เรื่องราวชีวิตที่ผมเคยเจอมา
วัยเด็กกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ตอนผมยังเด็ก ประมาณอนุบาล ผมชอบดูละครเรื่อง "องค์บาก" มาก ก็เลยเลียนแบบโดยการเล่นต่อสู้กับเพื่อน แต่เพื่อนผมดันมี มีดเหลาดินสอ อยู่ในมือ ผมกำลังจะชกเพื่อนพอดี เพื่อนก็ฟันมาที่มือผม ทำให้เกิดแผลขึ้นและมี เลือดไหล ตอนนี้ก็ยังเป็น แผลเป็น ที่หลังมืออยู่ครับ เพื่อนที่ทำผมก็โดนคุณครูลงโทษ แล้วภาพก็ตัดไปว่าผมต้องไป โรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม เพื่อนคนนั้นก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผมมาตลอด
ถัดมาอีกหน่อย ตอนไปเล่นน้ำที่ลำห้วยกับเพื่อน 3 คน คุณแม่บอกให้ขึ้นจากน้ำ แต่ผมไม่ฟัง ด้วยความที่น้ำเชี่ยว ผมก็เลย กลิ้งไปกับน้ำ พยายามจะยืนขึ้นแต่ก็ยังไหลไปเรื่อยๆ ตอนนั้นคิดว่าคงไม่รอดแล้ว แต่สุดท้ายก็สามารถยืนขึ้นได้โดยไม่ล้ม พอขึ้นฝั่งได้ คุณแม่ก็ ตี ผมไป หลายที ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกเจ็บมากครับ
บาดเจ็บในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่
พอผมอยู่ ม.3 ช่วงปิดเทอม ได้ไปช่วยงานคุณแม่ที่ต่างจังหวัด วันนั้นมีการขุดบ่อและมี ปลาดุก จำนวนมาก ผมกับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ช่วยกันจับปลาดุก เพื่อนผมมีความชำนาญในการจับ แต่ผมไม่เคยจับจึงรู้สึกกลัว และเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เงี่ยงปลาดุก มา ตำที่มือ ผม ทำให้ เลือดไหล เป็นแผลยาวประมาณ 1 เซนติเมตรที่หน้ามือ ไม่ลึกมาก แต่แสบมากเมื่อโดนน้ำ ที่แปลกใจคือตอนนั้นผมไม่ได้ไปหาหมอ แต่แผลก็ค่อยๆ หายไปกลายเป็น แผลเป็น ที่เห็นได้ชัดเจน
พอโตขึ้นอีกหน่อย ผมได้กลับไปช่วยงานคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอยู่ที่นั่น เพราะอีกวันจะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเปิดเทอม วันนั้นมีการรื้อถอนโครงสร้างอาคาร ตั้งแต่หลังคา เหล็ก ไม้ ไปจนถึงสายไฟ ขณะที่มีการรื้อถอนเหล็กโดยใช้ลูกหมูตัดรอยเชื่อมแล้วถีบเหล็กลงมา ผมคิดว่าตัวเองอยู่ห่างพอแล้ว แต่ เหล็กกล่องยาวประมาณ 5 เมตร ที่ถูกถีบลงมาจากความสูงของหลังคา 2 ชั้น ก็ ตกใส่หน้าอก ผม ผมนอนดิ้นด้วยความจุก โชคดีที่ไม่โดนหัว แต่ผมก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาลทันทีครับ วันรุ่งขึ้นตอนเดินทางกลับโดยรถทัวร์ประมาณ 6 ชั่วโมง ผมรู้สึกเจ็บหน้าอก เลยไป เอกซเรย์ พบว่าแค่ อักเสบ ไม่ได้เป็นอะไรมาก
ต่อมา วันที่ผมออกกำลังกายโดยการวิ่ง ผมมีอาการไออยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าผมเป็น ไซนัสอักเสบ มาประมาณหนึ่งเดือน ไปพบหมอก็โดนดุว่าทำไมถึงปล่อยไว้นานขนาดนี้
ช่วงวัยเรียน ผมมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นเกมอย่างเดียว จนกระทั่งวันหนึ่งมี ไข้ขึ้น แต่ผมก็ยังคงเล่นเกมต่อไปทั้งที่ป่วย จนคุณยายเห็นว่าหน้าผมผิดปกติ มีสีแดง ผื่นขึ้นตามคอและหลัง จึงขอให้คนข้างบ้านช่วยขับรถไปส่งที่คลินิก หมอตรวจแล้วใช้สายยางรัดแขน ปรากฏว่ามีผื่นขึ้น จึงแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาล เพราะสงสัยว่าเป็น ไข้เลือดออก หลังจากนั้นไปโรงพยาบาล ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็น ไวรัส ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่โดนเจาะเลือดบ่อยมากจนแขนเป็นจ้ำ และได้ทานยาต้านไวรัส
ชีวิตในกรุงเทพฯ และการต่อสู้กับโรคเรื้อรัง
เหตุการณ์ต่อมาคือตอนผมมาอยู่กรุงเทพฯ ในช่วง 2 ปีแรกใช้ชีวิตได้ปกติ แต่ไม่ปกติเรื่องการกิน ผมไม่กินข้าวเช้าและเที่ยง แต่จะกินมื้อเดียวคือมื้อเย็น สิ่งที่ชอบกินคือน้ำเต้าหู้กับข้าวไข่เจียว กินไปเล่นเกมไป นอนตอนเช้า ตื่นตอนเที่ยง พอเข้าปีที่สาม อาการก็เริ่มปรากฏ มีเสมหะ เจ็บคอบ่อย ไอ เป็นปัญหาเรื้อรัง ไปรักษามาหลายที่ แต่ก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่ทราบว่าอาการเป็นอย่างไรแน่ เพราะไปแต่ละที่ไม่เกิน 2-3 ครั้ง ช่วงนั้นได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น กรดไหลย้อน ไซนัสอักเสบ และ ภูมิแพ้ ผมก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ หลังเริ่มรู้ว่ากินยาไซนัสแล้วอาการดีขึ้น แต่ภายหลังยาก็รักษาไม่ได้ พอยาหมดอาการก็กลับมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดคือ มึนหัวตื้อ หัวไม่โล่ง
โควิด-19 และประสบการณ์การผ่าตัด
ต่อมาเกิดเหตุการณ์ โควิดระบาด ในจังหวัดใหญ่ แฟนผมติดโควิด ผมก็ติดด้วย อาการที่แสดงออกมาคือ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รสชาติ เหนื่อยล้า ปวดเนื้อปวดตัว ผมพยายามติดต่อหาสายด่วนโควิดเพื่อหาที่กักตัว อดทนไปได้ประมาณสามสี่วัน พอดีแฟนทำงานอยู่โรงพยาบาล เลยได้สิทธิ์กักตัวที่โรงแรม ผมก็ได้รับสิทธิ์ด้วย ได้ไปพักอยู่กับชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะอายุมากกว่า ดูนิสัยดี และดูมีฐานะ สั่งของมากินเยอะมาก แต่ความซวยคือไม่ได้ซื้อสบู่และยาสระผมไป ต้องขอยืมใช้ สุดท้ายก็หายดี
ต่อมาผมได้ย้ายที่อยู่ไปที่แห่งหนึ่ง พอเริ่มย้ายมา โควิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และอาการของผมก็หนักขึ้น อาการที่ทรมานที่สุดคือ ปวดใบหน้า หัวตื้อๆ คิดอะไรไม่ออก อาการเป็นอยู่หลายเดือน ต้องกินยาพาราเพื่อระงับความเจ็บ การล้างจมูกก็เหมือนจะล้างไม่ถึง ทีนี้มีโอกาสรักษาอยู่นาน จนโชคดีที่มีการ ผ่าตัดไซนัส ซึ่งก็น่ากลัวเพราะการผ่าตัดไซนัสอาจทำให้ตาบอดได้ แต่ผมก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้ามันทำให้หาย ผมจึงเข้ารับการผ่าตัด ดมยาสลบ รู้สึกชอบช่วงที่ค่อยๆ หลับไป ตื่นมาเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านไป 10 นาที แต่ความจริงคือ 3 ชั่วโมง หลังจากผ่าตัด ความรู้สึกของจมูกตอนนี้คือไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่ามันกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น ไม่ชิน ต้องปรับตัว คนที่น่าเจ็บปวดที่สุดน่าจะเป็นคุณแม่ เพราะตอนที่ผมกำลังจะตื่นและยังมียาฤทธิ์ของยาสลบอยู่ คุณแม่บอกว่าผมพูดว่า "ผมเจ็บมาก เจ็บมาก" จนคุณแม่ร้องไห้ หลังจากนั้นครอบครัวของผมก็มาดูแลจนอาการดีขึ้น ผมก็กลับไปอยู่ที่เดิม
แต่ด้วยความซวยหรืออะไรบางอย่าง ผมเดินๆ อยู่ แผล ที่ยังไม่แห้งก็ เปิด ทำให้ เลือดพุ่งไหลลงคอ คนมาดูเต็มไปหมด รถฉุกเฉินก็มารับ เรื่องที่แย่คือเลือดไหลลงคอ ทำให้ผมต้อง อ้วกทิ้ง ตลอดทาง จนไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลได้ทำการเอาแท่งห้ามเลือดมาถามว่าจะให้ยัดข้างไหน ซึ่งผมไม่รู้เลยบอกให้ยัดข้างซ้าย เจ็บมาก เลือดไม่ยอมหยุดไหลตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ไหลออกมาลงคอ บ้วนทิ้งทุกๆ 5-10 นาที ตอนนั้นคิดว่าจะตายแล้ว พอมันบ่อยเข้าก็เรียกพยาบาลเพราะไม่ไหวแล้ว แต่พยาบาลบอกว่าหมอจะมาพรุ่งนี้ ทำให้ต้องอดทนกัดฟัน สุดท้ายเลือดก็หยุดไหลตอนเที่ยงคืน และได้นอนพักผ่อน คิดว่าเลือดจะหมดตัวแล้ว ดีที่ยังได้นอน
ตอนเช้าตื่นมา ผมอยากเข้าห้องน้ำ ให้เพื่อนพาไป ปรากฏว่าพอกำลังฉี่ ภาพตัด! หัวฟาดกับประตูห้องน้ำ! เป็นลมไปเลย เพราะเสียเลือดเยอะ พยาบาลและคนไข้คนอื่นๆ มาเต็มเลย นั่งรถเข็นอุ้มผมมานอนที่เตียง (จริงๆ แล้วตอนนอนอยู่บนเตียงตอนที่เลือดไหลออกเยอะๆ ก็มีกรวยฉี่ แต่ผมรู้สึกอายเลยอยากไปห้องน้ำ เลยเจอดีเลย) วันต่อมาก็ต้องมา ผ่าตัดเย็บแผล ซึ่งก็ดมยาสลบเหมือนเดิม แต่ก็เจ็บเหมือนเดิม ครั้งนี้น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็รักษาอยู่ข้างนอกโรงพยาบาล เพราะนอนมาเกือบอาทิตย์แล้ว จนกลับไปรักษาที่ที่ต้องอยู่ ก็ได้พักยาว
ปัจจุบันกับอาการเจ็บป่วยที่ยังคงอยู่
และไม่นานหลังจากนั้นก็ ติดโควิดอีก แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยหนัก ช่วงเช้าพอไหว แต่ช่วงเที่ยงต้องนอน ถ้าไม่ได้พักอาการจะแย่ ซึ่งผมก็อดทนจนหายเอง
ทีนี้พอครบเวลา ก็ต้องย้ายไปอยู่อีกที่ ใช้เวลาที่แห่งนี้ได้ 2 ปี พอเข้าปีที่สอง เกิดอาการ แสบท้อง มีการรักษาเป็น กรดไหลย้อน หายไปพักหนึ่ง แต่อยู่มาวันหนึ่งอาการ มวลท้อง กลับมาอีก กินยาก็ไม่หาย จึงตัดสินใจรักษาโดยการ ส่องกล้อง ซึ่งรู้สึกอาย แต่เพื่อการรักษา ผมก็ไปตามนัดหมอ งดอาหารบางประเภทและทำตามแพทย์สั่ง ดมยาสลบ ตื่นมาอีกที หมอบอกว่า มีก้อนเนื้อ แต่ไม่อันตราย เอาออกให้แล้ว และที่เหลือเชื่อคือ อาการเจ็บแสบมวลท้องหายไปเลย
ตอนนี้อาการไซนัสก็ยังเป็นมาเรื่อยๆ อักเสบบ้าง ดีขึ้นบ้าง แต่ผมก็เข้าใจ เพราะผ่าตัดแล้วไม่เหมือนเดิม แต่อาการที่ปวดหน้าแบบปวดมากๆ ก็ลดลงครับ และเข้าปีที่สามตอนที่กำลังพิมพ์เรื่องราวทั้งหมดนี้ ผมมีอาการเป็น ไข้อยู่สามวัน จึงตัดสินใจไปตรวจ ปรากฏว่า เป็นไข้เลือดออก ซึ่งเรื่องที่ตลกก็คือ ก่อนจะมีอาการ มีการพ่นยาฆ่ายุง ซึ่งห้องผมเป็นคนเปิดประตูให้เจ้าหน้าที่พ่นยาอยู่ห้องเดียว! คิดว่าตัวเองเป็นไซนัสเพราะมีอาการคล้ายๆกันทุกวันนี้แยะไม่ออกเลยเพราะบางทีเวลาป่วยมันเชื่อมกันหมด หู คอ จมูก ทั้ง เป็นไข้บ่อย เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดกระดูก ทำอะไรก็เหนื่อย กินแต่ยาพารา อยากจะอ้วก แสบท้อง! ตอนนี้ก็รอแพทย์บอกให้ไปตรวจเลือดอีกรอบแล้วมาดูว่าจะต้องนอนโรงพยาบาลไหม ซึ่งถ้าทุกคนได้อ่านแล้ว ผมอยากบอกว่า สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ผมโชคดีตรงที่ไม่สูบบุหรี่และกินเหล้า ถ้าทำมันน่าจะหนักกว่านี้ ตอนนี้ก็อยากให้มันหายๆ ไวๆ ทรมานเหมือนกันครับ แต่ก็ตราบใดที่ยังบ่นไหว และมีแรง ยังไงก็ต้องไปต่อครับ
ดวง โชค ซุ่มซ่าม
วัยเด็กกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ตอนผมยังเด็ก ประมาณอนุบาล ผมชอบดูละครเรื่อง "องค์บาก" มาก ก็เลยเลียนแบบโดยการเล่นต่อสู้กับเพื่อน แต่เพื่อนผมดันมี มีดเหลาดินสอ อยู่ในมือ ผมกำลังจะชกเพื่อนพอดี เพื่อนก็ฟันมาที่มือผม ทำให้เกิดแผลขึ้นและมี เลือดไหล ตอนนี้ก็ยังเป็น แผลเป็น ที่หลังมืออยู่ครับ เพื่อนที่ทำผมก็โดนคุณครูลงโทษ แล้วภาพก็ตัดไปว่าผมต้องไป โรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม เพื่อนคนนั้นก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผมมาตลอด
ถัดมาอีกหน่อย ตอนไปเล่นน้ำที่ลำห้วยกับเพื่อน 3 คน คุณแม่บอกให้ขึ้นจากน้ำ แต่ผมไม่ฟัง ด้วยความที่น้ำเชี่ยว ผมก็เลย กลิ้งไปกับน้ำ พยายามจะยืนขึ้นแต่ก็ยังไหลไปเรื่อยๆ ตอนนั้นคิดว่าคงไม่รอดแล้ว แต่สุดท้ายก็สามารถยืนขึ้นได้โดยไม่ล้ม พอขึ้นฝั่งได้ คุณแม่ก็ ตี ผมไป หลายที ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกเจ็บมากครับ
บาดเจ็บในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่
พอผมอยู่ ม.3 ช่วงปิดเทอม ได้ไปช่วยงานคุณแม่ที่ต่างจังหวัด วันนั้นมีการขุดบ่อและมี ปลาดุก จำนวนมาก ผมกับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ช่วยกันจับปลาดุก เพื่อนผมมีความชำนาญในการจับ แต่ผมไม่เคยจับจึงรู้สึกกลัว และเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เงี่ยงปลาดุก มา ตำที่มือ ผม ทำให้ เลือดไหล เป็นแผลยาวประมาณ 1 เซนติเมตรที่หน้ามือ ไม่ลึกมาก แต่แสบมากเมื่อโดนน้ำ ที่แปลกใจคือตอนนั้นผมไม่ได้ไปหาหมอ แต่แผลก็ค่อยๆ หายไปกลายเป็น แผลเป็น ที่เห็นได้ชัดเจน
พอโตขึ้นอีกหน่อย ผมได้กลับไปช่วยงานคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอยู่ที่นั่น เพราะอีกวันจะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเปิดเทอม วันนั้นมีการรื้อถอนโครงสร้างอาคาร ตั้งแต่หลังคา เหล็ก ไม้ ไปจนถึงสายไฟ ขณะที่มีการรื้อถอนเหล็กโดยใช้ลูกหมูตัดรอยเชื่อมแล้วถีบเหล็กลงมา ผมคิดว่าตัวเองอยู่ห่างพอแล้ว แต่ เหล็กกล่องยาวประมาณ 5 เมตร ที่ถูกถีบลงมาจากความสูงของหลังคา 2 ชั้น ก็ ตกใส่หน้าอก ผม ผมนอนดิ้นด้วยความจุก โชคดีที่ไม่โดนหัว แต่ผมก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาลทันทีครับ วันรุ่งขึ้นตอนเดินทางกลับโดยรถทัวร์ประมาณ 6 ชั่วโมง ผมรู้สึกเจ็บหน้าอก เลยไป เอกซเรย์ พบว่าแค่ อักเสบ ไม่ได้เป็นอะไรมาก
ต่อมา วันที่ผมออกกำลังกายโดยการวิ่ง ผมมีอาการไออยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าผมเป็น ไซนัสอักเสบ มาประมาณหนึ่งเดือน ไปพบหมอก็โดนดุว่าทำไมถึงปล่อยไว้นานขนาดนี้
ช่วงวัยเรียน ผมมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นเกมอย่างเดียว จนกระทั่งวันหนึ่งมี ไข้ขึ้น แต่ผมก็ยังคงเล่นเกมต่อไปทั้งที่ป่วย จนคุณยายเห็นว่าหน้าผมผิดปกติ มีสีแดง ผื่นขึ้นตามคอและหลัง จึงขอให้คนข้างบ้านช่วยขับรถไปส่งที่คลินิก หมอตรวจแล้วใช้สายยางรัดแขน ปรากฏว่ามีผื่นขึ้น จึงแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาล เพราะสงสัยว่าเป็น ไข้เลือดออก หลังจากนั้นไปโรงพยาบาล ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็น ไวรัส ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่โดนเจาะเลือดบ่อยมากจนแขนเป็นจ้ำ และได้ทานยาต้านไวรัส
ชีวิตในกรุงเทพฯ และการต่อสู้กับโรคเรื้อรัง
เหตุการณ์ต่อมาคือตอนผมมาอยู่กรุงเทพฯ ในช่วง 2 ปีแรกใช้ชีวิตได้ปกติ แต่ไม่ปกติเรื่องการกิน ผมไม่กินข้าวเช้าและเที่ยง แต่จะกินมื้อเดียวคือมื้อเย็น สิ่งที่ชอบกินคือน้ำเต้าหู้กับข้าวไข่เจียว กินไปเล่นเกมไป นอนตอนเช้า ตื่นตอนเที่ยง พอเข้าปีที่สาม อาการก็เริ่มปรากฏ มีเสมหะ เจ็บคอบ่อย ไอ เป็นปัญหาเรื้อรัง ไปรักษามาหลายที่ แต่ก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่ทราบว่าอาการเป็นอย่างไรแน่ เพราะไปแต่ละที่ไม่เกิน 2-3 ครั้ง ช่วงนั้นได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น กรดไหลย้อน ไซนัสอักเสบ และ ภูมิแพ้ ผมก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ หลังเริ่มรู้ว่ากินยาไซนัสแล้วอาการดีขึ้น แต่ภายหลังยาก็รักษาไม่ได้ พอยาหมดอาการก็กลับมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดคือ มึนหัวตื้อ หัวไม่โล่ง
โควิด-19 และประสบการณ์การผ่าตัด
ต่อมาเกิดเหตุการณ์ โควิดระบาด ในจังหวัดใหญ่ แฟนผมติดโควิด ผมก็ติดด้วย อาการที่แสดงออกมาคือ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รสชาติ เหนื่อยล้า ปวดเนื้อปวดตัว ผมพยายามติดต่อหาสายด่วนโควิดเพื่อหาที่กักตัว อดทนไปได้ประมาณสามสี่วัน พอดีแฟนทำงานอยู่โรงพยาบาล เลยได้สิทธิ์กักตัวที่โรงแรม ผมก็ได้รับสิทธิ์ด้วย ได้ไปพักอยู่กับชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะอายุมากกว่า ดูนิสัยดี และดูมีฐานะ สั่งของมากินเยอะมาก แต่ความซวยคือไม่ได้ซื้อสบู่และยาสระผมไป ต้องขอยืมใช้ สุดท้ายก็หายดี
ต่อมาผมได้ย้ายที่อยู่ไปที่แห่งหนึ่ง พอเริ่มย้ายมา โควิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และอาการของผมก็หนักขึ้น อาการที่ทรมานที่สุดคือ ปวดใบหน้า หัวตื้อๆ คิดอะไรไม่ออก อาการเป็นอยู่หลายเดือน ต้องกินยาพาราเพื่อระงับความเจ็บ การล้างจมูกก็เหมือนจะล้างไม่ถึง ทีนี้มีโอกาสรักษาอยู่นาน จนโชคดีที่มีการ ผ่าตัดไซนัส ซึ่งก็น่ากลัวเพราะการผ่าตัดไซนัสอาจทำให้ตาบอดได้ แต่ผมก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้ามันทำให้หาย ผมจึงเข้ารับการผ่าตัด ดมยาสลบ รู้สึกชอบช่วงที่ค่อยๆ หลับไป ตื่นมาเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านไป 10 นาที แต่ความจริงคือ 3 ชั่วโมง หลังจากผ่าตัด ความรู้สึกของจมูกตอนนี้คือไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่ามันกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น ไม่ชิน ต้องปรับตัว คนที่น่าเจ็บปวดที่สุดน่าจะเป็นคุณแม่ เพราะตอนที่ผมกำลังจะตื่นและยังมียาฤทธิ์ของยาสลบอยู่ คุณแม่บอกว่าผมพูดว่า "ผมเจ็บมาก เจ็บมาก" จนคุณแม่ร้องไห้ หลังจากนั้นครอบครัวของผมก็มาดูแลจนอาการดีขึ้น ผมก็กลับไปอยู่ที่เดิม
แต่ด้วยความซวยหรืออะไรบางอย่าง ผมเดินๆ อยู่ แผล ที่ยังไม่แห้งก็ เปิด ทำให้ เลือดพุ่งไหลลงคอ คนมาดูเต็มไปหมด รถฉุกเฉินก็มารับ เรื่องที่แย่คือเลือดไหลลงคอ ทำให้ผมต้อง อ้วกทิ้ง ตลอดทาง จนไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลได้ทำการเอาแท่งห้ามเลือดมาถามว่าจะให้ยัดข้างไหน ซึ่งผมไม่รู้เลยบอกให้ยัดข้างซ้าย เจ็บมาก เลือดไม่ยอมหยุดไหลตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ไหลออกมาลงคอ บ้วนทิ้งทุกๆ 5-10 นาที ตอนนั้นคิดว่าจะตายแล้ว พอมันบ่อยเข้าก็เรียกพยาบาลเพราะไม่ไหวแล้ว แต่พยาบาลบอกว่าหมอจะมาพรุ่งนี้ ทำให้ต้องอดทนกัดฟัน สุดท้ายเลือดก็หยุดไหลตอนเที่ยงคืน และได้นอนพักผ่อน คิดว่าเลือดจะหมดตัวแล้ว ดีที่ยังได้นอน
ตอนเช้าตื่นมา ผมอยากเข้าห้องน้ำ ให้เพื่อนพาไป ปรากฏว่าพอกำลังฉี่ ภาพตัด! หัวฟาดกับประตูห้องน้ำ! เป็นลมไปเลย เพราะเสียเลือดเยอะ พยาบาลและคนไข้คนอื่นๆ มาเต็มเลย นั่งรถเข็นอุ้มผมมานอนที่เตียง (จริงๆ แล้วตอนนอนอยู่บนเตียงตอนที่เลือดไหลออกเยอะๆ ก็มีกรวยฉี่ แต่ผมรู้สึกอายเลยอยากไปห้องน้ำ เลยเจอดีเลย) วันต่อมาก็ต้องมา ผ่าตัดเย็บแผล ซึ่งก็ดมยาสลบเหมือนเดิม แต่ก็เจ็บเหมือนเดิม ครั้งนี้น่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็รักษาอยู่ข้างนอกโรงพยาบาล เพราะนอนมาเกือบอาทิตย์แล้ว จนกลับไปรักษาที่ที่ต้องอยู่ ก็ได้พักยาว
ปัจจุบันกับอาการเจ็บป่วยที่ยังคงอยู่
และไม่นานหลังจากนั้นก็ ติดโควิดอีก แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยหนัก ช่วงเช้าพอไหว แต่ช่วงเที่ยงต้องนอน ถ้าไม่ได้พักอาการจะแย่ ซึ่งผมก็อดทนจนหายเอง
ทีนี้พอครบเวลา ก็ต้องย้ายไปอยู่อีกที่ ใช้เวลาที่แห่งนี้ได้ 2 ปี พอเข้าปีที่สอง เกิดอาการ แสบท้อง มีการรักษาเป็น กรดไหลย้อน หายไปพักหนึ่ง แต่อยู่มาวันหนึ่งอาการ มวลท้อง กลับมาอีก กินยาก็ไม่หาย จึงตัดสินใจรักษาโดยการ ส่องกล้อง ซึ่งรู้สึกอาย แต่เพื่อการรักษา ผมก็ไปตามนัดหมอ งดอาหารบางประเภทและทำตามแพทย์สั่ง ดมยาสลบ ตื่นมาอีกที หมอบอกว่า มีก้อนเนื้อ แต่ไม่อันตราย เอาออกให้แล้ว และที่เหลือเชื่อคือ อาการเจ็บแสบมวลท้องหายไปเลย
ตอนนี้อาการไซนัสก็ยังเป็นมาเรื่อยๆ อักเสบบ้าง ดีขึ้นบ้าง แต่ผมก็เข้าใจ เพราะผ่าตัดแล้วไม่เหมือนเดิม แต่อาการที่ปวดหน้าแบบปวดมากๆ ก็ลดลงครับ และเข้าปีที่สามตอนที่กำลังพิมพ์เรื่องราวทั้งหมดนี้ ผมมีอาการเป็น ไข้อยู่สามวัน จึงตัดสินใจไปตรวจ ปรากฏว่า เป็นไข้เลือดออก ซึ่งเรื่องที่ตลกก็คือ ก่อนจะมีอาการ มีการพ่นยาฆ่ายุง ซึ่งห้องผมเป็นคนเปิดประตูให้เจ้าหน้าที่พ่นยาอยู่ห้องเดียว! คิดว่าตัวเองเป็นไซนัสเพราะมีอาการคล้ายๆกันทุกวันนี้แยะไม่ออกเลยเพราะบางทีเวลาป่วยมันเชื่อมกันหมด หู คอ จมูก ทั้ง เป็นไข้บ่อย เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดกระดูก ทำอะไรก็เหนื่อย กินแต่ยาพารา อยากจะอ้วก แสบท้อง! ตอนนี้ก็รอแพทย์บอกให้ไปตรวจเลือดอีกรอบแล้วมาดูว่าจะต้องนอนโรงพยาบาลไหม ซึ่งถ้าทุกคนได้อ่านแล้ว ผมอยากบอกว่า สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ผมโชคดีตรงที่ไม่สูบบุหรี่และกินเหล้า ถ้าทำมันน่าจะหนักกว่านี้ ตอนนี้ก็อยากให้มันหายๆ ไวๆ ทรมานเหมือนกันครับ แต่ก็ตราบใดที่ยังบ่นไหว และมีแรง ยังไงก็ต้องไปต่อครับ