กีฬาในสายตาของคนจำนวนมากคือพื้นที่แห่งมิตรภาพ ความเท่าเทียม และการแข่งขันที่บริสุทธิ์ แต่นั่นอาจเป็นเพียงภาพอุดมคติที่หลอกตา เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองได้ซึมลึกเข้าสู่เวทีที่ควรเป็นของลูกผู้ชาย กรณีล่าสุดที่รัฐบาลกัมพูชาออกมาตรการ "แบนมวยไทย" ไม่ให้เข้าร่วมแข่งขันมวยกุนขแมร์ภายในประเทศ จากสาเหตุการพิพาททางชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนอันชัดเจนว่า กีฬาไม่อาจหนีออกจากเงาแห่งอำนาจและชาติพันธุ์นิยมไปได้
การปะทะกันระหว่าง "มวยไทย" และ "มวยกุนขแมร์" มิใช่เรื่องใหม่ หากย้อนกลับไปหลายปี กัมพูชาได้พยายามผลักดัน “กุนขแมร์” (Kun Khmer) หรือศิลปะการต่อสู้ประจำชาติให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก พร้อมทั้งเรียกร้องความชอบธรรมในประวัติศาสตร์ว่าศิลปะป้องกันตัวของพวกเขาเป็นต้นกำเนิดของมวยไทย ไม่ใช่เพียงศิลปะร่วมภูมิภาคอย่างที่คนไทยเชื่อ
ข้อเรียกร้องนี้กลายเป็นเปลวไฟที่จุดความรู้สึก “รักชาติ” ของทั้งสองฝ่ายให้ลุกโชน และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ของรัฐ โดยเฉพาะในกัมพูชา ที่รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปโยงกับประเด็นชาตินิยมผ่านนโยบายวัฒนธรรมและกีฬา
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือช่วงปี 2023–2024 เมื่อทางกัมพูชาประกาศเปลี่ยนชื่อประเภทการแข่งขัน "มวยไทย" ในมหกรรมกีฬาระดับชาติของตนให้เป็น "กุนขแมร์" อย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งประกาศไม่ใช้คำว่า “Muay Thai” ในสนามการแข่งขันระดับนานาชาติที่ตนจัดขึ้นอีกต่อไป แม้จะได้รับแรงกดดันจากนักกีฬาและองค์กรกีฬาบางฝ่ายในระดับโลกก็ตาม
เมื่อมวยกลายเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ
การแบนมวยไทยจากเวทีการแข่งขันกุนขแมร์ในประเทศกัมพูชาล่าสุด จากสาเหตุของการมีข้อพิพาททางชายแดน จากผู้นำของกัมพูชานั้นเป็นการนำเอากีฬามาผูกกับการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้มีการวิเคราะห์เอาไว้ว่าจะส่งผลกระทบต่อวงการมวยกุนขแมร์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะว่า มวยไทยนั้นจัดว่าเป็น "มวยแม่เหล็ก" ที่มวยกุนขแมร์ขาดไม่ได้เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นนักมวยไทยชาวไทยแท้ๆเอง หรือ นักมวยไทยชาวต่างชาติ ต่างเป็นนักสู้ที่วงการมวยกุนแขมร์ต้องการนำเข้ามาแข่งกับนักมวยกุนขแมร์
เวทีลูกผู้ชายถูกกลืนด้วยการเมือง
การที่นักมวยไทยถูกห้ามลงแข่งในรายการมวยกุนขแมร์นั้น ไม่เพียงกระทบต่อตัวนักกีฬาในเชิงปฏิบัติ แต่ยังเป็นการ “ปิดเวที” ที่ควรเป็นพื้นที่แห่งการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ยิ่งไปกว่านั้น นักมวยไทยจำนวนมากที่ยึดเวทีต่างชาติเป็นช่องทางสร้างรายได้ และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ต่างต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางอาชีพ
อีกด้านหนึ่ง นักกีฬากัมพูชาเองก็ต้องสูญเสียโอกาสในการวัดฝีมือกับนักมวยไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลก การแข่งขันที่ดีควรมาจากการเปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างศาสตร์ ไม่ใช่ปิดกั้นเพื่อปกป้องความรู้สึกทางการเมืองของผู้นำ และแน่นอนว่าผู้จัดมวยกุนขแมร์นั้นคงต้องปวดหัวในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ทั้งในเรื่องสปอนเซอร์ที่น่าจะลดลงเนื่องจากความน่าสนใจของการชกลดลงมาก แต่ชาวกัมพูชาหลายๆคนก็บอกว่า นี่เป็นโอกาศอันดีที่จะนำเอานักมวยกุนขแมร์ที่ยังไม่มีชื่อเสียงมาชกทดแทนนักมวยไทย ซึ่งก็จะทำให้นักมวยกุนขแมร์ของคนกันพูชานั้น มีพื้นที่ให้ได้แสดงฝีมือมากขึ้นนั้นเอง ซึ่งก็นำมายังข้อถกเถียงมากมายในขณะนี้
เมื่อการเมืองลามเข้าสู่กีฬา: มวยกุนขแมร์แบนมวยไทย – ปมบาดลึกในเวทีลูกผู้ชาย จากพิษการเมืองไทย - กัมพูชา
การปะทะกันระหว่าง "มวยไทย" และ "มวยกุนขแมร์" มิใช่เรื่องใหม่ หากย้อนกลับไปหลายปี กัมพูชาได้พยายามผลักดัน “กุนขแมร์” (Kun Khmer) หรือศิลปะการต่อสู้ประจำชาติให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก พร้อมทั้งเรียกร้องความชอบธรรมในประวัติศาสตร์ว่าศิลปะป้องกันตัวของพวกเขาเป็นต้นกำเนิดของมวยไทย ไม่ใช่เพียงศิลปะร่วมภูมิภาคอย่างที่คนไทยเชื่อ
ข้อเรียกร้องนี้กลายเป็นเปลวไฟที่จุดความรู้สึก “รักชาติ” ของทั้งสองฝ่ายให้ลุกโชน และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ของรัฐ โดยเฉพาะในกัมพูชา ที่รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปโยงกับประเด็นชาตินิยมผ่านนโยบายวัฒนธรรมและกีฬา
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือช่วงปี 2023–2024 เมื่อทางกัมพูชาประกาศเปลี่ยนชื่อประเภทการแข่งขัน "มวยไทย" ในมหกรรมกีฬาระดับชาติของตนให้เป็น "กุนขแมร์" อย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งประกาศไม่ใช้คำว่า “Muay Thai” ในสนามการแข่งขันระดับนานาชาติที่ตนจัดขึ้นอีกต่อไป แม้จะได้รับแรงกดดันจากนักกีฬาและองค์กรกีฬาบางฝ่ายในระดับโลกก็ตาม
เมื่อมวยกลายเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ
การแบนมวยไทยจากเวทีการแข่งขันกุนขแมร์ในประเทศกัมพูชาล่าสุด จากสาเหตุของการมีข้อพิพาททางชายแดน จากผู้นำของกัมพูชานั้นเป็นการนำเอากีฬามาผูกกับการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้มีการวิเคราะห์เอาไว้ว่าจะส่งผลกระทบต่อวงการมวยกุนขแมร์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะว่า มวยไทยนั้นจัดว่าเป็น "มวยแม่เหล็ก" ที่มวยกุนขแมร์ขาดไม่ได้เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นนักมวยไทยชาวไทยแท้ๆเอง หรือ นักมวยไทยชาวต่างชาติ ต่างเป็นนักสู้ที่วงการมวยกุนแขมร์ต้องการนำเข้ามาแข่งกับนักมวยกุนขแมร์
เวทีลูกผู้ชายถูกกลืนด้วยการเมือง
การที่นักมวยไทยถูกห้ามลงแข่งในรายการมวยกุนขแมร์นั้น ไม่เพียงกระทบต่อตัวนักกีฬาในเชิงปฏิบัติ แต่ยังเป็นการ “ปิดเวที” ที่ควรเป็นพื้นที่แห่งการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ยิ่งไปกว่านั้น นักมวยไทยจำนวนมากที่ยึดเวทีต่างชาติเป็นช่องทางสร้างรายได้ และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ต่างต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางอาชีพ
อีกด้านหนึ่ง นักกีฬากัมพูชาเองก็ต้องสูญเสียโอกาสในการวัดฝีมือกับนักมวยไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลก การแข่งขันที่ดีควรมาจากการเปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างศาสตร์ ไม่ใช่ปิดกั้นเพื่อปกป้องความรู้สึกทางการเมืองของผู้นำ และแน่นอนว่าผู้จัดมวยกุนขแมร์นั้นคงต้องปวดหัวในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ทั้งในเรื่องสปอนเซอร์ที่น่าจะลดลงเนื่องจากความน่าสนใจของการชกลดลงมาก แต่ชาวกัมพูชาหลายๆคนก็บอกว่า นี่เป็นโอกาศอันดีที่จะนำเอานักมวยกุนขแมร์ที่ยังไม่มีชื่อเสียงมาชกทดแทนนักมวยไทย ซึ่งก็จะทำให้นักมวยกุนขแมร์ของคนกันพูชานั้น มีพื้นที่ให้ได้แสดงฝีมือมากขึ้นนั้นเอง ซึ่งก็นำมายังข้อถกเถียงมากมายในขณะนี้