละเทะและมีปัญหาเยอะมาก ทั้งเราและหัวหน้าต้องช่วยกันปรับแก้ไข ปฏิรูปงานนี้ใหม่ เราต้องคุยกับหัวหน้าเยอะมาก จนสนิทกับหัวหน้ามากกว่าเพื่อนร่วมงาน โดนเพื่อนร่วมงานบางคนนินทาว่าเป็นเด็กหรือลูกรักของหัวหน้า (จริงๆก็เป็นเหมือนมือขวา) แต่ละวันเราทำงานจนไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนร่วมงาน ยิ่งรู้ว่าโดนเพื่อนร่วมงานนินทาก็ยิ่งไม่อยากคุยด้วย งานของเรามันไม่เหมือนของคนอื่นๆ
เราทำงานนี้มาจน 5 ปีแล้ว ปัญหาก็ไม่ได้หมดไป ยังมีเรื่องใหม่ๆเข้ามาให้ต้องตั้งรับ ไม่มีสิทธิปฏิเสธด้วย คำว่า "งานอยู่ตัวแล้ว" หรือ "งานเข้าที่เข้าทางแล้ว" มันใช้ไม่ได้กับงานของเรา หน่วยงานขยันขยายธุรกิจ งานเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่การจะขออัตรากำลังคนเพิ่มมันกลับยากเย็นแสนเข็ญ วันแรกที่เราทำงานในแผนกนี้ ก็รู้สึกว่าหนักแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ คนๆเดียวทำงานปริมาณเท่ากับ 2 คนกว่าๆทำ ในแผนกมีแค่เราที่เป็นแบบนี้ รู้สึกหมดไฟแล้วหมดไฟอีก แต่ก็อดทนประคับประคองมันมาถึงตอนนี้ แต่พวกเพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจหรอก แต่ละคนคิดว่างานตัวเองหนักกว่าใคร
พองานเราหนักมากๆ แบกเองทั้งหมดไม่ไหว ก็ต้องกระจายงานไปให้พนักงานใหม่ทำส่วนหนึ่ง เราก็สอนงานให้ แต่ค่อยๆสอน เพราะสอนทั้งหมดในคราวเดียวเขาคงรับไม่ไหว รายละเอียดมันเยอะ หลายอย่างต้องอาศัยประสบการณ์และการลงมือทำ เราก็หวังว่าตัวเองจะสบายขึ้นบ้าง แต่พอรับพนักงานใหม่เข้ามาแล้ว แต่ไม่ทันไรก็จะลาออกกันแล้ว เราก็ต้องรับงานกลับมาทำเองเหมือนเดิม วนไปแบบนี้เรื่อยๆ จนเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยและเสียเวลากับการเทรนงานพนักงานใหม่ แต่ก็ไม่รู้จะทำไง ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของเรา ตอนสัมภาษณ์คนที่มาสมัครงาน แต่ละคนก็พรีเซนต์ตัวเองดี มาดดี หนักเบาเอาสู้กันทั้งนั้น แค่พอรับมาทำงานจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดไว้ ต่อไปเราคงต้องตั้งคำถามสัมภาษณ์ที่อิงกับสภาพการทำงานจริงมากกว่านี้ จะได้ดูว่าผู้สมัครไหวไหม
----------
อยากจะบอกพนักงานใหม่แบบนี้เวลาที่เขารู้สึกว่างานตัวเองหนัก ปัญหาเยอะ หัวหน้าจุกจิก อยากบอกว่าที่เขาเจอมันยังน้อยเมื่อเทียบกับเรา แต่มันอาจดูเหมือนยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่น แต่ละคนมีความอดทนไม่เท่ากัน หรือเราควรปล่อยเขาไปแล้วเริ่มประกาศรับสมัครพนักงานใหม่ก็พอ
พนักงานใหม่จะลาออก เขามาปรึกษาเรา เราควรให้คำปรึกษาไหม
ตอนนี้ที่ทำงานของเราประสบปัญหาต้องประกาศรับสมัครคนบ่อยมาก เพราะว่าพอรับคนเข้ามาแล้ว ก็อยู่กันได้ไม่นาน สาเหตุหลักๆที่ทำให้พนักงานใหม่อยู่ไม่ทน ตามความเห็นของเราคือ ปริมาณงานที่เยอะและมีรายละเอียดเยอะ ไม่ใช่งานหน้าเดียว เกิดความเครียดได้ง่าย และสังคมที่ค่อนข้าง Toxic ตามประสาหน่วยงานรัฐ
สำหรับพนักงานที่จะลาออกคนนี้ สาเหตุที่เขาจะออกคือ เขาทำงานไม่ไหว เขาได้รับงาน 2 อย่างที่ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นเป็นงานของเราที่แบ่งไปให้เขาทำ เพราะเราทำเองหมดไม่ไหว มันเยอะเกินไป และงานเดิมของพนักงานใหม่ก็ปริมาณไม่เยอะ หัวหน้าจึงแบ่งงานเราไปให้พนักงานใหม่ทำเพิ่ม (แบ่งให้เขา 1/5 ของงานเรา) ปรากฎว่าพนักงานใหม่ไม่ถนัดงานส่วนของเรา ทำไม่ไหว จึงจะลาออก เราถามว่าเขาได้งานใหม่แล้วยัง เขาตอบว่ายัง แต่ก็จะออกเพื่อจะได้มีเวลาไปสัมภาษณ์งานที่อื่น
เรากำลังคิดว่าเราควรให้คำแนะนำอะไรกับเขามากกว่านี้ไหม เช่น บอกเขาว่าเพิ่งมาทำงานได้ 3 เดือนเอง ยังมีเวลาเรียนรู้และปรับตัวอีกเยอะ ทำงานช่วงแรกๆมันก็ยากแบบนี้แหละ งานของเขาที่ว่าหนัก ก็ยังหนักไม่ถึงครึ่งของงานเราเลย อย่างน้อยเขาก็ยังได้กลับบ้านตรงเวลา ยังไม่ค่อยโดนหัวหน้าจู้จี้ใส่ ในขณะที่เราต้องทำโอฟรีเป็นประจำ เดี๋ยวหัวหน้าจะเรียกคุยงานตอนใกล้เลิกงานบ้างล่ะ สั่งทำงานตอนเรากำลังเก็บกระเป๋าบ้างล่ะ โทรมาคุยงานในวันหยุดบ้างล่ะ ความทุกข์ใจเรื่องงานของเรามีมากกว่าเขาเยอะ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็มองว่าทุกคนมีสิทธิเลือกทางเดินให้ตัวเอง ใครจะอยู่ก็อยู่ ใครจะไปก็ไป ตอนเราอายุเท่าเขา ระดับความอดทนและภูมิคุ้มกันต่อปัญหาของเราก็ยังไม่สูงเท่าตอนนี้เหมือนกัน
----------
(อันนี้บ่นให้ตัวเอง จะข้ามก็ได้)
เราเริ่มทำงานของเราในแผนกนี้ จากความรู้เดิมที่เป็น 0 ไม่มีพื้นฐานในงานนั้นมาก่อน หัวหน้าเราก็ไม่ได้มีความรู้ในงานนี้มาก หน่วยงานเรามีการปรับโครงสร้าง เราเข้ามาเป็นอัตรากำลังเพิ่มของแผนกนี้ โดยรับงานต่อมาจากแผนกอื่น (สมมติจากเดิมแผนกเรามีอัตรากำลังอยู่ 9 คน เราเข้ามาเป็นอัตราที่ 10 งานในแผนกก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย) แล้วงานที่เรารับมาก็มีสภาพที่เละเทะและมีปัญหาเยอะมาก ทั้งเราและหัวหน้าต้องช่วยกันปรับแก้ไข ปฏิรูปงานนี้ใหม่ เราต้องคุยกับหัวหน้าเยอะมาก จนสนิทกับหัวหน้ามากกว่าเพื่อนร่วมงาน โดนเพื่อนร่วมงานบางคนนินทาว่าเป็นเด็กหรือลูกรักของหัวหน้า (จริงๆก็เป็นเหมือนมือขวา) แต่ละวันเราทำงานจนไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนร่วมงาน ยิ่งรู้ว่าโดนเพื่อนร่วมงานนินทาก็ยิ่งไม่อยากคุยด้วย งานของเรามันไม่เหมือนของคนอื่นๆ
เราทำงานนี้มาจน 5 ปีแล้ว ปัญหาก็ไม่ได้หมดไป ยังมีเรื่องใหม่ๆเข้ามาให้ต้องตั้งรับ ไม่มีสิทธิปฏิเสธด้วย คำว่า "งานอยู่ตัวแล้ว" หรือ "งานเข้าที่เข้าทางแล้ว" มันใช้ไม่ได้กับงานของเรา หน่วยงานขยันขยายธุรกิจ งานเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่การจะขออัตรากำลังคนเพิ่มมันกลับยากเย็นแสนเข็ญ วันแรกที่เราทำงานในแผนกนี้ ก็รู้สึกว่าหนักแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ คนๆเดียวทำงานปริมาณเท่ากับ 2 คนกว่าๆทำ ในแผนกมีแค่เราที่เป็นแบบนี้ รู้สึกหมดไฟแล้วหมดไฟอีก แต่ก็อดทนประคับประคองมันมาถึงตอนนี้ แต่พวกเพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจหรอก แต่ละคนคิดว่างานตัวเองหนักกว่าใคร
พองานเราหนักมากๆ แบกเองทั้งหมดไม่ไหว ก็ต้องกระจายงานไปให้พนักงานใหม่ทำส่วนหนึ่ง เราก็สอนงานให้ แต่ค่อยๆสอน เพราะสอนทั้งหมดในคราวเดียวเขาคงรับไม่ไหว รายละเอียดมันเยอะ หลายอย่างต้องอาศัยประสบการณ์และการลงมือทำ เราก็หวังว่าตัวเองจะสบายขึ้นบ้าง แต่พอรับพนักงานใหม่เข้ามาแล้ว แต่ไม่ทันไรก็จะลาออกกันแล้ว เราก็ต้องรับงานกลับมาทำเองเหมือนเดิม วนไปแบบนี้เรื่อยๆ จนเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยและเสียเวลากับการเทรนงานพนักงานใหม่ แต่ก็ไม่รู้จะทำไง ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของเรา ตอนสัมภาษณ์คนที่มาสมัครงาน แต่ละคนก็พรีเซนต์ตัวเองดี มาดดี หนักเบาเอาสู้กันทั้งนั้น แค่พอรับมาทำงานจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดไว้ ต่อไปเราคงต้องตั้งคำถามสัมภาษณ์ที่อิงกับสภาพการทำงานจริงมากกว่านี้ จะได้ดูว่าผู้สมัครไหวไหม
----------
อยากจะบอกพนักงานใหม่แบบนี้เวลาที่เขารู้สึกว่างานตัวเองหนัก ปัญหาเยอะ หัวหน้าจุกจิก อยากบอกว่าที่เขาเจอมันยังน้อยเมื่อเทียบกับเรา แต่มันอาจดูเหมือนยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่น แต่ละคนมีความอดทนไม่เท่ากัน หรือเราควรปล่อยเขาไปแล้วเริ่มประกาศรับสมัครพนักงานใหม่ก็พอ