
ประเทศจีนกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐอย่างมหาศาล ทั้งใน
ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่วิกฤติไปแล้ว และ
ภาคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงของ "ฟองสบู่แตก" ความคล้ายคลึงระหว่างสองวิกฤตินี้ชวนให้จับตาดูอย่างใกล้ชิด
ความเหมือน: อุดหนุนเกินพอดี ก่อเกิด "ฟองสบู่"
ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และ EV ในจีนต่างได้รับแรงหนุนมหาศาลจากภาครัฐ ซึ่งนำไปสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินจริงและปัญหา
อุปทานล้นตลาด (overcapacity)
- อสังหาริมทรัพย์: รัฐบาลท้องถิ่นพึ่งพารายได้จากการขายที่ดินอย่างหนัก ขณะที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็กู้ยืมเงินเพื่อขยายโครงการอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการสนับสนุนด้านการเงินและนโยบายที่เอื้ออำนวย ทำให้เกิดการ
เก็งกำไร และ
สร้างบ้านเกินความต้องการ ผู้คนจำนวนมากทุ่มเงินเก็บทั้งชีวิตไปกับการซื้อบ้านที่บางครั้งก็สร้างไม่เสร็จ หรือราคาตกฮวบ
- ยานยนต์ไฟฟ้า (EV): รัฐบาลจีนอัดฉีดเงินอุดหนุนกว่า 2.3 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 8.5 ล้านล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2009-2023 รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีและการให้สิทธิ์พิเศษต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตและการบริโภค นโยบายเหล่านี้ทำให้เกิดผู้ผลิต EV รายใหม่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว (กว่า 200 แบรนด์) และเกิดการ
ผลิตเกินความต้องการอย่างมหาศาล นำไปสู่
สงครามราคา ที่ดุเดือดในตลาด
ความแตกต่าง: บริบทและผลกระทบ
แม้จะมีจุดร่วมคือการอุดหนุนที่นำไปสู่ปัญหา แต่ลักษณะและผลกระทบของวิกฤติทั้งสองก็มีความแตกต่างกัน
- อสังหาริมทรัพย์: วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ
ความมั่งคั่งของครัวเรือน อย่างรุนแรง เนื่องจากบ้านเป็นทรัพย์สินหลักของคนจีนส่วนใหญ่ การที่โครงการสร้างไม่เสร็จหรือราคาบ้านตก ทำให้เกิดการ
ประท้วงการไม่จ่ายหนี้จำนอง (mortgage boycotts) และบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างหนัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
- ยานยนต์ไฟฟ้า (EV): วิกฤติ EV มีลักษณะเป็น
สงครามราคา ที่บีบให้ผู้ผลิตต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทำให้
กำไรลดลง และอาจนำไปสู่การ
ล้มละลายของผู้ผลิตรายย่อย สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ
พนักงานในอุตสาหกรรม ที่อาจถูกเลิกจ้างหรือประสบปัญหาค่าจ้างที่ลดลง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว การที่ราคารถ EV ถูกลงเป็นข้อดีในระยะสั้น
ผลกระทบทางสังคมและความรู้สึกของประชาชน
- ภาคอสังหาริมทรัพย์: ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ
เจ้าของบ้าน ที่ต้องแบกรับภาระหนี้ทั้งที่บ้านไม่เสร็จหรือราคาตก บางคนเป็นคนทำงานในภาคก่อสร้างก็ได้รับผลกระทบจากการว่างงานและความไม่มั่นคงทางรายได้ ความรู้สึกของประชาชนเต็มไปด้วยความ
ผิดหวัง ไม่พอใจ และไม่เชื่อมั่น ในตลาดและรัฐบาล
- ภาคยานยนต์ไฟฟ้า (EV):
ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรม EV และคู่ค้า: การแข่งขันที่รุนแรงและสงครามราคาทำให้บริษัทหลายแห่งประสบปัญหาขาดทุน ส่งผลให้เกิดการ
ปลดพนักงาน ลดค่าจ้าง หรือแม้กระทั่ง
ปิดกิจการ พนักงานที่ได้รับผลกระทบมีความรู้สึก
โกรธและสิ้นหวัง เนื่องจากถูกละเลยและไม่มีเงินชดเชย
ประชาชนทั่วไป: แม้จะได้รับประโยชน์จากราคารถ EV ที่ถูกลง แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับ
คุณภาพ แบตเตอรี่ และความปลอดภัย ของรถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ที่ซื้อรถไปแล้วก็อาจกังวลเรื่อง
ราคาขายต่อ ที่ตกฮวบจากสงครามราคา ขณะเดียวกัน สื่อของรัฐก็เริ่มแสดงความกังวลว่าสงครามราคาจะ
กระทบรายได้ของคนทำงาน และทำให้เศรษฐกิจไม่ยั่งยืน
ผลกระทบทางสังคม: ประชาชนบางส่วนมองว่าการอุดหนุน EV ช่วยลดมลพิษและส่งเสริมนวัตกรรม แต่หลายคนก็เริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลการเติบโตที่พึ่งพาการอุดหนุนมากเกินไป
สรุป
วิกฤติ EV ในจีนเป็นภาพสะท้อนของบทเรียนจากอสังหาริมทรัพย์ นั่นคือการที่
การอุดหนุนของภาครัฐที่มากเกินไป และขาดการกำกับดูแลที่เหมาะสม สามารถนำไปสู่
ฟองสบู่ และ
อุปทานล้นตลาด ได้ในที่สุด แม้ผลกระทบโดยตรงจะต่างกัน แต่อันตรายของการปล่อยให้ตลาดเติบโตอย่างไม่สมดุลยังคงเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของจีน
ก็ยังจะต้องรอดูต่อไปว่ารัฐบาลเค้าจะแก้ไขอย่างไร แล้วเราจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
วิกฤติฟองสบู่ EV จีน: บทเรียนจากอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังฉายซ้ำ?
ประเทศจีนกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐอย่างมหาศาล ทั้งใน ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่วิกฤติไปแล้ว และ ภาคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงของ "ฟองสบู่แตก" ความคล้ายคลึงระหว่างสองวิกฤตินี้ชวนให้จับตาดูอย่างใกล้ชิด
ความเหมือน: อุดหนุนเกินพอดี ก่อเกิด "ฟองสบู่"
ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และ EV ในจีนต่างได้รับแรงหนุนมหาศาลจากภาครัฐ ซึ่งนำไปสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินจริงและปัญหา อุปทานล้นตลาด (overcapacity)
- อสังหาริมทรัพย์: รัฐบาลท้องถิ่นพึ่งพารายได้จากการขายที่ดินอย่างหนัก ขณะที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็กู้ยืมเงินเพื่อขยายโครงการอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการสนับสนุนด้านการเงินและนโยบายที่เอื้ออำนวย ทำให้เกิดการ เก็งกำไร และ สร้างบ้านเกินความต้องการ ผู้คนจำนวนมากทุ่มเงินเก็บทั้งชีวิตไปกับการซื้อบ้านที่บางครั้งก็สร้างไม่เสร็จ หรือราคาตกฮวบ
- ยานยนต์ไฟฟ้า (EV): รัฐบาลจีนอัดฉีดเงินอุดหนุนกว่า 2.3 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 8.5 ล้านล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2009-2023 รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีและการให้สิทธิ์พิเศษต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตและการบริโภค นโยบายเหล่านี้ทำให้เกิดผู้ผลิต EV รายใหม่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว (กว่า 200 แบรนด์) และเกิดการ ผลิตเกินความต้องการอย่างมหาศาล นำไปสู่ สงครามราคา ที่ดุเดือดในตลาด
ความแตกต่าง: บริบทและผลกระทบ
แม้จะมีจุดร่วมคือการอุดหนุนที่นำไปสู่ปัญหา แต่ลักษณะและผลกระทบของวิกฤติทั้งสองก็มีความแตกต่างกัน
- อสังหาริมทรัพย์: วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ความมั่งคั่งของครัวเรือน อย่างรุนแรง เนื่องจากบ้านเป็นทรัพย์สินหลักของคนจีนส่วนใหญ่ การที่โครงการสร้างไม่เสร็จหรือราคาบ้านตก ทำให้เกิดการ ประท้วงการไม่จ่ายหนี้จำนอง (mortgage boycotts) และบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างหนัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
- ยานยนต์ไฟฟ้า (EV): วิกฤติ EV มีลักษณะเป็น สงครามราคา ที่บีบให้ผู้ผลิตต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทำให้ กำไรลดลง และอาจนำไปสู่การ ล้มละลายของผู้ผลิตรายย่อย สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ พนักงานในอุตสาหกรรม ที่อาจถูกเลิกจ้างหรือประสบปัญหาค่าจ้างที่ลดลง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้บริโภคทั่วไปแล้ว การที่ราคารถ EV ถูกลงเป็นข้อดีในระยะสั้น
ผลกระทบทางสังคมและความรู้สึกของประชาชน
- ภาคอสังหาริมทรัพย์: ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ เจ้าของบ้าน ที่ต้องแบกรับภาระหนี้ทั้งที่บ้านไม่เสร็จหรือราคาตก บางคนเป็นคนทำงานในภาคก่อสร้างก็ได้รับผลกระทบจากการว่างงานและความไม่มั่นคงทางรายได้ ความรู้สึกของประชาชนเต็มไปด้วยความ ผิดหวัง ไม่พอใจ และไม่เชื่อมั่น ในตลาดและรัฐบาล
- ภาคยานยนต์ไฟฟ้า (EV):
ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรม EV และคู่ค้า: การแข่งขันที่รุนแรงและสงครามราคาทำให้บริษัทหลายแห่งประสบปัญหาขาดทุน ส่งผลให้เกิดการ ปลดพนักงาน ลดค่าจ้าง หรือแม้กระทั่ง ปิดกิจการ พนักงานที่ได้รับผลกระทบมีความรู้สึก โกรธและสิ้นหวัง เนื่องจากถูกละเลยและไม่มีเงินชดเชย
ประชาชนทั่วไป: แม้จะได้รับประโยชน์จากราคารถ EV ที่ถูกลง แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับ คุณภาพ แบตเตอรี่ และความปลอดภัย ของรถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ที่ซื้อรถไปแล้วก็อาจกังวลเรื่อง ราคาขายต่อ ที่ตกฮวบจากสงครามราคา ขณะเดียวกัน สื่อของรัฐก็เริ่มแสดงความกังวลว่าสงครามราคาจะ กระทบรายได้ของคนทำงาน และทำให้เศรษฐกิจไม่ยั่งยืน
ผลกระทบทางสังคม: ประชาชนบางส่วนมองว่าการอุดหนุน EV ช่วยลดมลพิษและส่งเสริมนวัตกรรม แต่หลายคนก็เริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลการเติบโตที่พึ่งพาการอุดหนุนมากเกินไป
สรุป
วิกฤติ EV ในจีนเป็นภาพสะท้อนของบทเรียนจากอสังหาริมทรัพย์ นั่นคือการที่ การอุดหนุนของภาครัฐที่มากเกินไป และขาดการกำกับดูแลที่เหมาะสม สามารถนำไปสู่ ฟองสบู่ และ อุปทานล้นตลาด ได้ในที่สุด แม้ผลกระทบโดยตรงจะต่างกัน แต่อันตรายของการปล่อยให้ตลาดเติบโตอย่างไม่สมดุลยังคงเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของจีน
ก็ยังจะต้องรอดูต่อไปว่ารัฐบาลเค้าจะแก้ไขอย่างไร แล้วเราจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง